xs
xsm
sm
md
lg

BAYไม่เข้าเทนเดอร์ฯลิส

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน - “เกศรา” ยอมรับเตรียมหารือกับนักลงทุนสถาบันเพื่อทบทวนสัดส่วนของหุ้นในกลุ่มต่างๆ ที่ใช้ในการคำนวณ SET Index ให้สะท้อนพื้นฐานที่แท้จริง และมีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ระบุชัดเจนเกณฑ์ที่จะขึ้น Trading Alert List ต้องพิจารณาหลายขั้นตอน ระบุ BAY ยังเคลื่อนไหวไม่ร้อนแรงพอ ย้ำชัดเจนสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนรายย่อยของ BAY ยังอยู่ที่ 15% ตามเกณฑ์ก.ล.ต.

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. เปิดเผยว่า ตลท.อยู่ระห่วางเตรียมหารือกับนักลงทุนสถาบันเพื่อทบทวนสัดส่วนของหุ้นในกลุ่มต่างๆ ที่ใช้ในการคำนวณ SET Index ให้สะท้อนพื้นฐานที่แท้จริง และมีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นต่างประเทศ

"เรามีแผนที่จะมาทบทวนการคำนวณดัชนี SET INDEX เพื่อที่จะให้ดัชนี SET INDEX สะท้อนพื้นฐานที่แท้จริง ซึ่งทางเราก็จะหารือกับนักลงทุนสถาบัน ว่าจะมีข้อเสนอแนะอย่างไรในการปรับปรุงครั้งนี้"นางเกศรา กล่าว

ขณะเดียวกันได้กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นบมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BAY ที่ร้อนแรงต่อเนื่องตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า ยังไม่เข้าเกณฑ์ที่ ตลท.จะขึ้น Trading Alert List พร้อมกันนี้ยังยืนยันว่าสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนรายย่อยของ BAY ยังเป็นไปตามเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. กำหนดไว้ คือ ไม่ต่ำกว่า 15%

"ตลท.ตรวจสอบแล้วหุ้น BAY ยังมีฟรีโฟลทไม่ต่ำกว่า 15% ตาม ที่ กลต. กำหนดไว้ และการที่ราคาปรับขึ้นไปแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมาเราก็ยังไม่ได้ขึ้น Trading Alert List เพราะเราจะมีเกณฑ์ไว้หลายข้อด้วยกัน ซึ่งบริษัทไหนที่จะขึ้น Trading Alert List ได้นั้นจะต้องครบเกณฑ์ที่เราวางไว้ทุกข้อก่อน ส่วนข่าวลือที่ออกมาอย่างต่อเนื่องนั้นทาง ตลท. ก็ไม่ได้นิ่งเฉย ได้ถามไปยัง BAY ตลอด" นางเกศรา กล่าว

วานนี้หุ้นบมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BAY ปิดตลาดไปที่ 72.25 บาท ลดลง 5.75 บาท เปลี่ยนแปลง -7.37% มูลค่าการซื้อขาย 1,207,079 ล้านบาท โดยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวของ BAY ส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยตรง เริ่มตั้งแต่19/01/2558 ปิดที่ 62.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท เปลี่ยนแปลง +9.73% มูลค่าการซื้อขาย 105,887.94 ล้านบาท

วันที่ 20/01/2558 ปิดที่ 62.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท เปลี่ยนแปลง +1.21% มูลค่าการซื้อขาย 89,109.11 ล้านบาท วันที่ 21/01/2558 ปิดที่ 64.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท เปลี่ยนแปลง +1.99% มูลค่าการซื้อขาย 86,986.65 ล้านบาท,วันที่ 22/01/2558 ปิดที่ 69.75 บาท เพิ่มขึ้น 5.75 บาท เปลี่ยนแปลง +8.98% มูลค่าการซื้อขาย 230,757.41 ล้านบาท วันที่ 23/01/2558 ปิดที่ 90.50 เพิ่มขึ้น 20.75 บาท เปลี่ยนแปลง +29.75% มูลค่าการซื้อขายสูงถึง 946,636.97 ล้านบาทและวันที่ 26/01/2558 ปิดที่ 78.00 บาท ลดลง 12.50 บาท เปลี่ยนแปลง -13.81% มูลค่าการซื้อขาย 1,759,582.13 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปิดตลาดวันที่ 27 มกราคม 2558 ไปที่ 1,589.81 จุด เพิ่มขึ้น 1.50 จุด เปลี่ยนแปลง +0.09% มูลค่าการซื้อขาย 62,859.26 ล้านบาท ระหว่างวันแตะจุดสูงสุดที่ 1,605.67 จุดและต่ำสุดที่ 1,586.94 จุด โดยสถาบันในประเทศขายสุทธิ 659.07 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 3,048.72 ล้านบาท ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 347.02 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 3,360.77 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทยสรุปความเคลื่อนไหว วานนี้ดัชนี SET ถูกผลักดันโดยหุ้นกลุ่ม Bank นำโดย BAY ที่ ปรับตัวขึ้นถึง +1.28% ในช่วงเช้าก่อนจะอ่อนตัวลงมาในช่วงบ่าย ขณะเดียวกันยังคงมีแรงส่งจากหุ้นใหญ่ในหมวดอื่นยังคงต่อเนื่อง ได้แก่ ICT Property และ Energy ตามลำดับ พร้อมคาดการณ์วันนี้ (28 ม.ค.) ดัชนียังคงมีแนวโน้มแกว่งผันผวนในกรอบ 1,590-1,610 จุดเนื่องจากปัจจัยลบภายนอกหลังการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอ อาทิ ผลกำไรของกลุ่มธุรกิจภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค.57 หดตัวลง -8%YoY จาก -4.2% ในเดือนพ.ย.57 เป็นปัจจัยทีมีโอกาสกดดันให้ SET Index แกว่งผันผวน

พร้อมแนะนำกลยุทธ์ เลือกเก็งกำไรรายตัวในหุ้นที่มีประเด็นบวก" ตลาดมีโอกาสแกว่งบริเวณ 1,600 จุด แต่ประเมินความเสี่ยงทางลงจำกัดที่ 1,580+/- จุด โดยมาตการ QE ของ ECB เป็นปัจจัยบวกต่อเงินทุนไหลเข้า ดังนั้น แนะนำทยอยซื้อเก็งกำไรเมื่ออ่อนตัว

ขณะที่นายเกรียงไกร ทำนุทัศน์ นักวิเคราะห์กลยุทธ์อาวุโส บล.เออีซี หรือ AEC กล่าวถึงแนวโน้มดัชนี SET Index ในปีนี้ซึ่งประเมินไว้คาดว่าจะอยู่ที่ 1,680 จุด โดยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 13% จากปีที่แล้วที่ขยายตัวเพียง 1% ขณะที่อัตราผลตอบแทนในการลงทุนของตลาดหุ้นปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 15.2% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากผลตอบแทนของการปรับขึ้นของดัชนีที่ระดับ 12% และอัตราเงินปันผลระดับ 3% ส่วนระดับความ
ผันผวนของตลาดหุ้นไทยในระยะ 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ระดับ 12%

"ในส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมที่โดดเด่นในปีนี้ ได้แก่ กลุ่มขนส่งและธุรกิจการบิน, กลุ่มมีเดียที่ได้รับอานิสงส์จากทีวีดิจิตอล , และหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น แนะลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดี จากผลการดำเนินงานที่เติบโต มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น โดยให้ขยายระยะเวลาการถือครองหุ้นในช่วงสั้น หรือ 1 เดือน ส่วนหุ้นเด่นในกลุ่ม Big Cap ได้แก่ TRUE, ADVANC, BH, BGH และหุ้นที่มีความโดดเด่นได้แก่ RS, MONO, ANAN, UNQ, BKD, CBG, S, SINGER, TPIPL"
กำลังโหลดความคิดเห็น