ASTVผู้จัดการรายวัน - ศาลฎีกาจำคุก"ปณวัตร เลี้ยงผ่องพันธุ์"อดีตส.ส.บุรีรัมย์ 7 สมัย 4 ปี พร้อมเมีย-พี่ชาย-ญาติ ปรับ 22 ล้าน คดีลักดินลูกรังในเขตปฏิรูปที่ดินป่าดงเค็ง บ้านจิกน้อย หมู่ 4 ต.คูเมือง อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์
เมื่อเวลา 09.00 น. วานนี้ (26 ม.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 6 ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ อ.3402/2548 หมายเลขแดงที่ 3216 /2549 ที่พนักงานอัยการจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายแสวง เลี้ยงผ่องพันธุ์ อายุ 66 ปี นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) คูเมือง จำเลยที่ 1 หจก.งบประมาณก่อสร้าง โดยนายกาศ ลวดไธสง จำเลยที่ 2 นายปณวัตร เลี้ยงผ่องพันธุ์ อายุ 53 ปี อดีตส.ส.บุรีรัมย์ 7 สมัย จำเลยที่ 3 นางเจติยา เลี้ยงผ่องพันธุ์ อายุ 53 ปี อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลคูเมือง ภรรยานายปณวัตร จำเลยที่ 4 นางทอง เลี้ยงผ่องพันธุ์ อายุ 58 ปี อดีตส.จ.บุรีรัมย์ ภรรยานายแสวง จำเลยที่ 5
นายดาว ตอรบรัมย์ อายุ 66 ปี จำเลยที่ 6 นายสนั่น เดิมทำรัมย์ จำเลยที่ 7 และนายเชาวลิต สิงหชัย อายุ 64 ปี จำเลยที่ 8 ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์
คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าระหว่างเดือนมีนาคม 2533 ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2556 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งแปดร่วมกันลักดินลูกรังในเขตปฏิรูปที่ดินป่าดงเค็ง บ้านจิกน้อย หมู่ 4 ต.คูเมือง อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม รวมที่ดินขุดตักเอาดินลูกรังเนื้อที่ 141 ไร่ 2 งาน 61 ตารางวา ปริมาตรดินลูกรัง 458,311,103 ลูกบาศก์เมตร รวมราคาทรัพย์ 22,604,715 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 8 มีความผิดตามประมวลกฎหมาย มาตรา335(7) วรรคแรก ประกอบมาตรา 83, 336 ทวิ ให้จำคุกคนละ 7 ปี ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 8 ร่วมกันใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 22,604,715 บาท แก่ผู้เสียหาย ข้อหาและคำขออื่นให้ยก และยกฟ้องจำเลยที่ 2
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จำเลยที่ 7 ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 7 เสียจากสารบบความ โดยศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 และที่ 8 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 8 ร่วมกันกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักให้รับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 8 ร่วมกันใช้รถตักดินขุดเอาดินลูกรัง และใช้รถบรรทุกขนเอาดินลูกรังดังกล่าวไปจากที่ดินบริเวณสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม อันเป็นกรรมสิทธิ์ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ผู้เสียหาย เป็นเนื้อที่ 141 ไร่ 2 งาน 61 ตารางวา ปริมาตร 458,311,103 ลูกบาศก์เมตร รวมราคาทรัพย์เป็นเงิน22,604,715 บาท
พยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยที่นำสืบปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่มีน้ำหนักน้อย ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 8 เป็นความผิดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยดังกล่าวมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ศาลฎีกา พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 8 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคแรก 336 ทวิ ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี และให้ร่วมกันชดใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 22,604,715 บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลมีคำพิพากษาจำคุก นายแสวง นายปณวัตร และนางเจติยาพร้อมกับพวกรวม 6 คน ต่างมีสีหน้าวิตกกังวล จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งไปคุมขังยังเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ต่อไป
เมื่อเวลา 09.00 น. วานนี้ (26 ม.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 6 ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ อ.3402/2548 หมายเลขแดงที่ 3216 /2549 ที่พนักงานอัยการจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายแสวง เลี้ยงผ่องพันธุ์ อายุ 66 ปี นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) คูเมือง จำเลยที่ 1 หจก.งบประมาณก่อสร้าง โดยนายกาศ ลวดไธสง จำเลยที่ 2 นายปณวัตร เลี้ยงผ่องพันธุ์ อายุ 53 ปี อดีตส.ส.บุรีรัมย์ 7 สมัย จำเลยที่ 3 นางเจติยา เลี้ยงผ่องพันธุ์ อายุ 53 ปี อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลคูเมือง ภรรยานายปณวัตร จำเลยที่ 4 นางทอง เลี้ยงผ่องพันธุ์ อายุ 58 ปี อดีตส.จ.บุรีรัมย์ ภรรยานายแสวง จำเลยที่ 5
นายดาว ตอรบรัมย์ อายุ 66 ปี จำเลยที่ 6 นายสนั่น เดิมทำรัมย์ จำเลยที่ 7 และนายเชาวลิต สิงหชัย อายุ 64 ปี จำเลยที่ 8 ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์
คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าระหว่างเดือนมีนาคม 2533 ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2556 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งแปดร่วมกันลักดินลูกรังในเขตปฏิรูปที่ดินป่าดงเค็ง บ้านจิกน้อย หมู่ 4 ต.คูเมือง อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม รวมที่ดินขุดตักเอาดินลูกรังเนื้อที่ 141 ไร่ 2 งาน 61 ตารางวา ปริมาตรดินลูกรัง 458,311,103 ลูกบาศก์เมตร รวมราคาทรัพย์ 22,604,715 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 8 มีความผิดตามประมวลกฎหมาย มาตรา335(7) วรรคแรก ประกอบมาตรา 83, 336 ทวิ ให้จำคุกคนละ 7 ปี ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 8 ร่วมกันใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 22,604,715 บาท แก่ผู้เสียหาย ข้อหาและคำขออื่นให้ยก และยกฟ้องจำเลยที่ 2
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จำเลยที่ 7 ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 7 เสียจากสารบบความ โดยศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 และที่ 8 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 8 ร่วมกันกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักให้รับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 8 ร่วมกันใช้รถตักดินขุดเอาดินลูกรัง และใช้รถบรรทุกขนเอาดินลูกรังดังกล่าวไปจากที่ดินบริเวณสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม อันเป็นกรรมสิทธิ์ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ผู้เสียหาย เป็นเนื้อที่ 141 ไร่ 2 งาน 61 ตารางวา ปริมาตร 458,311,103 ลูกบาศก์เมตร รวมราคาทรัพย์เป็นเงิน22,604,715 บาท
พยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยที่นำสืบปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่มีน้ำหนักน้อย ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 8 เป็นความผิดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยดังกล่าวมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ศาลฎีกา พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 8 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคแรก 336 ทวิ ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี และให้ร่วมกันชดใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 22,604,715 บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลมีคำพิพากษาจำคุก นายแสวง นายปณวัตร และนางเจติยาพร้อมกับพวกรวม 6 คน ต่างมีสีหน้าวิตกกังวล จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งไปคุมขังยังเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ต่อไป