xs
xsm
sm
md
lg

ชาวนาเครียดข้าวจมน้ำถูกนายทุนข่มเหงผูกคอดับ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ชาวนาสุรินทร์น้อยใจในชะตากรรมตัวเองยิ่งทำนายิ่งจน นาข้าวถูกน้ำท่วม ซ้ำร้ายราคาตกต่ำ ถูกนายทุนกดขี่ข่มเหงสารพัด บอกเมียสภาพปัญหาเช่นนี้อยู่ต่อไปไม่ได้ ความเป็นอยู่นับวันยิ่งย่ำแย่ลง ตัดสินใจผูกคอลาโลก ด้านชาวนาบุรีรัมย์รอเงินไร่ละ 1,000 บาทจากรัฐบาล คสช.ไม่ไหว แห่นำทรัพย์สินพึ่งโรงจำนำหาเงินซื้อปุ๋ยใส่นาข้าวรอบสุดท้ายและเตรียมไว้เป็นค่าจ้างเก็บเกี่ยวข้าว

เมื่อเวลา 06.00 น. วานนี้ (27 ต.ค.) ร.ต.อ.กฤติพงษ์ หงษ์สูง ร้อยเวรสอบสวน สภ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ได้รับแจ้งเหตุมีคนผูกคอตาย ที่บ้านเลขที่ 151 บ้านประทุน ม.4 ต.แตล อ.ศีขรภูมิ จึงได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยแพทย์เวรโรงพยาบาลศีขรภูมิ และ หน่วยวีอาร์กู้ชีพตำบลแตล ในที่เกิดเหตุพบศพชายใช้เชือกไนล่อนผูกคอกับคานไม้ของตัวบ้าน เสียชีวิตอยู่ภายในบ้านของตัวเอง ทราบชื่อ คือ นายเมา เกษรแก้ว อายุ 61 ปี เสียวิชีวิตมาแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง ตรวจสอบ ร่างกายไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายหรือฆาตกรรมแต่อย่างใด
สอบสวนพบว่า นายเมา มีโรคประจำตัวและมีอาการเครียดบ่นกับ นางเสมอ เกสรแก้ว อายุ 78 ปี ภรรยา มาหลายวันแล้วว่า เก็บเกี่ยวข้าวไม่ได้เพราะน้ำท่วมนาเนื่องจากฝนตกติดต่อกันมาหลายวัน ประกอบกับได้มีชาวบ้านได้นำข้าวที่เกี่ยวไปแล้วไปขายได้ถูกนายทุนโรงสีข้าวกดราคา อ้างว่าข้าวเปียกน้ำ ความชื้นสูงและเมล็ดข้าวมีสีดำเพราะจมน้ำ และบางรายทางโรงสีไม่รับซื้อ

ทำให้ผู้ตายมีอาการเครียด บ่นให้ภรรยาฟังอยู่เป็นประจำมานาน 3 วัน และบอกว่า คงจะอยู่ด้วยกันไปอีกได้ไม่นาน สภาพปัญหาเช่นนี้คงต้องตายแน่ เพราะราคาข้าวก็ตกต่ำอยู่แล้ว ประกอบกับสภาพความเป็นอยู่นับวันยิ่งย่ำแย่ลง ถูกกดขี่ข่มเหงทุกอย่างไม่มีอะไรที่ดีขึ้นยิ่งทำก็ยิ่งจน ทำนามีค่าใช้จ่ายมาก ทั้งค่าปุ๋ย ยาฆ่าแมลงและเงินคงไม่พอใช้หนี้ ไหนจะมีค่าเกี่ยวข้าวไร่ละ 500-600 บาท ทำนา 10 ไร่ หาเงินจ่ายค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าจ้างไถ่ ค่าเก็บเกี่ยวก็หมดแล้ว โดยผู้ตายได้บ่นกับภรรยาครั้งสุดท้ายเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา พอตื่นเช้าขึ้นมาวานนี้ (27 ต.ค.) พบผูกคอตายกับคานไม้ อยู่หน้าบ้าน

ด้านญาติพี่น้องของผู้ตาย บอกว่า คุณตาเมากับยายเสมอ อยู่ด้วยกัน 2 คน ทำมาค้าขายในหมู่บ้าน และทำนามานาน โดยมีที่นาประมาณ 10 ไร่ ประกอบกับช่วงระยะหลังมีโรคประจำตัวและเครียดกับการทำนา ซึ่ง สัปดาห์ ที่ผ่านมาได้มีพายุฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องและมีน้ำท่วมขังนาข้าวหอมมะลิที่กำลังเหลืองสุกงอมเต็มท้องนาใกล้เวลาเก็บเกี่ยว ชาวนาเพื่อนบ้านหลายคนได้พากันเก็บเกี่ยวข้าวมาตากแดดตามริมถนนและนำไปขาย ผู้ตายจึงต้องการเร่งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ฝนตกน้ำท่วมขังรถเกี่ยวข้าวไม่รับจ้างลงไปเกี่ยวข้าวให้ เพราะเกรงว่ารถจะติดหล่มจึงบ่นน้อยใจกลัวข้าวที่จมน้ำจะเน่าเสีย มีเมล็ดสีดำขายไม่ได้ราคา เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาก็พบนายเมาใช้เชือกผูกคอตาย
ต่อมานางเสมอ เกษรแก้ว ภรรยาและญาติพี่น้องได้ร่วมกันจัดงานตั้งสวดอภิธรรมศพนายเมา เกสรแก้ว ที่บริเวณลานดินหน้าบ้านแบบเรียบง่าย พร้อมนิมนต์พระสงฆ์ 4 รูปมาสวดมาติกา บังสุกุล โดยมีบรรดาญาติและลูกหลานในหมู่บ้านมาร่วมงาน และช่วยกันบริจาคเงินคนละเล็กละน้อยสมทบกับเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ หมู่บ้าน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงานและพิธีฌาปนกิจศพ

นางเสมอ เปิดเผยว่า ตนมีที่นา 12ไร่หลังจากที่มีชาวบ้านลงเก็บเกี่ยวข้าวกันแล้ว ก็อยากเก็บเกี่ยวเหมือนกับเขาแต่ไม่มีเงินไปจ้างรถเกี่ยวข้าวประกอบกับค่าจ้างแพง ทำให้สามีตนน้อยใจและบ่นว่า ข้าวก็จมน้ำ หากนำไปขายราคาก็ตกต่ำเพราะเมล็ดข้าวดำถูกคนรับซื้อกดราคา และค่าจ้างรถเกี่ยวข้าวปีนี้สูงถึง ไร่ 600 บาท หากขายข้าวได้เมื่อนำเงินมาจ่ายค่ารถเกี่ยวข้าว ค่าขนส่งและหนี้สินต่างๆ แล้วก็แทบไม่เหลืออะไร มีแต่ยากจนกับทุกข์ ซึ่งสามีบนน้อยใจเช่นนี้มาหลายวัน จนกระทั่งมาคิดสั้นผูกคอตายเมื่อมืดวันนี้

ด้านนายอุเทน บุญยงค์ สมาชิก อบต.แตล หมู่ที่ 4 เปิดเผยว่า หลังจากนายเมา ผูกคอตายเสียชีวิตไปเมื่อเช้า จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาดูแลช่วยเหลือ นอกจากเงินฌาปนกิจสงเคราะห์หมู่บ้านเท่านั้น ส่วนนางเสมอ ซึ่งเป็นภรรยาของนายเมา ได้แต่นั่งโศกเสียใจเพราะอยู่เพียงลำพัง 2 คนตายาย ลูกหลานไม่มี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับในพื้นที่ จ.สุรินทร์ขณะนี้ ชาวนาปลูกข้าวหอมมะละ พันธุ์ กข 15 ได้พากันเก็บเกี่ยวข้าวอย่างต่อเนื่อง แต่มีบางพื้นที่โดยเฉพาะนาในที่ลุ่มได้เกิดน้ำท่วมขังเพราะยังมีฝนตกลงมาต่อเนื่อง ทำให้การเก็บเกี่ยวลำบากและต้องนำข้าวไปแดดตากไว้ประมาณ 3-4 วันถึงจะแห้งก่อนนำไปขาย

ขณะที่ชาวนาบางส่วนมีความจำเป็นด้านภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายในครัวเรือน จำต้องเร่งนำข้าวที่เก็บเกี่ยวขึ้นมาไปขายโดยไม่ตากแห้ง จึงถูกพ่อค้าโรงสีกดราคาในสารพัดข้ออ้าง จากกิโลกรัมละ 15 บาท เหลือกิโลกรัมละ 8-10 บาท หรือจากเกวียนละ 15,000 บาท เหลือ 8,000-10,000 บาท เท่านั้น

ชาวนาบุรีรัมย์รอไร่ละพันไม่ไหวหันพึ่งโรงตึ้ง

ด้านชาวนาที่ จ.บุรีรัมย์ ได้แห่นำทรัพย์สินมีค่า เช่น ทองคำรูปพรรณ เครื่องใช้ไฟฟ้าไปจำนำที่สถานธนานุบาลเทศบาลเมืองบุรีรัมย์อย่างคึกคัก เพื่อนำเงินไปเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว ทั้งนำไปซื้อปุ๋ยใส่นาข้าวรอบสุดท้าย และบางส่วนเตรียมไว้เป็นค่าจ้างในการเก็บเกี่ยวข้าว เนื่องจากขณะนี้ชาวนาในจังหวัดบุรีรัมย์ ยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาทจากรัฐบาล เพราะยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบรายชื่อและรับรองจากคณะกรรมการฯ

ขณะที่ทางสถาธนานุบาลฯ ได้เตรียมเงินสดไว้รองรับให้บริการลูกค้ากว่า 100 ล้านบาท ทั้งยังมีเงินหมุนเวียนจากทรัพย์สินที่รับจำนำอีกกว่า 300 ล้านบาทด้วย ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอให้บริการประชาชน

นายประเสริฐ สันคำ ผู้ช่วยผู้จัดการสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ระบุว่า ช่วงนี้ได้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการจำนำคึกคักเฉลี่ยวันละ 300- 400 ราย ต้องใช้เงินให้บริการรับจำนำวันละ 5 - 6 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงปกติเท่าตัวซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่มาใช้บริการจะเป็นชาวนาที่ต้องการนำเงินไปเป็นค่าจ้างในการเก็บเกี่ยวข้าว และคาดว่าจะมีประชาชนและชาวนานำทรัพย์สินมาใช้บริการจำนำคึกคักไปจนถึงสิ้นสุดฤดูกาลเก็บเกี่ยว

นางสุจิตรา นุกูลรัมย์ อายุ 59 ปี ชาวนาบ้านหนองค่าย ต.บ้านบัว อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ บอกว่า ตอนนี้ยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาทจากรัฐบาล จึงจำเป็นต้องนำผ้าถุงไหมที่เก็บสะสมไว้ มาจำนำก่อนเพื่อจะนำเงินไปซื้อปุ๋ยใส่นาข้าวรอบสุดท้ายก่อนจะเก็บ จึงอยากให้เร่งดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาทให้ทันก่อนฤดูกาลเก็บเกี่ยวด้วย เพราะหากจ่ายล่าช้าอาจต้องนำทรัพย์สินที่มีอยู่ในบ้านมาจำนำอีก เพราะไม่มีเงินสำรองที่จะนำไปเป็นค่าจ้างเก็บเกี่ยว

"มาตรการการจ่ายเงินไร่ละ 1,000 บาท แต่ไม่เกินรายละ 15 ไร่ เป็นโครงการที่ดีเพราะสามารถบรรเทาความช่วยเหลือให้กับชาวนาได้ แต่อยากให้ทางภาครัฐเร่งดำเนินการจ่ายให้เร็วกว่านี้เพื่อที่ชาวนาจะได้นำเงินไปใช้จ่ายและเป็นค่าปัจจัยการผลิตให้ทันต่อฤดูกาล" นางสุจิตรา กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น