วานนี้ (22 ก.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 709 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในคดีที่หมายเลขดำ อ.1940/2556 ที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ, บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน), นายวรศักดิ์ ประยูรศุข, บริษัท ข่าวสด จำกัด และ นายสุริวงศ์ เอื้อปฏิภาน เป็นจำเลยที่ 1 - 5 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จากกรณีเมื่อวันที่ 27 ก.พ.- 5 มี.ค.56 นายธาริต จำเลยที่ 1 ได้แถลงข่าวกล่าวหาโจทก์ ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ทำเรื่องขอเปลี่ยนแปลงโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทนจำนวน 396 โรงพัก จากรายภาครวมเป็นรายเดียว ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันเป็นข้อความเท็จทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
โดย นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความโจทก์ กล่าวว่า ในวันนี้ พระสุเทพ ได้เบิกความตอบคำซักค้านของพนักงานอัยการ ซึ่งทำหน้าที่แก้ต่างให้จำเลยที่ 1 สรุปว่า โครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทนดังกล่าว เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และโจทก์เป็นรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งช่วงที่ พล.ต.อ.ประทีป ตันประเสริฐ ดำรงตำแหน่งรักษาการ ผบ.ตร. ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ระบุให้เปลี่ยนจากประมูลก่อสร้างรายภาคเป็นส่วนกลาง ซึ่งพล.ต.อ.ปทีป ได้เซ็นอนุมัติโครงการ ก่อนจะถูกส่งเรื่องมาให้โจทก์ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ลงนามตามหนังสือที่ พล.ต.อ.ปทีป เซ็นอนุมัติ ซึ่งขั้นตอนต่างๆเป็นไปอย่างถูกต้อง เพราะเป็นการลงนามตามความเห็นของหน่วยงานราชการ และไม่มีการฮั้วประมูล เนื่องจากโครงการดังกล่าวได้มีการประกวดราคาผ่านระบบอี-ออกชัน มีผู้เข้าร่วมประมูลเสนอราคาสู้กันถึง 73 ครั้ง จนทำให้ได้ราคาที่ต่ำกว่าราคากลาง เกือบ 500 ล้านบาท ราชการไม่เสียประโยชน์
ทั้งนี้ ภายหลังเบิกความตอบคำซักค้านเสร็จแล้ว ศาลได้นัดตอบคำซักค้านต่ออีกครั้งในนัดหน้า วันที่ 10 พ.ย.57 เวลา 10.30 น.
โดย นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความโจทก์ กล่าวว่า ในวันนี้ พระสุเทพ ได้เบิกความตอบคำซักค้านของพนักงานอัยการ ซึ่งทำหน้าที่แก้ต่างให้จำเลยที่ 1 สรุปว่า โครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทนดังกล่าว เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และโจทก์เป็นรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งช่วงที่ พล.ต.อ.ประทีป ตันประเสริฐ ดำรงตำแหน่งรักษาการ ผบ.ตร. ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ระบุให้เปลี่ยนจากประมูลก่อสร้างรายภาคเป็นส่วนกลาง ซึ่งพล.ต.อ.ปทีป ได้เซ็นอนุมัติโครงการ ก่อนจะถูกส่งเรื่องมาให้โจทก์ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ลงนามตามหนังสือที่ พล.ต.อ.ปทีป เซ็นอนุมัติ ซึ่งขั้นตอนต่างๆเป็นไปอย่างถูกต้อง เพราะเป็นการลงนามตามความเห็นของหน่วยงานราชการ และไม่มีการฮั้วประมูล เนื่องจากโครงการดังกล่าวได้มีการประกวดราคาผ่านระบบอี-ออกชัน มีผู้เข้าร่วมประมูลเสนอราคาสู้กันถึง 73 ครั้ง จนทำให้ได้ราคาที่ต่ำกว่าราคากลาง เกือบ 500 ล้านบาท ราชการไม่เสียประโยชน์
ทั้งนี้ ภายหลังเบิกความตอบคำซักค้านเสร็จแล้ว ศาลได้นัดตอบคำซักค้านต่ออีกครั้งในนัดหน้า วันที่ 10 พ.ย.57 เวลา 10.30 น.