ASTVผู้จัดการรายวัน – สมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทย มั่นใจภาวะตลาดโลกปี 57 ทำยอดส่งออกส่งออกเพิ่มขึ้น 3-5% จากที่ทำได้ 1 แสนล้านบาทในปี 56 เผยผู้ประกอบการฟื้นตัวเร็วหลังจากรับผลกระทบจาก “ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท” เปรยรัฐบาลควรใช้โอกาสเร่งสนับสนุนแหล่งเงินทุน พร้อมเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการทั้งเอสเอ็มอี โอท็อป และ OEM กว่า 1 ล้านราย ร่วมกันเจาะตลาดใหม่เพิ่ม
นายจิรบูลย์ วิทยสิงห์ เลขาธิการสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทย เปิดเผยว่า ในช่วงที่ประเทศไทยมีรัฐบาลภายใต้การนำของ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ถือเป็นโอกาสดีที่กลุ่มผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทยจะรวมตัวกันร้องขอการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจในลักษณะเอสเอ็มอีซึ่งมีเครือข่ายเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์โอท็อป รวมทั้งผู้ผลิตในลักษณะ OEM รวมกันประมาณ 1 ล้านรายทั่วประเทศ โดยแต่ละปีมีบทบาทอย่างมากในการผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทยเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ ด้วยสัดส่วนประมาณ 70-80% จากมูลค่าทั้งสิ้น 3,065 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1 แสนล้านบาทในปี 2556 โดยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 3-5% ในปี 2557 และเติบโตไม่น้อยกว่า 4% ในปี 2558
ปัจจุบันตลาดส่งออกสำคัญของผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทยคือประเทศสหรัฐอเมริกา คิดเป็นสัดส่วน 26% ญี่ปุ่น 15% จีน 15% กลุ่มประเทศยุโรป 13% กลุ่มประเทศอาเซียน 12% ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มประเทศอื่นๆ และจำหน่ายภายในประเทศ โดยในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค.ที่ผ่านมา แม้จะยังคงมีมูลค่าทั้งสิ้น 1,725 ล้านบาท แต่คาดว่าช่วงเวลาที่เหลือจะสามารถผลักดันให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของตลาดโลกเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นและส่งสัญญาณเป็นบวกมากขึ้น
“แม้แต่ตลาดภายในประเทศก็เริ่มมีปัจจัยบวกที่ถือเป็นส่วนกระตุ้นกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รัฐบาลจึงควรมองเห็นโอกาสในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการสนับสนุนกลุ่มผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทยทั้งในเรื่องการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการให้มีลักษณะเป็นคลัสเตอร์มากขึ้น รวมไปถึงให้การสนับสนุนในเรื่องของแหล่งเงินทุนและช่องทางการทำตลาดใหม่ๆ”
สำหรับแนวโน้มตลาดโลกของผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ในปี 2558 คาดว่า กลุ่มประเทศอาเซียนจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการพัฒนาตลาดในระดับสากล เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของทั้ง 10 ประเทศล้วนมีความโดดเด่นที่แตกต่างกัน จึงทำให้แต่ละปีตลาดรวมในกลุ่มประเทศอาเซียนมีอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่า 40% ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีในการที่จะเพิ่มสัดส่วนในตลาดโลกได้อีกมาก
นายจิรบูลย์ กล่าวด้วยว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาผู้ประกอบการส่วนใหญ่ซึ่งดำเนินธุรกิจในลักษณะเอสเอ็มอีต้องได้รับผลกระทบในเรื่องค่าแรงงงานขั้นต่ำ 300 บาทจากนโยบายของรัฐบาลชุดที่ผ่านมาจนต้องปิดตัวไปไม่น้อยกว่า 100 ราย แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากถือเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายเจ้าของธุรกิจมาเป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้น ทำให้มีการนำแนวคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ในลักษณะ Creative Economy จนสามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น เนื่องจากองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์คือเรื่องของดีไซน์ซึ่งจำเป็นต้องมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี
ปัจจุบัน สมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทย มีสมาชิกกว่า 3 พันรายจาก 6 สมาคมได้แก่ สมาคมการค้าเครื่องใช้ในครัวเรือนไทย สมาคมของขวัญ ของชำร่วยไทยและของตกแต่งบ้าน สมาคมสินค้าตกแต่งบ้าน สมาคมอุตสาหกรรมของเล่นไทย สมาคมเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานไทย และสมาคมผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าหัตถกรรมภาคเหนือ
ทั้งนี้ ในปี 2556 สามารถทำรายได้จากเฟอร์นิเจอร์ ประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ของใช้ในครัวเรือน 800 ล้านเหรียญสหรัฐ ของตกแต่งบ้าน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ของเล่น 200 ล้านเหรียญสหรัฐ เครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงาน 100 ล้านสหรัฐ ส่วนที่เหลือประกอบด้วยของขวัญของชำร่วย เคหะสิ่งทอ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร และสินค้าหัตถกรรมภาคเหนือ
นายจิรบูลย์ วิทยสิงห์ เลขาธิการสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทย เปิดเผยว่า ในช่วงที่ประเทศไทยมีรัฐบาลภายใต้การนำของ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ถือเป็นโอกาสดีที่กลุ่มผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทยจะรวมตัวกันร้องขอการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจในลักษณะเอสเอ็มอีซึ่งมีเครือข่ายเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์โอท็อป รวมทั้งผู้ผลิตในลักษณะ OEM รวมกันประมาณ 1 ล้านรายทั่วประเทศ โดยแต่ละปีมีบทบาทอย่างมากในการผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทยเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ ด้วยสัดส่วนประมาณ 70-80% จากมูลค่าทั้งสิ้น 3,065 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1 แสนล้านบาทในปี 2556 โดยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 3-5% ในปี 2557 และเติบโตไม่น้อยกว่า 4% ในปี 2558
ปัจจุบันตลาดส่งออกสำคัญของผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทยคือประเทศสหรัฐอเมริกา คิดเป็นสัดส่วน 26% ญี่ปุ่น 15% จีน 15% กลุ่มประเทศยุโรป 13% กลุ่มประเทศอาเซียน 12% ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มประเทศอื่นๆ และจำหน่ายภายในประเทศ โดยในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค.ที่ผ่านมา แม้จะยังคงมีมูลค่าทั้งสิ้น 1,725 ล้านบาท แต่คาดว่าช่วงเวลาที่เหลือจะสามารถผลักดันให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของตลาดโลกเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นและส่งสัญญาณเป็นบวกมากขึ้น
“แม้แต่ตลาดภายในประเทศก็เริ่มมีปัจจัยบวกที่ถือเป็นส่วนกระตุ้นกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รัฐบาลจึงควรมองเห็นโอกาสในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการสนับสนุนกลุ่มผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทยทั้งในเรื่องการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการให้มีลักษณะเป็นคลัสเตอร์มากขึ้น รวมไปถึงให้การสนับสนุนในเรื่องของแหล่งเงินทุนและช่องทางการทำตลาดใหม่ๆ”
สำหรับแนวโน้มตลาดโลกของผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ในปี 2558 คาดว่า กลุ่มประเทศอาเซียนจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการพัฒนาตลาดในระดับสากล เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของทั้ง 10 ประเทศล้วนมีความโดดเด่นที่แตกต่างกัน จึงทำให้แต่ละปีตลาดรวมในกลุ่มประเทศอาเซียนมีอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่า 40% ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีในการที่จะเพิ่มสัดส่วนในตลาดโลกได้อีกมาก
นายจิรบูลย์ กล่าวด้วยว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาผู้ประกอบการส่วนใหญ่ซึ่งดำเนินธุรกิจในลักษณะเอสเอ็มอีต้องได้รับผลกระทบในเรื่องค่าแรงงงานขั้นต่ำ 300 บาทจากนโยบายของรัฐบาลชุดที่ผ่านมาจนต้องปิดตัวไปไม่น้อยกว่า 100 ราย แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากถือเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายเจ้าของธุรกิจมาเป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้น ทำให้มีการนำแนวคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ในลักษณะ Creative Economy จนสามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น เนื่องจากองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์คือเรื่องของดีไซน์ซึ่งจำเป็นต้องมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี
ปัจจุบัน สมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทย มีสมาชิกกว่า 3 พันรายจาก 6 สมาคมได้แก่ สมาคมการค้าเครื่องใช้ในครัวเรือนไทย สมาคมของขวัญ ของชำร่วยไทยและของตกแต่งบ้าน สมาคมสินค้าตกแต่งบ้าน สมาคมอุตสาหกรรมของเล่นไทย สมาคมเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานไทย และสมาคมผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าหัตถกรรมภาคเหนือ
ทั้งนี้ ในปี 2556 สามารถทำรายได้จากเฟอร์นิเจอร์ ประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ของใช้ในครัวเรือน 800 ล้านเหรียญสหรัฐ ของตกแต่งบ้าน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ของเล่น 200 ล้านเหรียญสหรัฐ เครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงาน 100 ล้านสหรัฐ ส่วนที่เหลือประกอบด้วยของขวัญของชำร่วย เคหะสิ่งทอ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร และสินค้าหัตถกรรมภาคเหนือ
