ผู้สื่อข่าวรายงานการเดินทางไปร่วมประชุม ASEAN-ROK CEO Summit ที่ประเทศเกาหลี ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะว่า เมื่อเวลา 07.00 น. วานนี้ (11ธ.ค.) นายกรัฐมนตรี ได้พบปะหารือกับภาคธุรกิจชั้นนำของเกาหลีใต้ ระหว่างรับประทานอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก โดยมีผู้เข้าร่วมจากภาคธุรกิจเกาหลี อาทิ ผู้แทนองค์กรส่งเสริมการค้าและการลงทุนของประเทศเกาหลีใต้ บริษัท K-water บริษัท Lotte Hotel & Resort ซึ่งดำเนินกิจการโรงแรม รีสอร์ต และร้านค้าปลอดภาษีชั้นนำ บริษัท Hana Tour Service ซึ่งเป็นบริษัททัวร์อันดับ 1 ของเกาหลี บริษัท LG Electronics บริษัท KORAIL ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่ให้บริการด้านคมนาคม และระบบรถไฟ บริษัท Samsung บริษัท Hyundai Motorและบริษัท POSCO ผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่อันดับ 3 ของโลก เป็นต้น
โดยนายกรัฐมนตรี ได้อธิบายถึงสถานการณ์การเมืองไทย เพื่อสร้างความมั่นใจว่า ประเทศไทยมีความสงบ และมีความมั่นคง โดยขณะนี้ ต้องการเวลาเพื่อพัฒนาไปสู่เสถียรภาพทางการเมืองที่ยั่งยืน พร้อมกันนี้ ได้ส่งเสริมให้ภาคเอกชนเกาหลีใต้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น เพราะยังใช้โอกาสไม่เต็มศักยภาพ และย้ำว่า ไทยยังมีพื้นที่และโอกาสให้เกาหลีใต้ลงทุนได้อีกมาก
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อุตสาหกรรมเกาหลี มีความโดดเด่น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรอุปกรณ์ เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ และพลังงานทดแทน และอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งไทยเองเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญในอาเซียน และมีศักยภาพที่จะเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ให้แก่เกาหลีได้
นอกจากนี้ ไทยให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตร และอาหาร โดยเฉพาะข้าว ยางพารา มันสัมปะหลัง ซึ่งเกาหลีมีศักยภาพด้านเทคโนโลยี ช่วยพัฒนาให้เป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มและขยายโอกาสด้านการตลาดให้แก่ไทยได้
ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีได้ขอให้ภาคธุรกิจเกาหลีช่วยผลักดันการเปิดตลาดเพิ่มเติมให้แก่สินค้าเกษตรของไทย โดยเฉพาะเนื้อไก่ ผลไม้ ข้าว ยางพารา ซึ่งได้มีนักเกาหลีสนใจที่จะแปรรูปผลไม้ โดยเฉพาะมะม่วงไทย เพราะมีรสชาติดี
นายกรัฐมนตรียังได้ย้ำว่า ภาคเอกชนเกาหลี สามารถใช้บริการสำนักงานส่งเสริมการลงทุนทีกรุงโซลได้ และไทยจะตั้งทีมงานเพื่อสนับสนุนนักลงทุนเกาหลีเป็นการเฉพาะอีกทางหนึ่งด้วย
สำหรับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดน นายกรัฐมนตรี อยากให้เกาหลีเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ชายแดน รวมถึงโครงการทวาย ซึ่งการลงทุนในพื้นที่ดังกล่าวจะได้รับการส่งเสริมพิเศษ และสามารถเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับประเทศพื้นบ้านได้ โดยระยะแรกจะตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ 5 แห่ง ใน 18 จังหวัด เชื่อมโยงกับ เมียนมาร์ กัมพูชา ลาว และ มาเลเซีย โดยสามารถจ้างแรงงานท้องถิ่นและใช้วัตถุดิบในพื้นที่ได้ ซึ่งจะช่วยยกระดับบทบาทเกาหลีในภูมิภาคนี้
ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ไทยมีแผนที่จะพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านคมนาคมอย่างครอบคลุม ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำและทางอากาศ
สำหรับโครงการบริหารจัดการน้ำ ไทยทราบดีว่า บริษัท K-water มีองค์ความรู้และประสบการณ์ ในการบริหารจัดการน้ำ อย่างไรก็ดี รัฐบาลกำลังทบทวนและปรับแผนงานให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งการศึกษาดังกล่าวใกล้จะเสร็จแล้ว และเมื่อมีความชัดเจนจะแจ้งให้ฝ่ายเกาหลีทราบ
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นอื่นๆ ที่อยู่ในความสนใจของภาคเอกชนเกาหลี อาทิ ให้ความมั่นใจว่ายังไม่มีการปรับเปลี่ยน พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และรัฐบาลจะไม่ดำเนินการใดๆ ที่จะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนของต่างชาติ แต่จะอำนวยความสะดวกและปรับสิทธิประโยชน์ของ BOI ให้เหมาะสมและมีความจูงใจ และจะมีการพิจารณาผ่อนปรนให้มัคคุเทศก์ชาวเกาหลีทำงานในไทยได้ชั่วคราว เป็นต้น
ภายหลังการหารือกับนายกรัฐมนตรี ภาคเอกชนเกาหลี มีความมั่นใจต่อการลงทุนในไทยและได้แสดงความสนใจที่จะเข้ามาขยายการลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นนายกรัฐมนตรี ได้เชิญชวนให้ภาคธุรกิจเกาหลีในประเทศไทย ให้การสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาและแรงงานไทยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ประสบการณ์และขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี ของบุคลากร เช่น ทุนการศึกษาด้านอาชีวะศึกษา การฝึกงานในโรงงานต่าง เพื่อยกระดับความสามารถของแรงงานขึ้นสู่ระดับหัวหน้างานต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีย้ำ การทำงานของรัฐบาลเป็นไปอย่างโปร่งใส ปราศจากการทุจริตคอรัปชั่น และพร้อมจะดำเนินการ หากมีการเรียกร้องผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย
ต่อมา เวลา 10.20 น. นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม ASEAN-ROK CEO Summit ณ ห้อง Hall 2A ชั้น 1 อาคาร Exhibition Center I ศูนย์ประชุม BEXCO
ทั้งนี้ นาย Yongmaan Park ประธานสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมสาธารณรัฐเกาหลี ได้เชิญนายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์ ภายใต้หัวข้อ “อนาคตของเศรษฐกิจโลก และบทบาทของเอเชีย”ต่อที่ประชุมเป็นคนแรกด้วย ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุปว่า ด้วยศักยภาพของ ไทย อาเซียน และเกาหลีใต้ จะสามารถร่วมมือกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายต่างๆ ที่มีร่วมกัน และเชื่อว่าอาเซียน และเกาหลีใต้ จะทำหน้าที่สำคัญในการขับเคลื่อนหัวรถจักรแห่งเอเชีย ในการเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาของภูมิภาคและของโลกได้
ต่อมาเวลา 14.15 น. นายกรัฐมนตรี ได้เข้าเยี่ยมคารวะ และหารือกับ มาดาม ปัก กึน-ฮเย ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และผลักดันให้มีการเพิ่มมูลค่าการค้า และการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้น ซึ่งในโอกาสนี้ ประธานาธิบดี ปัก กึน ฮเย ได้ขอบคุณที่ไทยให้ความสนใจนักลงทุนเกาหลี และเชิญชวนให้เกาหลีมาร่วมลงทุนในโครงการต่างๆ ซึ่งเกาหลีมีความสนใจเข้าร่วมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางราง และประสงค์ที่จะเสนอโครงการให้ฝ่ายไทยพิจารณา ทั้งนี้ เกาหลีมีความเชี่ยวชาญระบบราง และสามารถลดระยะเวลาการก่อสร้างได้
สำหรับโครงการบริหารจัดการน้ำ ฝ่ายเกาหลีทราบว่ากำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาลไทย ทั้งนี้ ประธานาธิบดีเกาหลีได้ขอให้ไทยพิจารณาภาคเอกชนเกาหลีเข้าไปมีส่วนเสนอการลงทุนในโครงการดังกล่าวด้วย
โดยนายกรัฐมนตรี ได้อธิบายถึงสถานการณ์การเมืองไทย เพื่อสร้างความมั่นใจว่า ประเทศไทยมีความสงบ และมีความมั่นคง โดยขณะนี้ ต้องการเวลาเพื่อพัฒนาไปสู่เสถียรภาพทางการเมืองที่ยั่งยืน พร้อมกันนี้ ได้ส่งเสริมให้ภาคเอกชนเกาหลีใต้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น เพราะยังใช้โอกาสไม่เต็มศักยภาพ และย้ำว่า ไทยยังมีพื้นที่และโอกาสให้เกาหลีใต้ลงทุนได้อีกมาก
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อุตสาหกรรมเกาหลี มีความโดดเด่น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรอุปกรณ์ เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ และพลังงานทดแทน และอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งไทยเองเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญในอาเซียน และมีศักยภาพที่จะเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ให้แก่เกาหลีได้
นอกจากนี้ ไทยให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตร และอาหาร โดยเฉพาะข้าว ยางพารา มันสัมปะหลัง ซึ่งเกาหลีมีศักยภาพด้านเทคโนโลยี ช่วยพัฒนาให้เป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มและขยายโอกาสด้านการตลาดให้แก่ไทยได้
ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีได้ขอให้ภาคธุรกิจเกาหลีช่วยผลักดันการเปิดตลาดเพิ่มเติมให้แก่สินค้าเกษตรของไทย โดยเฉพาะเนื้อไก่ ผลไม้ ข้าว ยางพารา ซึ่งได้มีนักเกาหลีสนใจที่จะแปรรูปผลไม้ โดยเฉพาะมะม่วงไทย เพราะมีรสชาติดี
นายกรัฐมนตรียังได้ย้ำว่า ภาคเอกชนเกาหลี สามารถใช้บริการสำนักงานส่งเสริมการลงทุนทีกรุงโซลได้ และไทยจะตั้งทีมงานเพื่อสนับสนุนนักลงทุนเกาหลีเป็นการเฉพาะอีกทางหนึ่งด้วย
สำหรับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดน นายกรัฐมนตรี อยากให้เกาหลีเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ชายแดน รวมถึงโครงการทวาย ซึ่งการลงทุนในพื้นที่ดังกล่าวจะได้รับการส่งเสริมพิเศษ และสามารถเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับประเทศพื้นบ้านได้ โดยระยะแรกจะตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ 5 แห่ง ใน 18 จังหวัด เชื่อมโยงกับ เมียนมาร์ กัมพูชา ลาว และ มาเลเซีย โดยสามารถจ้างแรงงานท้องถิ่นและใช้วัตถุดิบในพื้นที่ได้ ซึ่งจะช่วยยกระดับบทบาทเกาหลีในภูมิภาคนี้
ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ไทยมีแผนที่จะพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านคมนาคมอย่างครอบคลุม ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำและทางอากาศ
สำหรับโครงการบริหารจัดการน้ำ ไทยทราบดีว่า บริษัท K-water มีองค์ความรู้และประสบการณ์ ในการบริหารจัดการน้ำ อย่างไรก็ดี รัฐบาลกำลังทบทวนและปรับแผนงานให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งการศึกษาดังกล่าวใกล้จะเสร็จแล้ว และเมื่อมีความชัดเจนจะแจ้งให้ฝ่ายเกาหลีทราบ
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นอื่นๆ ที่อยู่ในความสนใจของภาคเอกชนเกาหลี อาทิ ให้ความมั่นใจว่ายังไม่มีการปรับเปลี่ยน พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และรัฐบาลจะไม่ดำเนินการใดๆ ที่จะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนของต่างชาติ แต่จะอำนวยความสะดวกและปรับสิทธิประโยชน์ของ BOI ให้เหมาะสมและมีความจูงใจ และจะมีการพิจารณาผ่อนปรนให้มัคคุเทศก์ชาวเกาหลีทำงานในไทยได้ชั่วคราว เป็นต้น
ภายหลังการหารือกับนายกรัฐมนตรี ภาคเอกชนเกาหลี มีความมั่นใจต่อการลงทุนในไทยและได้แสดงความสนใจที่จะเข้ามาขยายการลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นนายกรัฐมนตรี ได้เชิญชวนให้ภาคธุรกิจเกาหลีในประเทศไทย ให้การสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาและแรงงานไทยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ประสบการณ์และขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี ของบุคลากร เช่น ทุนการศึกษาด้านอาชีวะศึกษา การฝึกงานในโรงงานต่าง เพื่อยกระดับความสามารถของแรงงานขึ้นสู่ระดับหัวหน้างานต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีย้ำ การทำงานของรัฐบาลเป็นไปอย่างโปร่งใส ปราศจากการทุจริตคอรัปชั่น และพร้อมจะดำเนินการ หากมีการเรียกร้องผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย
ต่อมา เวลา 10.20 น. นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม ASEAN-ROK CEO Summit ณ ห้อง Hall 2A ชั้น 1 อาคาร Exhibition Center I ศูนย์ประชุม BEXCO
ทั้งนี้ นาย Yongmaan Park ประธานสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมสาธารณรัฐเกาหลี ได้เชิญนายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์ ภายใต้หัวข้อ “อนาคตของเศรษฐกิจโลก และบทบาทของเอเชีย”ต่อที่ประชุมเป็นคนแรกด้วย ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุปว่า ด้วยศักยภาพของ ไทย อาเซียน และเกาหลีใต้ จะสามารถร่วมมือกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายต่างๆ ที่มีร่วมกัน และเชื่อว่าอาเซียน และเกาหลีใต้ จะทำหน้าที่สำคัญในการขับเคลื่อนหัวรถจักรแห่งเอเชีย ในการเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาของภูมิภาคและของโลกได้
ต่อมาเวลา 14.15 น. นายกรัฐมนตรี ได้เข้าเยี่ยมคารวะ และหารือกับ มาดาม ปัก กึน-ฮเย ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และผลักดันให้มีการเพิ่มมูลค่าการค้า และการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้น ซึ่งในโอกาสนี้ ประธานาธิบดี ปัก กึน ฮเย ได้ขอบคุณที่ไทยให้ความสนใจนักลงทุนเกาหลี และเชิญชวนให้เกาหลีมาร่วมลงทุนในโครงการต่างๆ ซึ่งเกาหลีมีความสนใจเข้าร่วมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางราง และประสงค์ที่จะเสนอโครงการให้ฝ่ายไทยพิจารณา ทั้งนี้ เกาหลีมีความเชี่ยวชาญระบบราง และสามารถลดระยะเวลาการก่อสร้างได้
สำหรับโครงการบริหารจัดการน้ำ ฝ่ายเกาหลีทราบว่ากำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาลไทย ทั้งนี้ ประธานาธิบดีเกาหลีได้ขอให้ไทยพิจารณาภาคเอกชนเกาหลีเข้าไปมีส่วนเสนอการลงทุนในโครงการดังกล่าวด้วย