xs
xsm
sm
md
lg

เลิกกฏอัยการศึกใช้ม.44 พิสูจน์การใช้อำนาจ“บิ๊กตู่”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**ปลดล็อกเสียทีหลังมีกระแสกดดันให้ยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึกมาตั้งแต่ยึดอำนาจใหม่ๆ จนหลายคนตีความไปว่า สงสัยรัฐบาลจะลากยาวไปจนถึงหมดอายุขัยตัวเอง กระทั่ง “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตัดสินใจผ่อนคลายตอนกลางของโรดแมป ระยะที่ 2
เหตุผลสำคัญ ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องจิตวิทยา โดยเฉพาะกับต่างประเทศที่หวาดผวากับคำว่า กฎอัยการศึก จนไม่กล้าทำหากินอะไรในบ้านเรา เพราะเสี่ยงจะไม่ได้รับการคุ้มครองจากประกัน เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยว ที่ยังกล้าๆ กลัวๆ เรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ที่ผ่านมากฎอัยการศึกเปรียบได้ดังสัญลักษณ์ของการจำกัดสิทธิ เสรีภาพ ของประชาชน คดีความต่างๆ ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันที่ศาลทหารแทนศาลพลเรือน ทุกอย่างถ่ายโอนอำนาจไปให้ทหารตัดสินใจ กลายเป็นเผด็จการเต็มสูบ จนองค์กรสิทธิมนุษยชนสากล องค์กรสหประชาชาติ ต่างเพ่งเล็งมาตลอด คอยตอดนิดตอดหน่อยทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อบีบให้รัฐบาลละกระบองในมือ สอดประสานกับความเคลื่อนไหวในประเทศ ที่เดินคู่ขนานกันไป
ขืนปล่อยเอาไว้ไม่ทำอะไรเลย อาจกลายเป็นเชื้อให้ฝ่ายต้านรุมขย่มไปเรื่อยๆ
การยกเลิกกฎอัยการศึกครั้งนี้ อย่างน้อยจะช่วยตัดประเด็นที่กลุ่มต่อต้านจะเอาไปฟ้องโลกได้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องการจำกัดสิทธิเสรีภาพอันเป็นเรื่องอ่อนไหว ต่อไปจะเหลือแต่เพียงประเด็นการเมือง เรื่องการได้ หรือเสียผลประโยชน์เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องภายในประเทศที่องค์กรต่างๆ ไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงรัฐบาลได้ งานนี้ฝ่ายต้านจะขาดอาวุธหนักในการบั่นทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไปเลย
**โดยรวมการยกเลิกกฎอัยการศึกได้รับเสียงตอบรับเพียบ
จริงๆ ความคิดยกเลิกกฎอัยการศึก มีกันมาตั้งนาน เพียงแต่รัฐบาลยังคิดไม่ออกว่าหากเลิกไปแล้ว จะเอากระบองที่ไหนมาแทนที่ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือ มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ผนวกกับรอดูจังหวะเวลาว่าสถานการณ์โดยรวมภายในประเทศเป็นอย่างไร ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลประเมินแล้วว่า สถานการณ์ดีขึ้น ความเคลื่อนไหวใต้ดินหรือบนดิน ยังอยู่ในวิสัยทัศน์ที่เอาอยู่ ขณะที่มาตรา 44 ซึ่งกำหนดอำนาจ คสช.เอาไว้ครอบจักรวาล เป็นเครื่องมือหรือกระบองที่มีอยู่ในมืออยู่แล้ว เอามาออกแบบดีไซน์นิดหน่อย ย่อมดีกว่ากฎอัยการศึกแน่
เห็นได้ชัด พอรัฐบาลส่งสัญญาณ บรรยากาศภายในสังคมดีขึ้น เพราะในความรู้สึกของคนในสังคม หรือต่างชาติเองมองว่า กฎอัยการศึกนั้นหนักกว่ามาตรา 44 ซึ่งเป็นบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญชั่วคราว เป็นดังการจำกัดสิทธิเสรีภาพ แม้แต่กระทั่งเรื่องสื่อเอง ยังสามารถสั่งให้หยุดกิจการได้ทันที โดยรวมเป็นกฎหมายที่สากลไม่ยอมรับ โบราณ รุนแรง ประชาชนไม่สามารถขยับตัวอะไรได้เลย
ขณะที่มาตรา 44 ชื่อนั้นเบาบางกว่า แต่ในทางปฏิบัติ และพลานุภาพล้นฟ้าและครอบจักรวาลกว่ากฎอัยการศึกเยอะ เป็นการให้อำนาจ “บิ๊กตู่”เป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ อยู่เหนืออำนาจ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ล้อกับ มาตรา 17 สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่สั่งให้ประหารชีวิตคนได้ ตรงนี้หลายคนในประเทศได้ยิน ชักมีเสียงค้านเหมือนกัน ดังนั้น รัฐบาลต้องออกแบบ กำหนดวิธีการ กรอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ไว้ให้ชัด จะใช้อำนาจต่อเมื่อเกิดกรณีใด ใครจะเป็นผู้ปฏิบัติ และกรณีใดบ้าง ที่จะต้องใช้อำนาจตามกฎหมาย ไม่เช่นนั้นจะถูกนำไปดิสเครดิต โจมตีรัฐบาลอีก
เหตุผลที่รัฐบาลระบุว่า ต้องการให้มีอำนาจในการเรียกหรือตรวจค้นบุคคลที่มีพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงจะก่อให้เกิดความขัดแย้ง หรือเหตุการณ์รุนแรง ต้องเอาให้ชัดขั้นตอนปฏิบัติเป็นอย่างไร แล้วโทษเป็นอย่างไร มีอำนาจกักตัวไว้กี่วัน ขึ้นศาลอะไร เอาให้เคลียร์ให้หมด ไม่ให้คนตีความว่า “บิ๊กตู่”จะออกคำสั่งอะไรก็ได้ ไม่มีลิมิต เหมือนเป็นการตีเช็กเปล่า แล้วจะเขียนอะไรใส่ไปก็ได้ ต้องแสดงให้เห็นว่า มีอำนาจมาก แต่จะใช้แต่เพียงพอดี มีขีดกำจัด
**จะว่าไป เนื้อหามาตรา 44 เอง เป็นเรื่องการใช้ดุลยพินิจของ“บิ๊กตู่”ล้วนๆ ถ้ามีคำสั่งหรือประกาศที่เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน เพื่อกำหนดขอบเขตอำนาจในเรื่องนี้ย่อมส่งผลดีแน่นอน หากปล่อยไว้กว้างๆเหมือนเดิม มันจะดูหนักหน่วงกว่ากฎอัยการศึก ดังนั้นต้องทำให้ประชาชนรู้สึกว่ากฎอัยการศึกมันถูกยกเลิกไปแล้วจริงๆ ไม่ได้แฝงตัวอยู่ในจุดใด ตรงนี้ได้รับเสียงสนับสนุนแล้วจึงต้องทำให้ดี ไม่ให้คนนินทาหมาดูถูกได้ว่า ยกเลิกเพราะลดแรงเสียดทานจากภายนอกประเทศอย่างเดียว
เห็นได้ว่า แทนที่รัฐบาลยกเลิกกฎอัยการศึก จะได้รับเสียงปรบมือ แต่พอบรรดานักการเมืองรู้ถึงกระบองตัวใหม่ว่าเป็น มาตรา 44 ถึงกับออกอาการชักดิ้นชักงอ เพราะมาตราดังกล่าวมันเขียนไว้ครอบทุกสิ่งทุกอย่าง หนักกว่ากฎอัยการศึกอีก เพราะเป็นเรื่องดุลยพินิจของหัวหน้าคสช. ทั้งดุ้น แม้กระทั่งจะเข้าไปสั่งให้หน่วยงานต่างๆ หยุดการกระทำอะไรยังได้ เรียกใครมากักตัวไว้สัก 1 เดือน 2 เดือน ยังไม่ผิดถ้าคิดจะทำ
แต่ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมากนัก แค่ทำให้ดี เขียนให้ชัดว่า ตัวเองจะไม่ใช้อำนาจเกินขอบเขต เพราะเสียงท้วงติงคัดค้านเหล่านี้มันมีนัยแอบแฝง ตัวเอง
เสียผลประโยชน์ เคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ เจตนาไม่ดี ไม่ได้ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง ต่อหน้าเรียกร้องให้รัฐบาลใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ความมั่นคง เพราะมันเบากว่ากฎอัยการศึกและมาตรา 44 เพื่อให้ตัวเองหาช่องปั่นป่วนได้ก็เท่านั้น
พอๆ กับพรรคประชาธิปัตย์ ที่วิพากษ์วิจารณ์กับเขาเหมือนกัน ระยะหลังชักคลำหาจุดยืนไม่ได้ว่าตกลงเอาอะไรกันแน่ ค้านมันไปเสียทุกเรื่อง กฎอัยการศึกก็ไม่เอา มาตรา 44 ก็ไม่เอา ไม่เอาอะไรสักอย่าง ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า มาตรา 44 มันไม่ได้เพิ่งคลอดออกใหม่ ไม่ใช่ของใหม่ แต่มันเป็นของที่รัฐบาลมีอยู่แล้ว กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวตั้งแต่วันแรกที่ประกาศใช้ ไม่มีวันหมดอายุ นอกเหนือเสียจากประเทศไทยจะมีรัฐธรรมนูญฉบับถาวรใช้ ดังนั้น รัฐบาลจะหยิบเอามาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ เป็นดุลยพินิจของเขา ระยะหลังๆ มานี้ ทำตัวเหมือนหาประเด็นให้เป็นข่าวอยู่ทุกวัน กลัวตกขบวนกันหรืออย่างไร
**อย่างไรก็ตาม เรื่องมาตรา 44 ถือเป็นบทพิสูจน์ตัวตนของรัฐบาล และ“บิ๊กตู่”ครั้งสำคัญว่า ในวันที่มีอำนาจจะใช้อำนาจไปในทางที่ผิดหรือถูก หรือแม้จะมีอำนาจ แต่ใช้อย่างพอประมาณ ไม่เหลิงลม บ้าอำนาจ เหมือนจอมเผด็จการ หากใช้กลไกดังกล่าวควบคุมสถานการณ์ได้อย่างราบรื่น ไม่จำกัดสิทธิเสรีภาพใครเกินไป พาประเทศผ่านพ้นไปได้ ไม่ต้องใช้ตัวช่วยอย่างกฎอัยการศึก สุดท้ายจะกลายเป็นวีรบุรุษ ยกเว้นใช้ในทางตรงกันข้าม อาจกลายเป็นทรราชย์ได้เหมือนกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น