นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) กล่าวถึงการประชุมสนช. เพื่อพิจารณาการรับเรื่องถอดถอน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มา ส.ว.โดยมิชอบ ในวันที่ 6 พ.ย.นี้ ว่า ที่ประชุมน่าจะมีคำตอบเป็นที่ยุติว่า จะรับเรื่องการถอดถอน นายสมศักดิ์ และ นายนิคมไว้พิจารณาหรือไม่ หลังจากให้สมาชิก สนช.ไปศึกษาสำนวนที่ ป.ป.ช.ส่งมา กว่า 4,000 หน้า เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ สิ่งที่ที่ประชุมต้องพิจารณาอย่างมากคือ เรื่องฐานความผิดตามรัฐธรรมนูญปี 50 ตามที่ป.ป.ช.ส่งมานั้น ยังคงมีอยู่หรือไม่ ถ้ายังคงมีอยู่ ก็จะเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการถอดถอนต่อไป แต่ถ้าฐานความผิดไม่มีอยู่แล้ว สนช. ก็ไม่ควรรับเรื่องเข้ามาพิจารณา
ส่วนที่นายถาวร เสนเนียม อดีตแกนนำ กปปส. ระบุ หาก สนช.ไม่รับเรื่องถอดถอนนายสมศักดิ์ และนายนิคมไว้พิจารณา จะเผชิญหน้ากับมวลมหาประชาชนนั้น ไม่รู้สึกกดดัน เชื่อว่าที่ประชุมสนช. ก็ไม่กดดันเช่นกัน และไม่ว่าสนช.จะมีมติอย่างไร ย่อมมีทั้งคนพอใจ และไม่พอใจจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งสนช.ต้องยึดหลักกฎหมายในการพิจารณา การที่ นายถาวร ระบุว่า สนช. มีอำนาจการถอดถอนตาม มาตรา 5 และ 6 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้น ไม่ขอปฏิเสธว่า สนช. มีอำนาจอยู่จริง แต่ต้องดูฐานความผิดด้วยว่า ยังมีผลบังคับใช้อยู่หรือไม่ ถ้าความผิดถูกยกเลิกไปแล้ว ก็ทำอะไรไม่ได้ ซึ่งที่ประชุมสนช. ต้องมาหารือกันในประเด็นนี้ว่า ความผิดยังคงมีอยู่หรือไม่
นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกสนช. ในฐานะวิป สนช. กล่าวถึงการประชุมเพื่อพิจารณาถอดถอนนายสมศักดิ์ และนายนิคม ว่า ส่วนตัวจะลงมติรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา เพราะเห็นว่าเป็นการดำเนินกระบวนการตามขั้นตอนที่ ป.ป.ช. ส่งมา จึงต้องรับเรื่องไว้ก่อน จากนั้นเมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการถอดถอนจึงค่อยมาพิจารณาเรื่องฐานความผิดตามรัฐธรรมนูญปี 50 ว่ายังมีผลบังคับใช้อยู่หรือไม่
ด้านนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และอดีตรองประธานรัฐสภา กล่าวถึงกรณีที่สนช.)เตรียมพิจารณารับเรื่องถอดถอนตน และนายสมศักดิ์ ว่า ก็แล้วแต่ว่าสนช.จะมีมติอย่างไร แต่ตนได้เตรียมความพร้อมที่จะชี้แจง และต่อสู้ในเรื่องกฎหมายอยู่แล้ว ว่าที่ตนทำไปนั้นเป็นการดำเนินการ โดยยึดหลักกฎหมายซึ่งใช้ในการบริหารบ้านเมือง ประเด็นนี้ข้อเท็จจริงคือ เมื่อสมาชิกรัฐสภาเสนอแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็เป็นสิทธิตามบทบัญญัติ แล้วในฐานะประธานจะห้ามไม่ให้ดำเนินการได้อย่างไร
เมื่อถามว่าหากสนช.ยังเดินหน้ากระบวนการถอดถอน จะต่อสู้อย่างไร นายนิคม กล่าวว่า หนทางสุดท้ายคือ การเรียกหาความยุติธรรม เพราะเมื่อไม่มีหนทางใดแล้วตนก็ต้องอาศัยกระบวนการศาลยุติธรรม เพื่อขอความเป็นธรรม ดังนั้นตนเชื่อว่าสนช.ที่เป็นฝ่ายข้าราชการ และทหาร จะใช้วิจารณญาณพิจารณาไปตามตัวบทกฎหมาย ไม่ลงมติตามแรงกดดันของใคร แต่ก็อาจจะมีบางกลุ่มไม่กี่คน ที่ต้องการให้ถอดถอน
เมื่อถามว่าทางกลุ่ม กปปส. ระบุว่าหาก สนช.ไม่ถอดถอนนายนิคม และนายสมศักดิ์ จะต้องเผชิญหน้ากับมวลมหาประชาชนถือเป็นการกดดันสนช.หรือไม่ นายนิคม กล่าวว่า เราจะยึดแรงกดดัน หรือกฎหมาย เรื่องนี้มีคนพยายามออกกมากดดัน แต่ถามกลับว่า หากมีคนอีกกลุ่มหนึ่งออกมากดดันบ้าง บ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวายอีก แล้วจะทำอย่างไร ตนไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น
ทั้งนี้ สิ่งที่ที่ประชุมต้องพิจารณาอย่างมากคือ เรื่องฐานความผิดตามรัฐธรรมนูญปี 50 ตามที่ป.ป.ช.ส่งมานั้น ยังคงมีอยู่หรือไม่ ถ้ายังคงมีอยู่ ก็จะเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการถอดถอนต่อไป แต่ถ้าฐานความผิดไม่มีอยู่แล้ว สนช. ก็ไม่ควรรับเรื่องเข้ามาพิจารณา
ส่วนที่นายถาวร เสนเนียม อดีตแกนนำ กปปส. ระบุ หาก สนช.ไม่รับเรื่องถอดถอนนายสมศักดิ์ และนายนิคมไว้พิจารณา จะเผชิญหน้ากับมวลมหาประชาชนนั้น ไม่รู้สึกกดดัน เชื่อว่าที่ประชุมสนช. ก็ไม่กดดันเช่นกัน และไม่ว่าสนช.จะมีมติอย่างไร ย่อมมีทั้งคนพอใจ และไม่พอใจจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งสนช.ต้องยึดหลักกฎหมายในการพิจารณา การที่ นายถาวร ระบุว่า สนช. มีอำนาจการถอดถอนตาม มาตรา 5 และ 6 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้น ไม่ขอปฏิเสธว่า สนช. มีอำนาจอยู่จริง แต่ต้องดูฐานความผิดด้วยว่า ยังมีผลบังคับใช้อยู่หรือไม่ ถ้าความผิดถูกยกเลิกไปแล้ว ก็ทำอะไรไม่ได้ ซึ่งที่ประชุมสนช. ต้องมาหารือกันในประเด็นนี้ว่า ความผิดยังคงมีอยู่หรือไม่
นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกสนช. ในฐานะวิป สนช. กล่าวถึงการประชุมเพื่อพิจารณาถอดถอนนายสมศักดิ์ และนายนิคม ว่า ส่วนตัวจะลงมติรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา เพราะเห็นว่าเป็นการดำเนินกระบวนการตามขั้นตอนที่ ป.ป.ช. ส่งมา จึงต้องรับเรื่องไว้ก่อน จากนั้นเมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการถอดถอนจึงค่อยมาพิจารณาเรื่องฐานความผิดตามรัฐธรรมนูญปี 50 ว่ายังมีผลบังคับใช้อยู่หรือไม่
ด้านนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และอดีตรองประธานรัฐสภา กล่าวถึงกรณีที่สนช.)เตรียมพิจารณารับเรื่องถอดถอนตน และนายสมศักดิ์ ว่า ก็แล้วแต่ว่าสนช.จะมีมติอย่างไร แต่ตนได้เตรียมความพร้อมที่จะชี้แจง และต่อสู้ในเรื่องกฎหมายอยู่แล้ว ว่าที่ตนทำไปนั้นเป็นการดำเนินการ โดยยึดหลักกฎหมายซึ่งใช้ในการบริหารบ้านเมือง ประเด็นนี้ข้อเท็จจริงคือ เมื่อสมาชิกรัฐสภาเสนอแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็เป็นสิทธิตามบทบัญญัติ แล้วในฐานะประธานจะห้ามไม่ให้ดำเนินการได้อย่างไร
เมื่อถามว่าหากสนช.ยังเดินหน้ากระบวนการถอดถอน จะต่อสู้อย่างไร นายนิคม กล่าวว่า หนทางสุดท้ายคือ การเรียกหาความยุติธรรม เพราะเมื่อไม่มีหนทางใดแล้วตนก็ต้องอาศัยกระบวนการศาลยุติธรรม เพื่อขอความเป็นธรรม ดังนั้นตนเชื่อว่าสนช.ที่เป็นฝ่ายข้าราชการ และทหาร จะใช้วิจารณญาณพิจารณาไปตามตัวบทกฎหมาย ไม่ลงมติตามแรงกดดันของใคร แต่ก็อาจจะมีบางกลุ่มไม่กี่คน ที่ต้องการให้ถอดถอน
เมื่อถามว่าทางกลุ่ม กปปส. ระบุว่าหาก สนช.ไม่ถอดถอนนายนิคม และนายสมศักดิ์ จะต้องเผชิญหน้ากับมวลมหาประชาชนถือเป็นการกดดันสนช.หรือไม่ นายนิคม กล่าวว่า เราจะยึดแรงกดดัน หรือกฎหมาย เรื่องนี้มีคนพยายามออกกมากดดัน แต่ถามกลับว่า หากมีคนอีกกลุ่มหนึ่งออกมากดดันบ้าง บ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวายอีก แล้วจะทำอย่างไร ตนไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น