**กลายเป็นประเด็นไฟลามทุ่งกันเลยทีเดียว สำหรับเหตุการณ์ที่ "เสี่ยโจ้" สหชัย เจียรเสริมสิน อายุ 46 ปี เจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) สหทรัพย์ทวีค้าไม้ เลขที่ 103/49 ถนนนาเกลือ หมู่ 8 ตำบลบานา อำเภอเมืองฯ จังหวัดปัตตานี นักธุรกิจรายใหญ่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ หลบหนีคำพิพากษาให้จำคุก 1 ปี 9 เดือน ไม่รอลงอาญา ของศาลจังหวัดปัตตานี ฐานปลอมแปลงเอกสารตราประทับ ก่อนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม ที่ผ่านมา ?
หลังจากนั้นศาลได้ลงดาบจำคุก 6 เดือน "ร.ต.ต.อรุณ ศรีทองสุข" อายุ 59 ปี รองสารวัตรปราบปราม สถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี ช่วยราชการคุมผู้ต้องหา ประจำศาลจังหวัดปัตตานี หลังจากพบว่ามีส่วนรู้เห็นเป็นใจให้ "เสี่ยโจ้" หลบหนีครั้งนี้ ก่อนที่เจ้าตัวจะยอมรับสารภาพ ลดโทษลงเหลือ 3 เดือน แต่ถูกแจ้งข้อหาเพิ่ม ฐานละเว้นการปฎบัติหน้าที่ตาม มาตรา 157 มีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี... นอกจากนี้ ยังมีการซัดทอดนายดาบตำรวจจำนวน 4 นาย เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย...
ขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการจังหวัดชายแดนใต้ (ศชต.) ก็ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้องจำนวน 15 นาย ที่มีหน้าที่ดูแลการส่งตัว "เสี่ยโจ้" ว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง หรือพัวพัน บกพร่องต่อหน้าที่อย่างไร
ซึ่งการหลบหนีครั้งนี้ เป็นการตบหน้ากระบวนการยุติธรรมฉาดใหญ่ โดยเฉพาะรัฐบาล และเจ้าหน้าที่สีกากีในยุคที่มี "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นั่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)
**เพราะมีอย่างที่ไหน ปล่อยให้ผู้ต้องหาคนสำคัญหลบหนีไปง่ายดายอย่างนี้ จะแก้ตัวว่าบกพร่อง ก็ฟังไม่ค่อยลื่นหูเท่าไหร่ หรือว่า
ตำรวจในพื้นที่ต่างพากัน "กินส่วย" กันหมดแล้ว !?!
โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งลงพื้นที่สกัดจับ และปิดทางออกนอกประเทศทุกทาง ขณะที่ชุดสืบสวนออกแกะรอย "เสียโจ้" ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส หลังจากมีรายงานว่า เจ้าตัวหลบหนีไปซุกใต้ปีกผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ เพื่อเดินทางออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านทางด่านชายแดนสุไหง โก-ลก หรืออำเภอตากใบ
ทั้งนี้มีรายงานว่า ก่อนที่ "เสี่ยโจ้" จะถูกศาลพิพากษาให้จำคุก เจ้าตัวมีการต่อสายตรงถึงบุรุษสีกากี ที่เคยอยู่ในพื้นที่ เพื่อขอให้ช่วยเหลือเรื่องคดี และทางหนีทีไล่ไว้รองรับ แต่คำตอบที่ได้รับนั้น จะเป็นยังไง คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด...เพราะดูชั่วโมงนี้ ต่างคนต่างเอาตัวรอดกันแล้ว ?
สำหรับ "เสี่ยโจ้" เป็นนักธุรกิจทางพื้นที่ภาคใต้ ที่ฝ่ายความมั่นคงรู้จักเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องของน้ำมันเถื่อน และหวยใต้ดิน รวมถึงมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมายในทุกยุคทุกสมัย ทั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์ (ปชป.) หรือ พรรคเพื่อไทย (พท.)
โดยช่วงปลายเดือนตุลาคมของปี 56 กลุ่มแก๊ง "เสี่ยโจ้" ได้ขนเงินสกุลดอลล่าร์สิงคโปร์ และริงกิตมาเลเซีย มูลค่ากว่า 120 ล้านบาท ซุกอยู่ในลังเบียร์เก่าๆ ขึ้นเรือ "สถาพรวัฒนา" มุ่งไปยังเกาะร้างโลซิน ที่ห่างจากฝั่งอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ประมาณ 72 กิโลเมตร แต่เรื่องมาแตก เพราะถูกดักปล้นกลางมหาสมุทร...พร้อมคำถามที่ดังขึ้นว่า ขนเงินมหาศาลนั้นไปทำอะไร ผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งไม่ทันที่จะเปิดเผยโฉมหน้า "วีไอพี" เพื่อนซี้คู่ธุรกิจของเสี่ยเมืองปัตตานี แม้มีเสียงแว่วมาว่าเป็นหลานคนดังพรรคการเมืองหนึ่ง แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆ
**ขณะที่มีข่าวลือหึ่งว่า "เสี่ยโจ้" ยอมทุ่มทุนปูพรมจ่ายใต้โต๊ะให้นักการเมืองระดับประเทศ ผู้มีอำนาจ และเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับยศ "พล.ต.ต." ไล่ไปถึงระดับ "ดาบตำรวจ" คิดเป็นเงินเดือนละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท เพื่อให้ทั้งหมดช่วยเป็นลวดหนามป้องกันเครือธรุกิจสีเทาจนถึงดำ ที่มีเงินไหลผ่านหมุนเวียนเดือนละไม่ต่ำกว่าพันล้านบาท
โดยมีหลักฐานบางส่วนที่ถูกเผาทำลายไปหมดแล้ว หลังจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าตรวจค้นตั้งแต่ปลายปี 55...ทั้งนี้ ยัง
มีการเชื่อมโยงเงินไหลเวียนของ "เสี่ยโจ้" กับเหตุความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้เข้าด้วยกัน เพราะยิ่งหากสถานการณ์รุนแรงเท่าไหร่ "ธุรกิจมืด" ของ
เจ้าตัว ก็จะเดินสะดวกมากขึ้นเป็นเท่าตัว !?!
**ท้ายที่สุด คดีนี้จะเป็นการพิสูจน์กึ๋นของ "ผบ.ตร." พล.ต.อ.สมยศ ว่าจะกำชับลูกน้องให้ติดตามจับกุม "เสี่ยโจ้" กลับเข้าสู่กระบวนการของกฎหมายได้หรือไม่...พร้อมล้างภาพ "ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" ออกจากคำว่า "ส่วย" เสียที ไม่ใช่แค่"มโน" ไปเอง !?!
เสือกระดาษ
หลังจากนั้นศาลได้ลงดาบจำคุก 6 เดือน "ร.ต.ต.อรุณ ศรีทองสุข" อายุ 59 ปี รองสารวัตรปราบปราม สถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี ช่วยราชการคุมผู้ต้องหา ประจำศาลจังหวัดปัตตานี หลังจากพบว่ามีส่วนรู้เห็นเป็นใจให้ "เสี่ยโจ้" หลบหนีครั้งนี้ ก่อนที่เจ้าตัวจะยอมรับสารภาพ ลดโทษลงเหลือ 3 เดือน แต่ถูกแจ้งข้อหาเพิ่ม ฐานละเว้นการปฎบัติหน้าที่ตาม มาตรา 157 มีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี... นอกจากนี้ ยังมีการซัดทอดนายดาบตำรวจจำนวน 4 นาย เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย...
ขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการจังหวัดชายแดนใต้ (ศชต.) ก็ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้องจำนวน 15 นาย ที่มีหน้าที่ดูแลการส่งตัว "เสี่ยโจ้" ว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง หรือพัวพัน บกพร่องต่อหน้าที่อย่างไร
ซึ่งการหลบหนีครั้งนี้ เป็นการตบหน้ากระบวนการยุติธรรมฉาดใหญ่ โดยเฉพาะรัฐบาล และเจ้าหน้าที่สีกากีในยุคที่มี "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นั่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)
**เพราะมีอย่างที่ไหน ปล่อยให้ผู้ต้องหาคนสำคัญหลบหนีไปง่ายดายอย่างนี้ จะแก้ตัวว่าบกพร่อง ก็ฟังไม่ค่อยลื่นหูเท่าไหร่ หรือว่า
ตำรวจในพื้นที่ต่างพากัน "กินส่วย" กันหมดแล้ว !?!
โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งลงพื้นที่สกัดจับ และปิดทางออกนอกประเทศทุกทาง ขณะที่ชุดสืบสวนออกแกะรอย "เสียโจ้" ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส หลังจากมีรายงานว่า เจ้าตัวหลบหนีไปซุกใต้ปีกผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ เพื่อเดินทางออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านทางด่านชายแดนสุไหง โก-ลก หรืออำเภอตากใบ
ทั้งนี้มีรายงานว่า ก่อนที่ "เสี่ยโจ้" จะถูกศาลพิพากษาให้จำคุก เจ้าตัวมีการต่อสายตรงถึงบุรุษสีกากี ที่เคยอยู่ในพื้นที่ เพื่อขอให้ช่วยเหลือเรื่องคดี และทางหนีทีไล่ไว้รองรับ แต่คำตอบที่ได้รับนั้น จะเป็นยังไง คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด...เพราะดูชั่วโมงนี้ ต่างคนต่างเอาตัวรอดกันแล้ว ?
สำหรับ "เสี่ยโจ้" เป็นนักธุรกิจทางพื้นที่ภาคใต้ ที่ฝ่ายความมั่นคงรู้จักเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องของน้ำมันเถื่อน และหวยใต้ดิน รวมถึงมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมายในทุกยุคทุกสมัย ทั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์ (ปชป.) หรือ พรรคเพื่อไทย (พท.)
โดยช่วงปลายเดือนตุลาคมของปี 56 กลุ่มแก๊ง "เสี่ยโจ้" ได้ขนเงินสกุลดอลล่าร์สิงคโปร์ และริงกิตมาเลเซีย มูลค่ากว่า 120 ล้านบาท ซุกอยู่ในลังเบียร์เก่าๆ ขึ้นเรือ "สถาพรวัฒนา" มุ่งไปยังเกาะร้างโลซิน ที่ห่างจากฝั่งอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ประมาณ 72 กิโลเมตร แต่เรื่องมาแตก เพราะถูกดักปล้นกลางมหาสมุทร...พร้อมคำถามที่ดังขึ้นว่า ขนเงินมหาศาลนั้นไปทำอะไร ผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งไม่ทันที่จะเปิดเผยโฉมหน้า "วีไอพี" เพื่อนซี้คู่ธุรกิจของเสี่ยเมืองปัตตานี แม้มีเสียงแว่วมาว่าเป็นหลานคนดังพรรคการเมืองหนึ่ง แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆ
**ขณะที่มีข่าวลือหึ่งว่า "เสี่ยโจ้" ยอมทุ่มทุนปูพรมจ่ายใต้โต๊ะให้นักการเมืองระดับประเทศ ผู้มีอำนาจ และเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับยศ "พล.ต.ต." ไล่ไปถึงระดับ "ดาบตำรวจ" คิดเป็นเงินเดือนละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท เพื่อให้ทั้งหมดช่วยเป็นลวดหนามป้องกันเครือธรุกิจสีเทาจนถึงดำ ที่มีเงินไหลผ่านหมุนเวียนเดือนละไม่ต่ำกว่าพันล้านบาท
โดยมีหลักฐานบางส่วนที่ถูกเผาทำลายไปหมดแล้ว หลังจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าตรวจค้นตั้งแต่ปลายปี 55...ทั้งนี้ ยัง
มีการเชื่อมโยงเงินไหลเวียนของ "เสี่ยโจ้" กับเหตุความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้เข้าด้วยกัน เพราะยิ่งหากสถานการณ์รุนแรงเท่าไหร่ "ธุรกิจมืด" ของ
เจ้าตัว ก็จะเดินสะดวกมากขึ้นเป็นเท่าตัว !?!
**ท้ายที่สุด คดีนี้จะเป็นการพิสูจน์กึ๋นของ "ผบ.ตร." พล.ต.อ.สมยศ ว่าจะกำชับลูกน้องให้ติดตามจับกุม "เสี่ยโจ้" กลับเข้าสู่กระบวนการของกฎหมายได้หรือไม่...พร้อมล้างภาพ "ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" ออกจากคำว่า "ส่วย" เสียที ไม่ใช่แค่"มโน" ไปเอง !?!
เสือกระดาษ