“เหลี่ยม” กับ “นะจ๊ะ” คู่หูที่เข้ากันราว “ผี” กับ “โลง”
เหลี่ยม-โกงชาติ! นะจ๊ะ-โกงวัด! แต่โกงประชาชนเหมือนกัน ด้วยสันดานเห็น “เงินเป็นพระเจ้า!”
ทั้งคู่มี “เงินสกปรก” มากมาย มีสมุน “มืดบอดปัญญา” เปี่ยมกิเลส เป็น “ขี้ข้า” รับใช้ทุกรูปแบบ มีทั้งเดียรถีย์ห่มผ้าเหลืองบังหน้า มีแดงสู้แล้วรวย กับแดงล้มเจ้า มี “ชายชุดดำ” ใช้อาวุธสงครามแอบฆ่าผู้ต่อต้านการทำชั่วของพวกตน ฯลฯ
หลังยึดอำนาจอาณาจักรกับศาสนจักรได้ “เหลี่ยม” กับ “นะจ๊ะ” คิดการใหญ่ เตรียมเปลี่ยนพุทธศาสนาให้เป็น “ธรรมกลายพันธุ์” ที่มิใช่คำสอนของพุทธศาสนา
โดยช่วงหาเสียง “น้องปู” ของ “พี่เหลี่ยม” ได้มีการประกาศไว้ว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาล “พี่คิด-น้อง(ไร้สมอง)ทำ” เมื่อไหร่ เธอจะสังคายนาพุทธศาสนาครั้งใหญ่ในชาติไทย
อุแม่เจ้า!...แม่คุณทูนหัวผู้ไร้สติ ช่างกล้าพูดในสิ่งที่สมองทึบๆ ของเธอ ไม่มีวันจะเข้าถึงเข้าใจต่อพระธรรมคำสอน ทว่าเธอกลับพูดได้ฉอดๆ ว่า พระพุทธศาสนามีปัญหาต้องถูกสังคายนาใหญ่แล้ว
โดยคุณเธอจงใจไม่พูดถึงการกวาดล้างบรรดาพระสงฆ์ปลอมที่ห่มเหลือง ซึ่งเป็นอลัชชีและเดียรถีย์เที่ยวต้มตุ๋นผู้คนด้วย “ธรรมกลายพันธุ์” ที่มีชีวิตอยู่ด้วยการโกงทรัพย์วัดเป็นอาจินต์อยู่ในวันนี้
เธอและพี่ชายถือว่า โจรในคราบผ้าเหลืองที่เป็นมารศาสนา ซึ่งเที่ยวปล้นเงินทองของประชาชนเป็นพวกพ้อง ที่เครือข่ายรัฐบาลของเธอกับพี่ชายให้การทำนุบำรุงส่งเสริมทุกรูปแบบ จนอิทธิพลผิดๆ ของ “นะจ๊ะ” ได้แพร่ไปทั่วในหมู่คนที่มืดบอดทางปัญญา ด้วยคำสอนแห่ง “ซาตาน” อันโกหกมดเท็จ ซึ่งมิใช่คำสอนที่ถูกต้องแห่งธรรมพระพุทธเจ้า
“งาช้างไม่มีวันงอกออกจากปากหมา” ฉันใด การทำชั่วของคนชั่วโดยสันดาน ย่อมไม่มีวันจะยุติลงได้ด้วยการร้องขอฉันนั้น “นะจ๊ะ” ทำผิดร้ายแรงต่อพระธรรมวินัย ด้วยการโกงทรัพย์วัด ซึ่งต้องอาบัติปาราชิกไปแล้วทันที แต่ยังทำผิดอวดอุตริอีกสารพัดต่อผู้คนทั้งชาติอย่างหน้าด้านๆ ตลอดเวลา
เรียกว่า... “ไชโยนะจ๊ะ” ไม่มีอะไรจะให้อาบัติ ต้องปาราชิกได้อีกแล้ว เพราะ “นะจ๊ะไชโยโห่ฮิ้ว” มิใช่พระนานแล้ว “นะจ๊ะ” อาบัติปาราชิกไปก่อนพระสังฆราชฯ จะทรงมีพระลิขิตด้วยซ้ำไป
แต่ที่ “นะจ๊ะ” ยังแต่งชุดโล้นห่มเหลืองได้ ยังเร่ไปประเคนเงินทองทรัพย์สินต่างๆ ให้พระบิ๊กๆ และผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้ ก็เพราะอาณาจักรและศาสนจักร หรือพระและฆราวาสที่มีอำนาจ มิได้ยึดถือความดีและความถูกต้องเป็นสรณะ แต่กลับไปยึดกิเลสในลาภ-ยศ-เงินทองเป็นสรณะแทนนั่นเอง
ยามนี้-สังคมไทยเสื่อมทราม ทั้งคุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรมไปแล้วโดยสิ้นเชิง!
ศาสนจักรวันโน้นตราบจนวันนี้ 2,558 ปี พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระธรรมวินัย 227 ข้อ มิได้ผิด-มิได้เสื่อม-ไม่มีอะไรให้ต้องสังคายนาทั้งสิ้น
แต่คนที่บวชเป็นพระสงฆ์จำนวนหนึ่งต่างหาก ที่มีพฤติกรรมเสื่อมทราม จนถือเป็นพระไม่ได้อีกต่อไป เพราะมิใช่พระสงฆ์ตามที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้แต่พุทธกาล ดังนั้น พระสงฆ์และฆราวาสที่ดีและนับถือพุทธศาสนา จะต้องช่วยกันขจัดพระสงฆ์ที่มิใช่พระสงฆ์แท้จริงกันอย่างจริงจังเสียที
รัฐบาล-พระสงฆ์-พุทธบริษัทที่ดี จะต้องร่วมมือร่วมใจเผยแพร่พระธรรมคำสอนแห่งพุทธศาสนา พระธรรมวินัย 227 ข้อที่ถูกต้องแท้จริงให้พุทธบริษัทได้รับรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้
ผู้รักศาสนาทุกภาคส่วนในชาติไทย จะต้องไม่ปล่อยให้โล้นห่มเหลืองที่มิใช่พระ หรือพวกอลัชชีหรือเดียรถีย์ยึดอำนาจในองค์กรสำคัญๆ ของสงฆ์และฆราวาส แล้วนำลัทธิ “ธรรมะกลาย” สามานย์ ที่มิใช่พุทธศาสนามาต้มตุ๋นลวงหลอกผู้คนอีกต่อไป
“นะจ๊ะ” ได้อวดอุตริมนุสธรรมผิดๆ ที่มิใช่ศาสนาพุทธแล้ว ได้โกงทรัพย์ของวัดไปเป็นสมบัติส่วนตัวแล้ว ได้ถูกลิขิตพระสังฆราชฯ ชี้ชัดว่า “นะจ๊ะ” ได้อาบัติต้องปาราชิกตั้งแต่ทำผิดแล้ว และต้องคืนทรัพย์ทั้งปวงที่โกงไปแก่วัดทันที แต่ “นะจ๊ะ” ยังอมของกลางไว้นานนับ 7 ปี-จึงยอมคืน
แต่สันดานโกงและโลภชนิดไม่รู้จักพอ ทำให้ “นะจ๊ะ” ร่วมกับอดีตไวยาวัจกร ของวัด “จานบินสู่สวรรค์ชั้นอเวจี” และขบวนโล้นที่ยังห่มเหลืองและไม่ห่มเหลือง แอบไปอมเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น กันอย่างมโหฬารนับพันนับหมื่นล้านอีกด้วย
ขบวนการขี้โกงต้มตุ๋นครั้งนี้ของ “นะจ๊ะ” กับพวก นำความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสมาสู่เจ้าของเงินจำนวนมากมายมหาศาล ที่สู้อดออมไว้ใช้จ่ายยามเกษียณ ทั้งที่ฝากเงินกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน และสหกรณ์อื่นๆ ทั่วประเทศ
บาปเก่าของ “นะจ๊ะ” ยังไม่ชำระสะสาง ก็ก่อบาปกรรมใหม่ทับซ้อนเพิ่มพูนขึ้นอีก!
แต่พระอาวุโสที่มีหน้าที่ลงโทษพระสงฆ์ที่ทำผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงซ้ำซากกลับนิ่งเฉย ทำเป็น “ทองไม่รู้ร้อน” จนสร้างค่านิยมผิดๆ ในสังคมว่า “ทำดีได้ดีมีให้เห็นที่ไหน-ทำชั่วได้ดีมีให้เห็นถมไป”
เดียรถีย์ “นะจ๊ะไชโยโห่ฮิ้ว” น่ะ-บาปหนักแน่ แต่คนหรือพระที่มีหน้าที่ทำให้พุทธศาสนาบริสุทธิ์ผุดผ่องก่อเกิดศรัทธาต่อผู้คน กลับเพิกเฉยไม่ชะล้างพระที่มิใช่พระ ไม่ขจัดมารศาสนาในขณะนี้ น่าจะบาปหนักกว่าเสียแล้วล่ะ...จริงไหม...?
เมื่อพระไม่คิดจะทำอะไร กับเหล่าเดียรถีย์และอลัชชี...เห็นทีคงถึง...
ยุคพระเจ้าอโศกมหาราช-ที่ฆราวาสต้องจัดการกับมารศาสนาเองนะโยม...!!!
เหลี่ยม-โกงชาติ! นะจ๊ะ-โกงวัด! แต่โกงประชาชนเหมือนกัน ด้วยสันดานเห็น “เงินเป็นพระเจ้า!”
ทั้งคู่มี “เงินสกปรก” มากมาย มีสมุน “มืดบอดปัญญา” เปี่ยมกิเลส เป็น “ขี้ข้า” รับใช้ทุกรูปแบบ มีทั้งเดียรถีย์ห่มผ้าเหลืองบังหน้า มีแดงสู้แล้วรวย กับแดงล้มเจ้า มี “ชายชุดดำ” ใช้อาวุธสงครามแอบฆ่าผู้ต่อต้านการทำชั่วของพวกตน ฯลฯ
หลังยึดอำนาจอาณาจักรกับศาสนจักรได้ “เหลี่ยม” กับ “นะจ๊ะ” คิดการใหญ่ เตรียมเปลี่ยนพุทธศาสนาให้เป็น “ธรรมกลายพันธุ์” ที่มิใช่คำสอนของพุทธศาสนา
โดยช่วงหาเสียง “น้องปู” ของ “พี่เหลี่ยม” ได้มีการประกาศไว้ว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาล “พี่คิด-น้อง(ไร้สมอง)ทำ” เมื่อไหร่ เธอจะสังคายนาพุทธศาสนาครั้งใหญ่ในชาติไทย
อุแม่เจ้า!...แม่คุณทูนหัวผู้ไร้สติ ช่างกล้าพูดในสิ่งที่สมองทึบๆ ของเธอ ไม่มีวันจะเข้าถึงเข้าใจต่อพระธรรมคำสอน ทว่าเธอกลับพูดได้ฉอดๆ ว่า พระพุทธศาสนามีปัญหาต้องถูกสังคายนาใหญ่แล้ว
โดยคุณเธอจงใจไม่พูดถึงการกวาดล้างบรรดาพระสงฆ์ปลอมที่ห่มเหลือง ซึ่งเป็นอลัชชีและเดียรถีย์เที่ยวต้มตุ๋นผู้คนด้วย “ธรรมกลายพันธุ์” ที่มีชีวิตอยู่ด้วยการโกงทรัพย์วัดเป็นอาจินต์อยู่ในวันนี้
เธอและพี่ชายถือว่า โจรในคราบผ้าเหลืองที่เป็นมารศาสนา ซึ่งเที่ยวปล้นเงินทองของประชาชนเป็นพวกพ้อง ที่เครือข่ายรัฐบาลของเธอกับพี่ชายให้การทำนุบำรุงส่งเสริมทุกรูปแบบ จนอิทธิพลผิดๆ ของ “นะจ๊ะ” ได้แพร่ไปทั่วในหมู่คนที่มืดบอดทางปัญญา ด้วยคำสอนแห่ง “ซาตาน” อันโกหกมดเท็จ ซึ่งมิใช่คำสอนที่ถูกต้องแห่งธรรมพระพุทธเจ้า
“งาช้างไม่มีวันงอกออกจากปากหมา” ฉันใด การทำชั่วของคนชั่วโดยสันดาน ย่อมไม่มีวันจะยุติลงได้ด้วยการร้องขอฉันนั้น “นะจ๊ะ” ทำผิดร้ายแรงต่อพระธรรมวินัย ด้วยการโกงทรัพย์วัด ซึ่งต้องอาบัติปาราชิกไปแล้วทันที แต่ยังทำผิดอวดอุตริอีกสารพัดต่อผู้คนทั้งชาติอย่างหน้าด้านๆ ตลอดเวลา
เรียกว่า... “ไชโยนะจ๊ะ” ไม่มีอะไรจะให้อาบัติ ต้องปาราชิกได้อีกแล้ว เพราะ “นะจ๊ะไชโยโห่ฮิ้ว” มิใช่พระนานแล้ว “นะจ๊ะ” อาบัติปาราชิกไปก่อนพระสังฆราชฯ จะทรงมีพระลิขิตด้วยซ้ำไป
แต่ที่ “นะจ๊ะ” ยังแต่งชุดโล้นห่มเหลืองได้ ยังเร่ไปประเคนเงินทองทรัพย์สินต่างๆ ให้พระบิ๊กๆ และผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้ ก็เพราะอาณาจักรและศาสนจักร หรือพระและฆราวาสที่มีอำนาจ มิได้ยึดถือความดีและความถูกต้องเป็นสรณะ แต่กลับไปยึดกิเลสในลาภ-ยศ-เงินทองเป็นสรณะแทนนั่นเอง
ยามนี้-สังคมไทยเสื่อมทราม ทั้งคุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรมไปแล้วโดยสิ้นเชิง!
ศาสนจักรวันโน้นตราบจนวันนี้ 2,558 ปี พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระธรรมวินัย 227 ข้อ มิได้ผิด-มิได้เสื่อม-ไม่มีอะไรให้ต้องสังคายนาทั้งสิ้น
แต่คนที่บวชเป็นพระสงฆ์จำนวนหนึ่งต่างหาก ที่มีพฤติกรรมเสื่อมทราม จนถือเป็นพระไม่ได้อีกต่อไป เพราะมิใช่พระสงฆ์ตามที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้แต่พุทธกาล ดังนั้น พระสงฆ์และฆราวาสที่ดีและนับถือพุทธศาสนา จะต้องช่วยกันขจัดพระสงฆ์ที่มิใช่พระสงฆ์แท้จริงกันอย่างจริงจังเสียที
รัฐบาล-พระสงฆ์-พุทธบริษัทที่ดี จะต้องร่วมมือร่วมใจเผยแพร่พระธรรมคำสอนแห่งพุทธศาสนา พระธรรมวินัย 227 ข้อที่ถูกต้องแท้จริงให้พุทธบริษัทได้รับรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้
ผู้รักศาสนาทุกภาคส่วนในชาติไทย จะต้องไม่ปล่อยให้โล้นห่มเหลืองที่มิใช่พระ หรือพวกอลัชชีหรือเดียรถีย์ยึดอำนาจในองค์กรสำคัญๆ ของสงฆ์และฆราวาส แล้วนำลัทธิ “ธรรมะกลาย” สามานย์ ที่มิใช่พุทธศาสนามาต้มตุ๋นลวงหลอกผู้คนอีกต่อไป
“นะจ๊ะ” ได้อวดอุตริมนุสธรรมผิดๆ ที่มิใช่ศาสนาพุทธแล้ว ได้โกงทรัพย์ของวัดไปเป็นสมบัติส่วนตัวแล้ว ได้ถูกลิขิตพระสังฆราชฯ ชี้ชัดว่า “นะจ๊ะ” ได้อาบัติต้องปาราชิกตั้งแต่ทำผิดแล้ว และต้องคืนทรัพย์ทั้งปวงที่โกงไปแก่วัดทันที แต่ “นะจ๊ะ” ยังอมของกลางไว้นานนับ 7 ปี-จึงยอมคืน
แต่สันดานโกงและโลภชนิดไม่รู้จักพอ ทำให้ “นะจ๊ะ” ร่วมกับอดีตไวยาวัจกร ของวัด “จานบินสู่สวรรค์ชั้นอเวจี” และขบวนโล้นที่ยังห่มเหลืองและไม่ห่มเหลือง แอบไปอมเงินของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น กันอย่างมโหฬารนับพันนับหมื่นล้านอีกด้วย
ขบวนการขี้โกงต้มตุ๋นครั้งนี้ของ “นะจ๊ะ” กับพวก นำความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสมาสู่เจ้าของเงินจำนวนมากมายมหาศาล ที่สู้อดออมไว้ใช้จ่ายยามเกษียณ ทั้งที่ฝากเงินกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน และสหกรณ์อื่นๆ ทั่วประเทศ
บาปเก่าของ “นะจ๊ะ” ยังไม่ชำระสะสาง ก็ก่อบาปกรรมใหม่ทับซ้อนเพิ่มพูนขึ้นอีก!
แต่พระอาวุโสที่มีหน้าที่ลงโทษพระสงฆ์ที่ทำผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงซ้ำซากกลับนิ่งเฉย ทำเป็น “ทองไม่รู้ร้อน” จนสร้างค่านิยมผิดๆ ในสังคมว่า “ทำดีได้ดีมีให้เห็นที่ไหน-ทำชั่วได้ดีมีให้เห็นถมไป”
เดียรถีย์ “นะจ๊ะไชโยโห่ฮิ้ว” น่ะ-บาปหนักแน่ แต่คนหรือพระที่มีหน้าที่ทำให้พุทธศาสนาบริสุทธิ์ผุดผ่องก่อเกิดศรัทธาต่อผู้คน กลับเพิกเฉยไม่ชะล้างพระที่มิใช่พระ ไม่ขจัดมารศาสนาในขณะนี้ น่าจะบาปหนักกว่าเสียแล้วล่ะ...จริงไหม...?
เมื่อพระไม่คิดจะทำอะไร กับเหล่าเดียรถีย์และอลัชชี...เห็นทีคงถึง...
ยุคพระเจ้าอโศกมหาราช-ที่ฆราวาสต้องจัดการกับมารศาสนาเองนะโยม...!!!