วานนี้ ( 29 มี.ค.) สำนักงานศาลปกครองได้เผยแพร่เอกสารผลการประชุมสัมมนาตุลาการศาลปกครองสูงสุด และตุลาการศาลปกครองชั้นต้นทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 27-29 มี.ค. ที่โรงแรมรอยัล พลา คลิฟบีช อ.บ้านฉาง จ.ระยอง โดยระบุว่า ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ ไม่เห็นด้วยกับประเด็นที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กำหนดให้มีกลไกในการบังคับคดีทางแพ่ง และคดีปกครอง ในสังกัดศาลยุติธรรม ทำหน้าที่บังคับให้เป็นไปตามคำสั่ง คำพิพากษาของศาลยุติธรรม และศาลปกครอง โดยเห็นว่า เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 บัญญัติให้มีการจัดตั้งศาลปกครองเป็นศาลคู่ แยกต่างหากจากศาลยุติธรรม เพื่อให้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่มีข้อพิพาททางปกครอง ทั้งนี้ เพราะหน่วยงานทางปกครองและประชาชน ไม่มีความเท่าเทียมกันในการค้นหาพยานหลักฐานเพื่อประกอบการฟ้องหรือต่อสู้คดี ศาลปกครองจึงกำหนดวิธีพิจารณาโดยใช้ระบบไต่สวน
โดยศาล หรือตุลาการศาลปกครอง จะมีบทบาทสำคัญในการแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมอย่างสูงสุด ด้วยเหตุนี้ การบังคับให้เป็นไปตามคำสั่ง หรือคำพิพากษาของศาลปกครอง ทั้งในการบังคับคดีปกครองทั่วไป และการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของคู่กรณีฝ่ายที่แพ้คดี ถือเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินกระบวนวิธีพิจารณาคดีปกครองภายหลังจากที่ศาลได้คำพิพากษาแล้ว จึงสมควรที่จะต้องดำเนินการโดยหน่วยงานบังคับคดีที่อยู่ในศาลปกครอง มิใช่สังกัดศาลยุติธรรมตามร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว นอกจากนี้ ในการบังคับคดีปกครองเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่ง หรือคำพิพากษาของศาลปกครอง จำเป็นต้องมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างตุลาการศาลปกครองและบุคลากรของศาลปกครอง
ทั้งนี้ เพื่อความรวดเร็วและประโยชน์ของคู่กรณีในการบังคับคดีเป็นสำคัญ สำหรับในส่วนของบุคลากรของศาลปกครองที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการบังคับคดีปกครองตามคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลปกครอง ก็จำต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับหลักกฎหมายมหาชนและวิธีพิจารณาคดีปกครองเป็นสำคัญ ซึ่งในการนี้ศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครองได้มีการพัฒนาบุคลากรในเรื่องดังกล่าวไว้เป็นการเฉพาะอยู่แล้ว และในการดำเนินงานที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาข้อขัดข้องที่จะทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาในการบังคับคดีได้แต่อย่างใด ดังนั้น การกำหนดให้ใช้กลไกการบังคับคดีของศาลที่มีวิธีพิจารณาที่แตกต่างกันย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
โดยศาล หรือตุลาการศาลปกครอง จะมีบทบาทสำคัญในการแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมอย่างสูงสุด ด้วยเหตุนี้ การบังคับให้เป็นไปตามคำสั่ง หรือคำพิพากษาของศาลปกครอง ทั้งในการบังคับคดีปกครองทั่วไป และการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของคู่กรณีฝ่ายที่แพ้คดี ถือเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินกระบวนวิธีพิจารณาคดีปกครองภายหลังจากที่ศาลได้คำพิพากษาแล้ว จึงสมควรที่จะต้องดำเนินการโดยหน่วยงานบังคับคดีที่อยู่ในศาลปกครอง มิใช่สังกัดศาลยุติธรรมตามร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว นอกจากนี้ ในการบังคับคดีปกครองเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่ง หรือคำพิพากษาของศาลปกครอง จำเป็นต้องมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างตุลาการศาลปกครองและบุคลากรของศาลปกครอง
ทั้งนี้ เพื่อความรวดเร็วและประโยชน์ของคู่กรณีในการบังคับคดีเป็นสำคัญ สำหรับในส่วนของบุคลากรของศาลปกครองที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการบังคับคดีปกครองตามคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลปกครอง ก็จำต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับหลักกฎหมายมหาชนและวิธีพิจารณาคดีปกครองเป็นสำคัญ ซึ่งในการนี้ศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครองได้มีการพัฒนาบุคลากรในเรื่องดังกล่าวไว้เป็นการเฉพาะอยู่แล้ว และในการดำเนินงานที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาข้อขัดข้องที่จะทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาในการบังคับคดีได้แต่อย่างใด ดังนั้น การกำหนดให้ใช้กลไกการบังคับคดีของศาลที่มีวิธีพิจารณาที่แตกต่างกันย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง