ป้อมพระอาทิตย์
โดย โสภณ องค์การณ์
รัฐบาล สนช. สปช. มีเรื่องต้องทำเยอะ ทั้งแก้ปัญหาเก่า ใหม่ บางครั้งเหมือนพายเรือในอ่าง รับบทลิงแก้แห เรื่องเยอะ วนไปเวียนมา ทำให้การเมืองดูเหมือนเป็นตัวถ่วงความเจริญของชาติ
นั่นเป็นเพราะยังเกาไม่ถูกที่คัน แก้ปัญหาไม่ตรงจุด สิ่งที่ควรทำก็ไม่ทำ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวการต้นเหตุของวิกฤตเรื้อรังเป็น "ใคร" หรือ "อะไร"
ก็ทำกันแบบไทยๆ มีทั้งผักชีโรยหน้า ลูบหน้าปะจมูก กลัวเสียหน้า เน้นการรักษาหน้า ปัญหาจึงค้างคาอยู่ ชาวบ้านจึงหน้าแห้ง ลืมตาอ้าปากไม่ได้บางครั้งการพยายามแก้ปัญหากลายเป็นการสร้างปัญหาใหม่ ก่อเรื่องซึ่งจะเป็นต้นเหตุแห่งความขัดแย้ง
หรือกลัวความขัดแย้ง จึงหาทางปิดกั้นความขัดแย้งด้วยมาตรการ กฎหมาย ทำให้เกิดมิติใหม่ของบรรยากาศของความเป็นปฏิปักษ์
การออกกฎหมายห้ามการชุมนุม อ้างว่าจำเป็น ต่างประเทศก็มี บ้านเราต้องมีบ้าง แต่ละเว้นไม่ทำอย่างอื่นที่สำคัญกว่า เช่นการปฏิรูปกลไก กระบวนการยุติธรรม องค์กรตำรวจ อัยการ การลงโทษหนักสำหรับการใช้อำนาจโดยมิชอบ เมื่อเจ้าหน้าทำผิด ไม่เน้นเฉพาะการโยกย้าย แต่เน้นการดำเนินคดีอาญาก่อนโทษทางวินัย ไม่ส่อเจตนาช่วยเหลือพวกเดียวกัน
เรื่องฉาวโฉ่ สุดยอดแห่งความเลวทรามล่าสุดคือกรณีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองนายหนึ่งถูกกล่าวหาว่าได้กลั่นแกล้งสายการบินไทย ทำให้ล่าช้าต่อเนื่องถึง 50 เที่ยวบินเพียงเพราะนายตำรวจผู้นั้นถูกเจ้าหน้าที่ห้ามไม่ให้เบ่งเดินเข้าไปส่งเมียที่ประตูขึ้นเครื่องเท่านั้น
ถ้าส่งผลกระทบเพียงเที่ยวบินเดียว ผู้โดยสารหลายร้อยคน ทั้งเด็กและคนชราก็เลวเกินพอ แต่จิตอาฆาตทำให้คนเดือดร้อนถึง 50 เที่ยวบิน ผู้โดยสารหลายพันคน ความเสียหายในความล่าช้าส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของการที่คนต้องรอ กลัวต่อเครื่องบินไม่ทันจะขนาดไหน
กรณีเช่นนี้ต้องไล่ออกจากราชการโดยด่วน ขัง ห้ามประกัน ฟ้องเรียกค่าเสียหายจนหมดตัว ก็ยังไม่พอกับความผิดและความชั่วร้าย
เจ้าหน้าที่นายนั้นเป็นรายเดียวกับการถูกสั่งย้ายหรือไม่ต้องรอการสอบสวนพิสูจน์คำร้องเรียนและพฤติกรรม แต่ต้องหาตัวผู้กระทำความผิดให้ได้ ลงโทษขั้นไล่ออก มีคดีอาญาขั้นจำคุก
วันนี้อยากให้การเมืองเรื่องร่างรัฐธรรมนูญว่ากันต่อไป ใครร้อนวิชาความคิดบรรเจิดอย่างไรเชิญแสดงออกให้เต็มที่ จะถึงขั้นเลยกรุงลงกาจนหลุดโลกหรือไม่ขึ้นอยู่กับการยอมหรือไม่ยอม
ชาวบ้านรอรับเละทั้งขึ้นทั้งล่องอยู่แล้ว เป็นอย่างนี้ทุกยุค เป็นผู้ถูกกระทำโดยการเมืองน้ำเน่าสามานย์ด้อยพัฒนาตั้งแต่กลางปี 2475 กำเนิดระบอบประชาธิปไตยกำมะลอเน้นการชิงอำนาจและผลประโยชน์
เรื่องปัญหาเศรษฐกิจน่ากลัวกว่าเยอะ เรื่องปากท้องชีวิตความเป็นอยู่ ทุกข์สุขเป็นมาตรวัดความสามารถของผู้บริหารบ้านเมือง สภาพโดยรวมจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับชาวบ้านว่ามีความสุข หรือแร้นแค้นอดอยาก
ผู้นำรัฐบาลพยายามทำหลายอย่าง ทั้งหวังผลในเชิงสัญญาลักษณ์ ความฉาบฉวยหวือหวา รูปแบบนำร่อง เช่นการปรับรอบทำเนียบรัฐบาลเป็นตลาดกล้วยไม้ ตลาดน้ำ และตลาดขายข้าวสาร
ผลจะยั่งยืนหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ว่าชาวบ้านให้การตอบรับระดับไหน ชีวิตดีขึ้นหรือไม่
มาถึงจุดนี้ ถ้าใครไม่หลอกตัวเองเกินไปน่าจะตระหนักว่าการเปิดตลาดเสรี ทั้งผ่านข้อตกลงเขตการค้าเสรี การปล่อยให้ขยายจำนวนของห้างซูเปอร์สโตร์ มินิมาร์ท ร้านสะดวกซื้อขนาดต่างๆ แทบทุกชุมชนนั้นไม่ใช่เป็นการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านให้สะดวกทันสมัย ถูกหลักความสะอาด อนามัย แต่เป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ความอยู่รอดของผู้ค้ารายย่อย สายป่านสั้น ทำให้สิ้นสภาพความสามารถในการแข่งขัน พากันทยอยล้มหายตายจากไปจำนวนมาก
และระดับผู้ค้ารายย่อยนี้แหละทำให้ขาดความเชื่อมต่อสู่ฐานรากของพลังเศรษฐกิจอย่างสมบูรณ์ คนระดับล่างขาดรายได้ ถ้าไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า ย่อมส่งผลกระทบสู่โครงสร้างโดยรวม
โครงสร้างเสียถาวร นับวันมีแต่จะเลวร้าย แม้แต่ธุรกิจเอสเอ็มอียังไม่รอด ขาดเงินทุน ปิดตัวเองก็มาก ทำให้คนตกงาน ธุรกิจขนาดใหญ่ทุนหนาควบคุม ผูกขาดเศรษฐกิจของประเทศโดยสิ้นเชิง
หมายความว่ารายย่อยไม่มีโอกาสฟื้นตัวลืมตาอ้าปากได้ และยังไม่มีใครคิดแก้ไขเพราะกลุ่มธุรกิจใหญ่ผูกความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกลุ่มกุมอำนาจรัฐเด็ดขาด รัฐบาลย่อมไม่กล้าแตะต้องแน่นอน ผลสุดท้ายธุรกิจขนาดใหญ่ของไม่กี่ตระกูลและธุรกิจต่างชาติซึ่งเป็นเจ้าของสถาบันการเงินจะเป็นเจ้าของประเทศไทยโดยการถือครองที่ดินภาคเกษตรและก่อสร้างที่อยู่อาศัย
คนไทยเป็นเจ้าของประเทศแค่ในนาม ความเป็นจริงคือ "พลเมืองชั้นสอง" แบบเดียวกับชนกลุ่มน้อย พลเมืองชั้นหนึ่งคือนายทุนเจ้าของธุรกิจไทยเทียมโดยสัญชาติและคนต่างชาติ
ผู้นำรัฐบาล ผู้รับผิดชอบประเทศได้คำนำถึงความอยู่รอดของประเทศไทยโดยคนไทยหรือไม่ หรือยอมรับสภาพ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น
ความซบเซาของสภาวะเศรษฐกิจ การไร้อำนาจการซื้อของประชาชนถดถอยจนเกิดสภาวะเงินฝืดแถมส่อแววว่าจะเรื้อรังซึมลึกแก้ไขยากเพราะเป็นปัญหาโครงสร้างแล้ว การอัดฉีดโดยรัฐกระตุ้นโดยงบลงทุนยังไม่เห็นผลเพราะข้าราชการเกียร์ว่าง เกร็ง ทำอะไรเหมือนเดิมไม่ได้
เศรษฐกิจถดถอย เงินฝืด เพราะเศรษฐกิจไต้ดิน เงินจากการทุจริตไม่เคลื่อนหยุดชะงักเช่นกัน เป็นสภาวะผะอืดผะอมยิ่งนัก การเมืองนิ่ง เงินนอกระบบก็หยุดเคลื่อนไหว
แล้วผู้กุมอำนาจรัฐอยู่ทุกวันนี้เพื่ออะไร หรือเพื่อใครกันแน่ เมื่อไม่ทำให้เกิดความหวังสำหรับประชาชนโดยรวม
วุ่นอยู่กับเรื่องรัฐธรรมนูญ ระวังรัฐไทยจะไปไม่รอด