**วันก่อนเห็นดาราสาวแตงโม “ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์" โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านอินสตาแกรมตนเอง ขอโทษ และให้อภัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและครอบครัว โดยให้เหตุผลทางด้านศาสนา มีพระเจ้านำทางเปลี่ยนชีวิต
หากจะย้อนไปในอดีต “แตงโม”ถือว่าเป็นดาราหน้าเวทีชุมนุมต่อต้านตระกูลชินวัตร มาโดยตลอด เรียกว่ามีเวทีที่ไหนต้องเห็นเธอที่นั่น ถึงกับเคยมีเรื่องมีราวจนจะฟ้องร้องหมิ่นประมาทกันมาแล้ว แต่ฝ่ายตรงข้ามก็กลับลำ ซึ่งถ้าจะนับนี่คงเป็นการอภัยโทษให้กันตามหลักศาสนา ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
ส่วนการให้อภัยกันตามหลักกฎหมายก็มีความเคลื่อนไหวมาเป็นกระแสอีกครั้ง เมื่อนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และรองประธานสภาปฏิรูปการเมือง (สปช.) บินตรงลงพื้นที่แดงรับฟังความเห็นของประชาชน ทั้งยังหนีบพลพรรคไปดินเนอร์ จับเข่าคุยกับ “ขวัญชัย ไพรพนา”ประธานชมรมคนรักอุดรฯ แดงตัวพ่อในพื้นที่ภาคอีสาน โชว์ภาพของการรับฟังความเห็นของทุกสี ทุกฝ่าย
ในวาระเดียวกัน นายบวรศักดิ์ได้ปาฐกถาพิเศษเรื่อง "สภาพลเมือง เพื่อการปฏิรูปประเทศ" ที่จังหวัดอุดรธานี ผุดไอเดียตั้งคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติที่มีวาระ 5 ปี มีผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน ตัวแทนจากหลากหลายกลุ่มคู่ขัดแย้งอีก 5 คน ทั้งหมด 14 คน เพื่อมาศึกษารายงานชิ้นต่างๆ ที่เคยมีการทำไว้ก่อนหน้านี้ และเชิญคู่ขัดแย้งมาเจรจาพูดคุยหาทางออก ให้ข้อมูลก่อนที่คณะกรรมการชุดนี้จะเสนอชื่อให้ได้รับการอภัยโทษต่อไป
สิ้นกระแสความตามท้องเรื่อง อีกวันถัดมาก็มีพาดหัวตัวเบ้อเร่อ จากหนังสือพิมพ์หลายสำนักว่า “วันชัย สอนศิริ”สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ก็หยิบยกข้อเสนอในวงข้าว ระหว่าง “ขวัญชัยกับอาจารย์บวรศักดิ์”มากระพือตีความยืดออกมาอีก โดยเสนอให้มี “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เปิดเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งเป็นคนกลางเรียกแกนนำทุกฝ่าย
**"เรื่องการปรองดองถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ไม่ว่าจะนำมาเขียนไว้ในกฎหมายกี่ฉบับ หรือเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญก็จะไม่สำเร็จ เพราะจะต้องเริ่มจากการปฏิบัติจริง สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องทำเพื่อให้ประเทศกลับสู่ความปรองดองโดยเร็ว คือ 1. พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ขอให้นัดเลยจะเจอกันที่ไหน แต่จะต้องมีคนร่วมการพูดคุยด้วย ไม่ใช่คุยกันแค่ 2 คน เพราะอาจถูกมองว่าไปเกี้ยเซียะกันหรือไม่ 2. พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องคุยกับคู่ขัดแย้งต่างๆ ทั้งเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ นปช. แกนนำกปปส. ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ท่านทำมาทั้งหมด จะกลายเป็นความล้มเหลวและเสียของโดยสิ้นเชิง"
เป็นความเคลื่อนไหวที่สอดรับกัน เนื่องจากช่วงสัปดาห์นี้ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พิจารณาร่างบทบัญญัติรายมาตราเข้าสู่การพิจารณา ภาค 4 ว่าด้วยการปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง นายบวรศักดิ์ จึงเปิดเรื่องจั่วหัวที่มาการตั้งคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติขึ้นมา
แต่ข้อเสนอที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์ เจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์ ตกอยู่ในภาวะที่พูดอะไรไม่ได้ ต้องแสดงท่าทีในทางปฏิเสธ ซึ่งไม่ถึงกับปิดประตูตาย พยายามชี้ประเด็นว่า ตนเองเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่สามารถเจรจากับคนที่ทำผิดกฎหมายได้
การยกโจทย์เรื่องปรองดองนี้ขึ้นมาก็มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย และเห็นต่าง คำถามคือว่า การเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ เจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ปัญหาจบได้เลยหรือไม่ คำตอบคือ ไม่สามารถจบลงได้อย่างแน่นอน และไม่ต้องฝันหวานว่าปัญหาที่มีมาอย่างยาวนานจะจบลงอย่างเร็วด่วนทันใจ เพียงเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ไปเจรจาพูดคุย คนที่จะตัดสินเรื่องความปรองดองและนิรโทษกรรมให้กับนักโทษหนีคุก คือประชาชน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง ภาคประชาชนต้องเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกัน และคนที่จะได้รับการอภัย ต้องสำนึกตัวว่าผิด จึงจะได้รับการอภัย
อย่างไรก็ตาม เรื่องการเจรจากับขั้วอำนาจเก่าในตระกูลชินวัตร เคยแพลมออกมาเป็นกระแสข่าวลืออยู่บ่อยๆ ทั้งกรณีที่เคยหยิบยกขึ้นมาว่า พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ เคยไปเจรจาลับมาแล้วในประเทศจีน แต่บิ๊กป้อมก็ปฏิเสธแบบเป็นฟืนเป็นไฟว่าไม่เคยพบกับอดีตนายกฯ
เรื่องนี้ก็แล้วแต่จะมีใครเชื่อหรือไม่
ถ้าสังเกตกันให้ดี หลังการยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ สงบปากสงบคำมากขึ้น ผิดกับการปฏิวัติ เมื่อ 19 ก.ย.49 ที่คอยปลุกระดมให้ประชาชนออกมาต่อสู้ ต่อต้านการยึดอำนาจ นี่เป็นสัญญาณได้หรือไม่ว่า ในทางลับ “ทหารกับทักษิณ” พูดคุยเจรจา จนสามารถบล็อกคนอย่าง “ทักษิณ” ให้อยู่อย่างเงียบเชียบได้ ขนาดนี้
แล้วอยู่ๆ ก็มีฝ่ายโยนไก่ให้จระเข้ ทักษิณ เด้งรับการเจรจาอย่างเปิดเผย แต่มีเงื่อนไขนิดหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าดี๊ด๊าเกินไป
ดังนั้นการเจรจาสามารถเกิดขึ้นได้ เพราะแม้แต่การไปพูดคุยสันติภาพกับกลุ่มที่เห็นต่างกับรัฐ ก็ยังเคยทำมาแล้ว นั่นหมายถึงว่า การจะพูดคุยกันต้องทำอย่างเปิดเผย ให้เกิดความไว้วางใจ ไม่ใช่ย่องเงียบไปคุยกัน
**สังคมไทยเป็นสังคมที่ให้อภัย แต่ขณะเดียวกัน ต้องยืนอยู่บนความถูกต้องด้วย
หากจะย้อนไปในอดีต “แตงโม”ถือว่าเป็นดาราหน้าเวทีชุมนุมต่อต้านตระกูลชินวัตร มาโดยตลอด เรียกว่ามีเวทีที่ไหนต้องเห็นเธอที่นั่น ถึงกับเคยมีเรื่องมีราวจนจะฟ้องร้องหมิ่นประมาทกันมาแล้ว แต่ฝ่ายตรงข้ามก็กลับลำ ซึ่งถ้าจะนับนี่คงเป็นการอภัยโทษให้กันตามหลักศาสนา ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
ส่วนการให้อภัยกันตามหลักกฎหมายก็มีความเคลื่อนไหวมาเป็นกระแสอีกครั้ง เมื่อนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และรองประธานสภาปฏิรูปการเมือง (สปช.) บินตรงลงพื้นที่แดงรับฟังความเห็นของประชาชน ทั้งยังหนีบพลพรรคไปดินเนอร์ จับเข่าคุยกับ “ขวัญชัย ไพรพนา”ประธานชมรมคนรักอุดรฯ แดงตัวพ่อในพื้นที่ภาคอีสาน โชว์ภาพของการรับฟังความเห็นของทุกสี ทุกฝ่าย
ในวาระเดียวกัน นายบวรศักดิ์ได้ปาฐกถาพิเศษเรื่อง "สภาพลเมือง เพื่อการปฏิรูปประเทศ" ที่จังหวัดอุดรธานี ผุดไอเดียตั้งคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติที่มีวาระ 5 ปี มีผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน ตัวแทนจากหลากหลายกลุ่มคู่ขัดแย้งอีก 5 คน ทั้งหมด 14 คน เพื่อมาศึกษารายงานชิ้นต่างๆ ที่เคยมีการทำไว้ก่อนหน้านี้ และเชิญคู่ขัดแย้งมาเจรจาพูดคุยหาทางออก ให้ข้อมูลก่อนที่คณะกรรมการชุดนี้จะเสนอชื่อให้ได้รับการอภัยโทษต่อไป
สิ้นกระแสความตามท้องเรื่อง อีกวันถัดมาก็มีพาดหัวตัวเบ้อเร่อ จากหนังสือพิมพ์หลายสำนักว่า “วันชัย สอนศิริ”สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ก็หยิบยกข้อเสนอในวงข้าว ระหว่าง “ขวัญชัยกับอาจารย์บวรศักดิ์”มากระพือตีความยืดออกมาอีก โดยเสนอให้มี “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เปิดเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งเป็นคนกลางเรียกแกนนำทุกฝ่าย
**"เรื่องการปรองดองถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ไม่ว่าจะนำมาเขียนไว้ในกฎหมายกี่ฉบับ หรือเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญก็จะไม่สำเร็จ เพราะจะต้องเริ่มจากการปฏิบัติจริง สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องทำเพื่อให้ประเทศกลับสู่ความปรองดองโดยเร็ว คือ 1. พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ขอให้นัดเลยจะเจอกันที่ไหน แต่จะต้องมีคนร่วมการพูดคุยด้วย ไม่ใช่คุยกันแค่ 2 คน เพราะอาจถูกมองว่าไปเกี้ยเซียะกันหรือไม่ 2. พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องคุยกับคู่ขัดแย้งต่างๆ ทั้งเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ นปช. แกนนำกปปส. ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ท่านทำมาทั้งหมด จะกลายเป็นความล้มเหลวและเสียของโดยสิ้นเชิง"
เป็นความเคลื่อนไหวที่สอดรับกัน เนื่องจากช่วงสัปดาห์นี้ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พิจารณาร่างบทบัญญัติรายมาตราเข้าสู่การพิจารณา ภาค 4 ว่าด้วยการปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง นายบวรศักดิ์ จึงเปิดเรื่องจั่วหัวที่มาการตั้งคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติขึ้นมา
แต่ข้อเสนอที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์ เจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์ ตกอยู่ในภาวะที่พูดอะไรไม่ได้ ต้องแสดงท่าทีในทางปฏิเสธ ซึ่งไม่ถึงกับปิดประตูตาย พยายามชี้ประเด็นว่า ตนเองเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่สามารถเจรจากับคนที่ทำผิดกฎหมายได้
การยกโจทย์เรื่องปรองดองนี้ขึ้นมาก็มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย และเห็นต่าง คำถามคือว่า การเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ เจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ปัญหาจบได้เลยหรือไม่ คำตอบคือ ไม่สามารถจบลงได้อย่างแน่นอน และไม่ต้องฝันหวานว่าปัญหาที่มีมาอย่างยาวนานจะจบลงอย่างเร็วด่วนทันใจ เพียงเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ไปเจรจาพูดคุย คนที่จะตัดสินเรื่องความปรองดองและนิรโทษกรรมให้กับนักโทษหนีคุก คือประชาชน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง ภาคประชาชนต้องเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกัน และคนที่จะได้รับการอภัย ต้องสำนึกตัวว่าผิด จึงจะได้รับการอภัย
อย่างไรก็ตาม เรื่องการเจรจากับขั้วอำนาจเก่าในตระกูลชินวัตร เคยแพลมออกมาเป็นกระแสข่าวลืออยู่บ่อยๆ ทั้งกรณีที่เคยหยิบยกขึ้นมาว่า พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ เคยไปเจรจาลับมาแล้วในประเทศจีน แต่บิ๊กป้อมก็ปฏิเสธแบบเป็นฟืนเป็นไฟว่าไม่เคยพบกับอดีตนายกฯ
เรื่องนี้ก็แล้วแต่จะมีใครเชื่อหรือไม่
ถ้าสังเกตกันให้ดี หลังการยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ สงบปากสงบคำมากขึ้น ผิดกับการปฏิวัติ เมื่อ 19 ก.ย.49 ที่คอยปลุกระดมให้ประชาชนออกมาต่อสู้ ต่อต้านการยึดอำนาจ นี่เป็นสัญญาณได้หรือไม่ว่า ในทางลับ “ทหารกับทักษิณ” พูดคุยเจรจา จนสามารถบล็อกคนอย่าง “ทักษิณ” ให้อยู่อย่างเงียบเชียบได้ ขนาดนี้
แล้วอยู่ๆ ก็มีฝ่ายโยนไก่ให้จระเข้ ทักษิณ เด้งรับการเจรจาอย่างเปิดเผย แต่มีเงื่อนไขนิดหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าดี๊ด๊าเกินไป
ดังนั้นการเจรจาสามารถเกิดขึ้นได้ เพราะแม้แต่การไปพูดคุยสันติภาพกับกลุ่มที่เห็นต่างกับรัฐ ก็ยังเคยทำมาแล้ว นั่นหมายถึงว่า การจะพูดคุยกันต้องทำอย่างเปิดเผย ให้เกิดความไว้วางใจ ไม่ใช่ย่องเงียบไปคุยกัน
**สังคมไทยเป็นสังคมที่ให้อภัย แต่ขณะเดียวกัน ต้องยืนอยู่บนความถูกต้องด้วย