ASTVผู้จัดการรายวัน - ผู้จัดการตลาดหุ้น ชี้การยกเลิกกฎอัยการศึกเป็นผลดีต่อประเทศไทย ระบุการใช้มาตรา 44 มีความรุนแรงน้อยกว่า ย้ำการลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยกลุ่มทิปมีไทยและฟิลิปปินส์ ซึ่งมีกำไรบริษัทจดทะเบียนสูงกว่าจีดีพี ขณะดัชนีตลาดหุ้นช่วงบ่ายเด้งแรงกว่า 10 จุด ตอบรับข่าวเลิกกฎอัยการศึก และคลายกังวลผลกระทบ ICAO ลดอันดับมาตรฐานการบิน
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่าการที่รัฐบาลยกเลิกกฎอัยการศึกจะเป็นผลดีต่อประเทศไทย โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวให้กลับมามีความคึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่เป็นช่วงไฮซีซัน เพราะตามปกตินักท่องเที่ยวต่างชาติจะวางแผนการท่องเที่ยวล่วงหน้าและนิยมมาเที่ยวในช่วงปลายปี
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นคาดว่าน่าจะได้รับผลบวกจากการยกเลิกกฎอัยการศึกเช่นกัน โดยนักลงทุนต่างประเทศไม่ได้พิจารณาเฉพาะเรื่องกฎอัยการศึกเพียงอย่างเดียว แต่จะพิจารณาทั้งภาวะเศรษฐกิจ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนประกอบ
ด้วย โดยจะมีการเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งการลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
สำหรับ ปี 2557 บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ให้ผลตอบแทนประมาณร้อยละ 5 สูงกว่าจีดีพีที่โตเพียงแค่ร้อยละ 0.7 ซึ่งมีประเทศไทยและฟิลิปปินส์ที่กำไรบริษัทจทะเบียนสูงกว่าจีดีพี
ส่วนกรณีที่รัฐบาลจะใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวแทนกฎอัยการศึกนั้น เชื่อว่า มาตรา 44 มีความรุนแรงน้อยกว่ากฎอัยการศึก ที่ผ่านมาสามารถอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกได้ ดังนั้น การใช้มาตรา 44 จึงน่าจะมีผลกระทบน้อยกว่า
นางเกศรา กล่าวด้วยว่า ตลท.ได้จับมือกับหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และบริษัทหลักทรัพย์ ส่งเสริมการลงทุนสู่ภูมิภาค ด้วยการจัดโครงการปักธงลงทุนหุ้นทั่วไทยใน 26 จังหวัด เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ผู้ลงทุน
ป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพ โดยคาดว่าจะมีนักลงทุนในภูมิภาคเพิ่ม 40,000 รายในปี 2558 หรือเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 20 จากจำนวนผู้ลงทุนในต่างจังหวัดที่มีประมาณ 200,000 ราย และเพิ่มจำนวนนักลงทุนใหม่ปีนี้ 95,000 ราย
ปัจจุบัน เศรษฐกิจในภูมิภาคมีการขยายตัวและมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการเชื่อมโยงการค้าการลงทุนและการคมนาคม สร้างโอกาสการขยายธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการ โดย 2 ปีที่ผ่านมา เกือบร้อยละ 20 ของบริษัทจดทะเบียนใหม่กระจายตัวอยู่ในภูมิภาคและมีมูลค่าระดมทุนถึง 14,380 ล้านบาท
สำหรับ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ พบว่าช่วงบ่ายดีดกลับขึ้นไปที่ 1,525.58 จุด เพิ่มขึ้น 19.64 จุดหรือ 1.30% มูลค่าการซื้อขาย 38,003.45 ล้านบาท
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายนี้ปรับตัวขึ้นกว่า 10 จุด แรงซื้อส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในหุ้นไม่กี่ตัว ซึ่งเป็นหุ้นในกลุ่มขนส่งอย่างหุ้น AOT หลังจากที่คลายกังวลเรื่อง ICAO และก็มีแรงซื้อเข้ามาที่หุ้น ITD ขานรับเรื่องที่จะมีการประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียวในวันศุกร์นี้ นอกนั้น ก็จะเป็นหุ้นขนาดเล็กๆ ที่ปรับตัวขึ้น ซึ่งเท่าที่ดูมีไม่กี่ตัวที่ดึงดัชนีฯขึ้นไปแต่มองว่า upside เริ่มจำกัด จากวอลุ่มเทรดที่ยังน้อยอยู่ แม้ว่าตลาดจะได้รับผลดีจากเรื่องการยกเลิกกฎอัยการศึกก็ตาม
ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ก็อยู่ในแดนลบเล็กน้อย ส่วนตลาดในยุโรปเปิดเทรดในช่วงบ่ายนี้ก็อ่อนตัวลง โดยปัจจัยนอกประเทศตอนนี้ก็ไปรอดูการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 7-8 เม.ย.นี้ และรอดูการเจรจาของกรีซอีกทีในสัปดาห์หน้า พร้อมให้แนวรับ 1,510 จุด ส่วนแนวต้าน 1,520 จุด
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่าการที่รัฐบาลยกเลิกกฎอัยการศึกจะเป็นผลดีต่อประเทศไทย โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวให้กลับมามีความคึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่เป็นช่วงไฮซีซัน เพราะตามปกตินักท่องเที่ยวต่างชาติจะวางแผนการท่องเที่ยวล่วงหน้าและนิยมมาเที่ยวในช่วงปลายปี
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นคาดว่าน่าจะได้รับผลบวกจากการยกเลิกกฎอัยการศึกเช่นกัน โดยนักลงทุนต่างประเทศไม่ได้พิจารณาเฉพาะเรื่องกฎอัยการศึกเพียงอย่างเดียว แต่จะพิจารณาทั้งภาวะเศรษฐกิจ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนประกอบ
ด้วย โดยจะมีการเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งการลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
สำหรับ ปี 2557 บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ให้ผลตอบแทนประมาณร้อยละ 5 สูงกว่าจีดีพีที่โตเพียงแค่ร้อยละ 0.7 ซึ่งมีประเทศไทยและฟิลิปปินส์ที่กำไรบริษัทจทะเบียนสูงกว่าจีดีพี
ส่วนกรณีที่รัฐบาลจะใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวแทนกฎอัยการศึกนั้น เชื่อว่า มาตรา 44 มีความรุนแรงน้อยกว่ากฎอัยการศึก ที่ผ่านมาสามารถอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกได้ ดังนั้น การใช้มาตรา 44 จึงน่าจะมีผลกระทบน้อยกว่า
นางเกศรา กล่าวด้วยว่า ตลท.ได้จับมือกับหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และบริษัทหลักทรัพย์ ส่งเสริมการลงทุนสู่ภูมิภาค ด้วยการจัดโครงการปักธงลงทุนหุ้นทั่วไทยใน 26 จังหวัด เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ผู้ลงทุน
ป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพ โดยคาดว่าจะมีนักลงทุนในภูมิภาคเพิ่ม 40,000 รายในปี 2558 หรือเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 20 จากจำนวนผู้ลงทุนในต่างจังหวัดที่มีประมาณ 200,000 ราย และเพิ่มจำนวนนักลงทุนใหม่ปีนี้ 95,000 ราย
ปัจจุบัน เศรษฐกิจในภูมิภาคมีการขยายตัวและมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการเชื่อมโยงการค้าการลงทุนและการคมนาคม สร้างโอกาสการขยายธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการ โดย 2 ปีที่ผ่านมา เกือบร้อยละ 20 ของบริษัทจดทะเบียนใหม่กระจายตัวอยู่ในภูมิภาคและมีมูลค่าระดมทุนถึง 14,380 ล้านบาท
สำหรับ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ พบว่าช่วงบ่ายดีดกลับขึ้นไปที่ 1,525.58 จุด เพิ่มขึ้น 19.64 จุดหรือ 1.30% มูลค่าการซื้อขาย 38,003.45 ล้านบาท
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายนี้ปรับตัวขึ้นกว่า 10 จุด แรงซื้อส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในหุ้นไม่กี่ตัว ซึ่งเป็นหุ้นในกลุ่มขนส่งอย่างหุ้น AOT หลังจากที่คลายกังวลเรื่อง ICAO และก็มีแรงซื้อเข้ามาที่หุ้น ITD ขานรับเรื่องที่จะมีการประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียวในวันศุกร์นี้ นอกนั้น ก็จะเป็นหุ้นขนาดเล็กๆ ที่ปรับตัวขึ้น ซึ่งเท่าที่ดูมีไม่กี่ตัวที่ดึงดัชนีฯขึ้นไปแต่มองว่า upside เริ่มจำกัด จากวอลุ่มเทรดที่ยังน้อยอยู่ แม้ว่าตลาดจะได้รับผลดีจากเรื่องการยกเลิกกฎอัยการศึกก็ตาม
ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ก็อยู่ในแดนลบเล็กน้อย ส่วนตลาดในยุโรปเปิดเทรดในช่วงบ่ายนี้ก็อ่อนตัวลง โดยปัจจัยนอกประเทศตอนนี้ก็ไปรอดูการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 7-8 เม.ย.นี้ และรอดูการเจรจาของกรีซอีกทีในสัปดาห์หน้า พร้อมให้แนวรับ 1,510 จุด ส่วนแนวต้าน 1,520 จุด