xs
xsm
sm
md
lg

9 เรื่องสุด FEEL GOOD ของ 'ตู่ ภพธร'

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมื่อทางทีมงาน FEEL GOOD รู้ว่า ได้คิวชายหนุ่มรอยยิ้มอบอุ่น ณ พ.ศ.นี้ อย่าง ตู่ ภพธร สุนทรญาณกิจ มานั่งสัมภาษณ์ด้วยกันกับเรา ทีมงานก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที เพราะเขาคือคนที่ผู้หญิงไทยบอกว่า เป็นผู้ชายที่อยู่ด้วยแล้ว อบอุ่นมากที่สุด ซึ่งเพียงแค่เรารู้ว่า จะได้นั่งคุยกับเขา ทีมงาน FEEL GOOD ก็รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกแล้ว

เขาขอนัดพบที่ห้องซ้อมดนตรีแถบเลียบด่วนรามอินทรา เนื่องจากเขาต้องเตรียมตัวขึ้นคอนเสิร์ต AIS MUSIC STORE KKBOX PRESENTS TWO POPETORN L1VE ! #ครั้งแรกมีได้แค่ครั้งเดียว ในวันเสาร์ที่ 28 มีนาคมนี้ ทำให้การสัมภาษณ์เคล้าไปด้วยเสียงดนตรีและบทสนทนาอยู่ตลอด อารมณ์ของผู้สัมภาษณ์จึงรู้สึก FEEL GOOD จริงๆ เมื่อได้ยินเสียงดนตรี และตัวตู่เองก็พร้อมที่จะเปิดเผยชีวิตและเรื่องราวดีๆ ให้เราฟังที่นี่เป็นที่แรกอีกด้วย

1. FEEL GOOD กับคอนเสิร์ตครั้งแรก
“ที่ผมจัดคอนเสิร์ตขึ้น เพราะรู้สึกว่า ตัวเองมีอะไรให้ผู้ชมมากพอแล้วตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น ในด้านของเอ็นเตอร์เทนเนอร์ โชว์ การแสดง หรือแม้กระทั่งเพลงที่มี ถึงเวลาแล้วที่จะคืนความรู้สึกดีๆ ให้กับแฟนคลับที่เชียร์และติดตามผมมาโดยตลอด รวมถึงคอนเสิร์ตนี้ยังเป็นคอนเสิร์ตครั้งแรกของผมด้วย เป็นสิ่งที่พิเศษมากๆ เนื่องจากความทรงจำครั้งแรก คือความประทับใจที่ทุกคนจะจำได้ไม่มีวันลืม ฉะนั้นคอนเสิร์ตนี้คือครั้งแรกของทุกคนที่รักในผลงานของเรา นั่นคือเหตุผลที่ผมจัดคอนเสิร์ตนี้ขึ้นมา”

2. FEEL GOOD กับการร้องเพลง
“การร้องเพลงและการอยู่บนเวที คือความสุขของผม เป็นความสุขที่ได้รับผลตอบรับกลับมา แทบจะเรียกได้ว่า ทันทีทันใด เลยก็ว่าได้ ซึ่งไม่เหมือนกับการทำงานในรูปแบบอื่นๆ ที่กว่าจะได้ผลตอบรับกลับมา อาจจะต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร แล้วการที่ได้ไปอยู่บนเวที ทำในสิ่งที่รัก และเห็นรอยยิ้มของผู้ชม ทำให้ชีวิตของผมไม่น่าเบื่อ ถึงแม้ว่าจะร้องเพลงเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาเป็นระยะเวลา 9 ปี ตราบใดที่ผู้ฟังยังอยากฟังเพลงของผมอยู่ ผมก็ไม่มีวันเบื่อนะครับที่จะร้องมันออกมา เพราะสิ่งเหล่านี้คือความสุขในชีวิตของผมไปแล้ว” 

3. FEEL GOOD กับความเป็นมืออาชีพ
“ผมไม่คิดเลยว่า ตัวเองจะมาอยู่บนเวทีได้ และทำให้ผู้ชมสนุกได้อย่างทุกวันนี้ เพราะยอมรับว่า เมื่อก่อนขี้อายที่จะแสดงออกมากๆ เป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์ที่ห่วยแตกเลยก็ว่าได้ เพราะตอนร้องติดดูเนื้อเพลงอยู่ตลอด แต่ด้วยประสบการณ์ที่สะสมมา ทำให้ผมคิดได้ว่า ถ้าไม่พัฒนาตัวเอง คนเขาก็จะไม่จ้างงานเราต่อ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แถมไม่สนุกอีกด้วย จากเหตุการณ์ตรงนั้น ผมจึงฝึกฝนและเรียนรู้ด้วยตัวเองจากการรับงานหลายๆ งาน มีคนจ้างไปไหน เราไปหมด เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับอาชีพนักร้องของเรา”

4. FEEL GOOD กับชีวิตในวัยเด็ก
“ครอบครัวผมชอบดนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อ สะสมกีต้าร์อยู่เยอะมาก ไม่รู้กี่ตัวต่อกี่ตัว เพราะคุณพ่อชอบเล่น แต่ก็ไม่ได้เล่นเก่งมาก โดยที่บ้านจะมีเครื่องดนตรีอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็น กีต้าร์ อิเล็กโทน เปียโน ซึ่งตอนเด็กๆ ทุกคนจะถูกจับเรียนหมด แต่ผมไม่ค่อยชอบเล่นและซ้อมเท่าไหร่ ทำให้นึกเสียดายอยู่เหมือนกันว่า เด็กๆ น่าจะขยันซ้อมมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นขอฝากไปถึงน้องๆ ว่า ถ้าพ่อแม่ให้ทำอะไร ทำให้เต็มที่ดีกว่า เพราะวันหนึ่ง เราจะเห็นเองว่า สิ่งที่พ่อแม่วางเอาไว้ให้ มันมีความหมายทุกอย่าง”

5. FEEL GOOD กับความรักในครอบครัว
“สิ่งสำคัญที่สุดที่เติบโตมาโดยที่ไม่เป็นคนเหลวไหล เพราะผมรู้สึกว่า ทุกคนรักผมมากแค่ไหน ผมรู้ว่า แม่ พ่อ และพี่สาวของผม รักผมมากเพียงใด และทุกครั้งที่ไปทำอะไรที่เหลวไหล ไม่ได้ความ ผมจะนึกถึงคนเหล่านี้อยู่ตลอด เพราะถ้าผมไปเกเรที่ไหนหรือทำอะไรลงไป แล้วโดนจับ ผมจะถูกส่งกลับเมืองไทยทันที และสิ่งที่แม่พยายามดูแลมาทั้งหมด ก็จะสูญเปล่า ในเมื่ออยากมีชีวิตใหม่ ผมก็ต้องทำตัวเป็นคนใหม่ด้วย ดังนั้นเวลาผมจะทำสิ่งต่างๆ ผมจะคิดถึงคนเหล่านี้อยู่เสมอ ความรักของคนในครอบครัวจึงหล่อหลอมให้ผมเป็นคนแบบนี้”

6. FEEL GOOD กับความอบอุ่นภายในตัว
“น้องๆ มักจะเห็นแต่มุมสุภาพของผม ซึ่งหลายๆ คนอาจจะสงสัยว่า มุมอื่นๆ ของผมมีบ้างหรือไม่ มีครับ มุมโหดๆ ของผมก็มี แต่นานๆ ทีจะปรากฏออกมา (หัวเราะ) แต่ก็ไม่มากครับ เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ผมเป็นคนค่อนข้างกวนนะ ใครหลายๆ คนที่รู้จักผม จะเห็นผมในมุมนี้ พูดจาแบบกวนๆ ใส่คนอื่น เพื่อความสนุกสนาน มีคนเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ปะปนกันไป ซึ่งผมถือว่า เป็นสีสันของชีวิต แต่ไม่ใช่ว่า เจอใครก็จะกวนไปซะหมด เพราะผมรู้ว่า สถานการณ์ไหนควรจะพูดและวางตัวแบบใด”

7. FEEL GOOD กับการแสดง
“ที่ตัดสินใจลงมารับการแสดงในหลายเรื่องๆ เพราะผมรู้สึกว่า การแสดงเป็นสิ่งที่ท้ายกับตัวของผมมาก ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ อย่างที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน เหมือนเด็กที่กลับไปเรียนใหม่ อยู่กับเพื่อนๆ และได้ทำกิจกรรมร่วมกัน จนท้ายที่สุดก็มีผลงานออกมาจากกิจกรรมที่พวกเราร่วมกันทำ ผมจึงไม่รู้สึกว่า การแสดงเหมือนเป็นการทำงานเลย แต่เหมือนได้ไปเล่นสนุกกับเพื่อนๆ มากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพยนตร์เรื่อง ‘ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้’ ที่ผ่านมา ผมเต็มที่กับมันมากๆ รวมถึงผู้ชมก็รู้สึกดีและมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครตัวนี้ ผมจึงภูมิใจกับผลตอบรับของมันมากทีเดียว”

8. FEEL GOOD กับคนรัก
“ผมกับคนรักเป็นคนตัวติดกัน จะอยู่ด้วยกันเยอะมาก อีกทั้งเป็นโชคดีของเราทั้งคู่ เพราะไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน เขาก็ยังมาหาเราตลอด เวลาที่ผมซ้อมดนตรีทั้งวัน ยกตัวอย่าง เดือนนี้ 6 โมงเช้า ผมก็ต้องขับรถออกจากบ้านไปซ้อมเต้น บ่าย 3 ผมก็ต้องมาห้องซ้อมดนตรี แล้วผมก็อยู่ซ้อมจนถึง 3-4 ทุ่ม ผมไม่มีเวลาทำอะไรให้เขาเลย แต่เขาก็มาให้กำลังใจตลอด ผู้ชายบางคนอาจจะรำคาญ แต่ผมไม่เป็นนะครับ ทุกอย่างเรียกได้ว่า ลงตัวมากๆ ซึ่งการมีความรักแบบนี้ มันก็ดีเหมือนกันนะในความคิดของผม (หัวเราะ)

9. FEEL GOOD กับชีวิตโดยรวม
“ในทุกวันนี้ ผมมีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ แต่ถ้าถามว่า ถึงจุดสูงสุดในชีวิตของผมแล้วหรือยัง ผมคิดว่า ชีวิตมันก็เหมือนกับภูเขา แต่ของผมเป็นภูเขาที่ไม่มียอดเขา มันเดินขึ้นไปได้อีกเรื่อย ๆ อยู่ที่ว่า เราจะมีความสุขที่จะปักหลังอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า ผมว่า ตัวผมยังปีนขึ้นไปได้อีก เพราะผมอยากทำให้มันดีกว่านี้ อยากทำได้มากกว่านี้ ถ้าในด้านความสามารถของการเป็นนักร้อง นักดนตรี ผมว่า มันไม่มีจุดจบนะ คนที่หยุดพัฒนา คือคนที่มั่นใจแล้วว่าตัวเองเก่ง สักวันหนึ่งก็จะมีคนอื่นที่เก่งกว่า เพราะฉะนั้นผมขอเป็นคนที่เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ดีกว่า”

ใครเห็นด้วยว่า ตู่ตอบได้หล่อมาก กรุณายกมือขึ้น
แล้วอย่าลืมไปฟินกับคอนเสิร์ตครั้งแรกของเขาด้วยล่ะ 28 มีนาคมนี้
ทีมงาน FEEL GOOD เตือนคุณแล้วนะ...

ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Feel Good
เรื่องและภาพ : ยุทธชัย สว่างสมุทรชัย


กำลังโหลดความคิดเห็น