**ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาต่อเนื่องกัน เชื่อว่าหลายคนคงได้เห็นความเคลื่อนไหวที่เชื่อมโยงเป็นเรื่องเดียวกัน จากระยะเวลาครบรอบ 1 ปี ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามายึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อมีรายการแบบนี้ มันก็ต้องมีเสียงวิจารณ์ การประเมินผลงานออกมาจากคนที่เฝ้ามองจากข้างนอกเป็นธรรมดา
ขณะเดียวกัน เสียงที่ดังเข้ามาย่อมต้องมีทั้งชื่นชม เฉยๆ และวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิในเชิงลบ ขึ้นอยู่กับว่าเสียงแบบไหน จะดังมากกว่ากัน เสียงที่ว่านั้นยังหมายถึงการเคลื่อนไหวในแบบที่เรียกว่าออกมาผสมโรงป่วน สารพัดที่ประดังเข้ามา
ถ้าตัดพวกชื่นชม เอาใจช่วยออกไปชั่วคราวก่อน ก็จะทำให้ได้เห็นอีกพวกหนึ่งที่ชัดเจนขึ้น นั่นคือ พวกที่เสียอำนาจ และพยายามดิ้นรนเพื่อหาทางกลับมา รวมไปถึงพยายามต่อรอง ไม่ให้ฝ่ายตัวเองต้องเสียหายไปมากกว่านี้
** แน่นอนว่ากำลังกล่าวถึง ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะหัวขบวนใหญ่ที่กำลังดิ้นรนเพื่อรักษาสถานะที่สามารถ"ต่อรอง"ให้ได้มากที่สุด
สิ่งที่เขาต้องทำก็คือ ต้องฉวยโอกาสในช่วงเวลาสำคัญที่คนต้องจดจำ หรือเมื่อเคลื่อนไหวอะไรออกมาแล้วต้องมีความหมาย ดังนั้นในช่วงเวลาครบรอบ 1 ปี ของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) เราจึงได้เห็นความเคลื่อนไหวที่แปลกๆ ของทักษิณ ชินวัตร ออกมา
กำหนดการเดินทางไปปาฐกถา ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ย่อมมีความหมาย ต้องมีการวางแผนกันมาล่วงหน้าแบบเฉพาะเจาะจง เพราะนอกเหนือจากเป็นช่วงวันเวลาครบรอบ 1 ปีของ คสช. ที่ยึดอำนาจเขี่ยอำนาจของรัฐบาลน้องสาวของเขา คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้พ้นออกไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ยังมีความหมายตรงกับวันสำคัญก็คือ วันที่ 19 พฤษภาคม 2558 เป็นวันที่น้องสาวของเขาต้องเดินไปขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในความผิดจากโครงการรับจำนำข้าว ที่ตัวเขาเคยบอกว่าเป็นต้นคิดโครงการอัปยศดังกล่าวนี้ขึ้นมา อ้างว่า เพื่อช่วยเหลือชาวนาให้ลืมตาอ้าปาก
** แน่นอนว่า เนื้อหาในการปาฐกถากับระดับผู้บริหารในระดับเอเซีย คงไม่น่าสนใจอะไร แต่ที่น่าสนใจการให้สัมภาษณ์แบบจงใจและต้องการ "ทำลายฝ่ายตรงข้าม" และคราวนี้ก็เช่นเดียวกัน ที่นอกจากจะกระแทกเข้าใส่ คสช. และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรงแล้ว เขายังมีเจตนาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างชัดเจน แม้ว่าจะเป็นการกล่าวถึง "องคมนตรี" แต่นั่นมีความหมายเพื่อกระทบชิ่งไปให้ถึง ในแบบที่คนติดตามมาแบบรู้ทันไม่มีทางเข้าใจเป็นอย่างอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำพูดที่กล่าวหาว่า องคมนตรีอยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยการผสมโรงออกมาของ สุเทพ เทือกสุบรรณ และ กปปส.
ขณะเดียวกัน เป้าหมายในปัจจุบันก็คือ ถล่มไปที่จุดอ่อนของ คสช. ในเรื่องเศรษฐกิจ ว่า "ยังไม่ประทับใจ" กล่าวในทำนองว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่เข้าใจชาวบ้านเหมือนกับเขา อะไรประมาณนี้ อย่างไรก็ดี น่าแปลกที่เที่ยวนี้แรงกระแทกของเขากลับ "เบาหวิว" กว่าทุกครั้ง อาจเป็นเพราะยิ่งนาน คนยิ่งรู้เท่าทัน ยิ่งเกิดความรังเกียจ ประกอบกับได้เห็นการเคลื่อนไหวของเครือข่ายพวกเดียวกันออกมาประจานให้เห็นดังกรณึของนักวิชาการแนวร่วมแดงอย่าง สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่วิจารณ์ ทักษิณ ชินวัตร กับพวกแกนนำคนเสื้อแดง ในทางลบอย่างเสียหาย
วกกลับมาที่ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีต่อ ทักษิณ ชินวัตร ที่พยายามแสดงให้เห็นว่า ไม่ให้ความสำคัญในตอนแรก แต่ในที่สุดก็ตอบโต้ต่อคำพูดดังกล่าวออกมาอย่างเผ็ดร้อน เช่นเดียวกัน
"ไม่ใช่ใครพูดทีก็ตกใจที พูดมาทีก็ข้ามไม่พ้นเสียที อะไรที่เป็นความเลวร้าย ถ้าหยุดไปก็จบ ถ้าเขาอยากจะพูด ก็พูดไป ผมก็พูดอย่างเดียว ถ้าถูกกฎหมาย ก็กลับมา ถ้าไม่ถูกกฎหมาย แสดงว่าเขาผิดกฎหมาย เขากลับบ้านไม่ได้ นั่นแหละ คือเรื่องของผม ยังไงผมก็ชนะท่านอยู่แล้ว ผมเชื่อมั่นทำความดี ไม่ต้องกลัว"
"พระมหากษัตริย์ไม่ได้ต่อสู้กับสงคราม แต่ต่อสู้กับความยากจน แต่คนเลว ก็ไปพูดกันกลับไปกลับมา บิดเบือนไปหมด แล้วก็มีคนเชื่อตาม ท่านเคยใช้เงินอะไรหรือเปล่า เคยไปศูนย์การค้าหรือเปล่า ก็ไม่เคย เงินที่มีก็เอาไปช่วยตามโครงการหลวงต่างๆ เท่านั้น ตอนนี้ท่านมีพระชนมายุขนาดนี้แล้วก็ ยังไม่มีความสุข คนที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ แล้วคล้อยตาม มีไม่กี่คนหรอก เพราะผมวิเคราะห์มาแล้ว คนที่หมิ่นสถาบันฯ อยู่ในขบวนการของผู้ที่ต้องการมีอำนาจ เพื่อมีผลประโยชน์ ซึ่งประเทศไทยมี 2 อย่าง ที่เขายังยึดอำนาจไม่ได้ คือ ทหารและสถาบันฯ เขาต้องการทำลาย ถ้าทำลายทั้ง 2 อย่างนี้ได้ ก็จะยึดประเทศไทยทั้งหมด โดยใครก็ไม่รู้ ซึ่งทุกคนรู้จักกันหมด แต่ผมไม่อยากเอ่ยชื่อ พูดไปก็มีคนมาตอบโต้ เดี๋ยวผมโมโห ก็ใช้อำนาจอีก ผมก็ไม่อยากใช้อำนาจ"
คำพูดดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า เขาเข้าใจและรู้ถึงต้นตอของปัญหาและความวุ่นวายของบ้านเมืองที่มีมาต่อเนื่องนับสิบปี ว่ามาจากใคร จนกระทั่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเข้ามายึดอำนาจ พิจารณาจากคำพูดก็แสดงให้เห็นอย่าชัดเจนว่า เขาเข้าใจดี ถึงขนาดว่าลั่นปากว่า "ผมชนะท่านอยู่แล้ว" ซึ่งคงไม่มีใครเถียง แต่คำถามก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จะชนะอยู่คนเดียว หรือจะให้บ้านเมืองชนะไปด้วยหรือเปล่า เพราะจะให้เอาชนะได้พร้อมๆ กัน ก็ต้องใช้ความ "กล้าหาญ" ขุดรากถอนโคน ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายออกไปให้หมด นั่นแหละ ถึงจะแก้ปัญหาอย่างถาวร ซึ่งเชื่อว่ามีข้อมูลทุกอย่างพร้อมแล้ว
** อย่างไรก็ดี หากจะเริ่มก็ลองใช้ความเด็ดขาดเพิกถอนพาสปอร์ต ของ ทักษิณ ชินวัตร ถอดยศ ออกมาเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นค่อยมาว่ากัน !!
ขณะเดียวกัน เสียงที่ดังเข้ามาย่อมต้องมีทั้งชื่นชม เฉยๆ และวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิในเชิงลบ ขึ้นอยู่กับว่าเสียงแบบไหน จะดังมากกว่ากัน เสียงที่ว่านั้นยังหมายถึงการเคลื่อนไหวในแบบที่เรียกว่าออกมาผสมโรงป่วน สารพัดที่ประดังเข้ามา
ถ้าตัดพวกชื่นชม เอาใจช่วยออกไปชั่วคราวก่อน ก็จะทำให้ได้เห็นอีกพวกหนึ่งที่ชัดเจนขึ้น นั่นคือ พวกที่เสียอำนาจ และพยายามดิ้นรนเพื่อหาทางกลับมา รวมไปถึงพยายามต่อรอง ไม่ให้ฝ่ายตัวเองต้องเสียหายไปมากกว่านี้
** แน่นอนว่ากำลังกล่าวถึง ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะหัวขบวนใหญ่ที่กำลังดิ้นรนเพื่อรักษาสถานะที่สามารถ"ต่อรอง"ให้ได้มากที่สุด
สิ่งที่เขาต้องทำก็คือ ต้องฉวยโอกาสในช่วงเวลาสำคัญที่คนต้องจดจำ หรือเมื่อเคลื่อนไหวอะไรออกมาแล้วต้องมีความหมาย ดังนั้นในช่วงเวลาครบรอบ 1 ปี ของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) เราจึงได้เห็นความเคลื่อนไหวที่แปลกๆ ของทักษิณ ชินวัตร ออกมา
กำหนดการเดินทางไปปาฐกถา ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ย่อมมีความหมาย ต้องมีการวางแผนกันมาล่วงหน้าแบบเฉพาะเจาะจง เพราะนอกเหนือจากเป็นช่วงวันเวลาครบรอบ 1 ปีของ คสช. ที่ยึดอำนาจเขี่ยอำนาจของรัฐบาลน้องสาวของเขา คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้พ้นออกไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ยังมีความหมายตรงกับวันสำคัญก็คือ วันที่ 19 พฤษภาคม 2558 เป็นวันที่น้องสาวของเขาต้องเดินไปขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในความผิดจากโครงการรับจำนำข้าว ที่ตัวเขาเคยบอกว่าเป็นต้นคิดโครงการอัปยศดังกล่าวนี้ขึ้นมา อ้างว่า เพื่อช่วยเหลือชาวนาให้ลืมตาอ้าปาก
** แน่นอนว่า เนื้อหาในการปาฐกถากับระดับผู้บริหารในระดับเอเซีย คงไม่น่าสนใจอะไร แต่ที่น่าสนใจการให้สัมภาษณ์แบบจงใจและต้องการ "ทำลายฝ่ายตรงข้าม" และคราวนี้ก็เช่นเดียวกัน ที่นอกจากจะกระแทกเข้าใส่ คสช. และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรงแล้ว เขายังมีเจตนาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างชัดเจน แม้ว่าจะเป็นการกล่าวถึง "องคมนตรี" แต่นั่นมีความหมายเพื่อกระทบชิ่งไปให้ถึง ในแบบที่คนติดตามมาแบบรู้ทันไม่มีทางเข้าใจเป็นอย่างอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำพูดที่กล่าวหาว่า องคมนตรีอยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยการผสมโรงออกมาของ สุเทพ เทือกสุบรรณ และ กปปส.
ขณะเดียวกัน เป้าหมายในปัจจุบันก็คือ ถล่มไปที่จุดอ่อนของ คสช. ในเรื่องเศรษฐกิจ ว่า "ยังไม่ประทับใจ" กล่าวในทำนองว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่เข้าใจชาวบ้านเหมือนกับเขา อะไรประมาณนี้ อย่างไรก็ดี น่าแปลกที่เที่ยวนี้แรงกระแทกของเขากลับ "เบาหวิว" กว่าทุกครั้ง อาจเป็นเพราะยิ่งนาน คนยิ่งรู้เท่าทัน ยิ่งเกิดความรังเกียจ ประกอบกับได้เห็นการเคลื่อนไหวของเครือข่ายพวกเดียวกันออกมาประจานให้เห็นดังกรณึของนักวิชาการแนวร่วมแดงอย่าง สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่วิจารณ์ ทักษิณ ชินวัตร กับพวกแกนนำคนเสื้อแดง ในทางลบอย่างเสียหาย
วกกลับมาที่ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีต่อ ทักษิณ ชินวัตร ที่พยายามแสดงให้เห็นว่า ไม่ให้ความสำคัญในตอนแรก แต่ในที่สุดก็ตอบโต้ต่อคำพูดดังกล่าวออกมาอย่างเผ็ดร้อน เช่นเดียวกัน
"ไม่ใช่ใครพูดทีก็ตกใจที พูดมาทีก็ข้ามไม่พ้นเสียที อะไรที่เป็นความเลวร้าย ถ้าหยุดไปก็จบ ถ้าเขาอยากจะพูด ก็พูดไป ผมก็พูดอย่างเดียว ถ้าถูกกฎหมาย ก็กลับมา ถ้าไม่ถูกกฎหมาย แสดงว่าเขาผิดกฎหมาย เขากลับบ้านไม่ได้ นั่นแหละ คือเรื่องของผม ยังไงผมก็ชนะท่านอยู่แล้ว ผมเชื่อมั่นทำความดี ไม่ต้องกลัว"
"พระมหากษัตริย์ไม่ได้ต่อสู้กับสงคราม แต่ต่อสู้กับความยากจน แต่คนเลว ก็ไปพูดกันกลับไปกลับมา บิดเบือนไปหมด แล้วก็มีคนเชื่อตาม ท่านเคยใช้เงินอะไรหรือเปล่า เคยไปศูนย์การค้าหรือเปล่า ก็ไม่เคย เงินที่มีก็เอาไปช่วยตามโครงการหลวงต่างๆ เท่านั้น ตอนนี้ท่านมีพระชนมายุขนาดนี้แล้วก็ ยังไม่มีความสุข คนที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ แล้วคล้อยตาม มีไม่กี่คนหรอก เพราะผมวิเคราะห์มาแล้ว คนที่หมิ่นสถาบันฯ อยู่ในขบวนการของผู้ที่ต้องการมีอำนาจ เพื่อมีผลประโยชน์ ซึ่งประเทศไทยมี 2 อย่าง ที่เขายังยึดอำนาจไม่ได้ คือ ทหารและสถาบันฯ เขาต้องการทำลาย ถ้าทำลายทั้ง 2 อย่างนี้ได้ ก็จะยึดประเทศไทยทั้งหมด โดยใครก็ไม่รู้ ซึ่งทุกคนรู้จักกันหมด แต่ผมไม่อยากเอ่ยชื่อ พูดไปก็มีคนมาตอบโต้ เดี๋ยวผมโมโห ก็ใช้อำนาจอีก ผมก็ไม่อยากใช้อำนาจ"
คำพูดดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า เขาเข้าใจและรู้ถึงต้นตอของปัญหาและความวุ่นวายของบ้านเมืองที่มีมาต่อเนื่องนับสิบปี ว่ามาจากใคร จนกระทั่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเข้ามายึดอำนาจ พิจารณาจากคำพูดก็แสดงให้เห็นอย่าชัดเจนว่า เขาเข้าใจดี ถึงขนาดว่าลั่นปากว่า "ผมชนะท่านอยู่แล้ว" ซึ่งคงไม่มีใครเถียง แต่คำถามก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จะชนะอยู่คนเดียว หรือจะให้บ้านเมืองชนะไปด้วยหรือเปล่า เพราะจะให้เอาชนะได้พร้อมๆ กัน ก็ต้องใช้ความ "กล้าหาญ" ขุดรากถอนโคน ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายออกไปให้หมด นั่นแหละ ถึงจะแก้ปัญหาอย่างถาวร ซึ่งเชื่อว่ามีข้อมูลทุกอย่างพร้อมแล้ว
** อย่างไรก็ดี หากจะเริ่มก็ลองใช้ความเด็ดขาดเพิกถอนพาสปอร์ต ของ ทักษิณ ชินวัตร ถอดยศ ออกมาเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นค่อยมาว่ากัน !!
