วานนี้ (17 ส.ค.) ร.ต.ท.ชัยณเรศ สุพร ร้อยเวร สภ.เมืองสมุทรปราการ รับแจ้งเหตุมีบอยเลอร์ต้มน้ำขนาดใหญ่ระเบิด ภายในบริษัท วงศ์พสิษฐ์ การพิมพ์ ตั้งอยู่เลขที่ 50 /1 ม.2 ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ จึงรายงานให้ พ.ต.อ.พัลลภ แอร่มหล้า ผกก.สภ.เมืองสมุทรปราการและรุดไปที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยรถดับเพลิงจากเทศบาลตำบลบางปูและใกล้เคียงกว่า 10 คัน รถกู้ชีพปราการและอาสาอีกกว่า 20 คัน
ภายในบริษัท วงศ์พสิษฐ์ ซึ่งมีเนื้อที่กว่า 20 ไร่ ที่ท้ายโรงงานพบบอยเลอร์ขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เมตร สูงประมาณ 4 เมตร ล้มลงมากองกับพื้น เครื่องจักรที่ใช้ในการอบผ้าเสียหาย รถยนต์บรรทุก 6 ล้อถูกเผาวอด 1 คัน หลังคากระเบื้องโรงงานแตกกระจาย แรงระเบิดทำให้กำแพงโรงงานพังราบและทำให้บ้านเรือนซึ่งเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น 5 หลังและบ้านไม้ชั้นเดียวอีก 5 หลัง รวม 10 หลัง ซึ่งอยู่ในชุมชนกะลาวนที่ปลูกติดกับกำแพงโรงงานพังราบแหลกละเอียด ข้าวของภายในบ้าน ทีวี ตู้เย็น รถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหาย มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 20 ราย เจ้าหน้าที่กู้ชีพช่วยกันนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลสมุทรปราการอย่างโกลาหล
ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บซึ่งเป็นคนงานที่ดูแลหม้อต้มบอยเลอร์เป็นชาวพม่า ชื่อ นาย ซอมนสาน อายุ 25 ปี ได้รับบาดเจ็บถูกน้ำร้อนลวกตั้งแต่ใบหน้าและตามลำตัวแขนขา แพทย์รับตัวไว้นอนโรงพยาบาล และชาวบ้านที่เป็นแรงงานคนไทยและต่างด้าวที่ทำงานอยู่บริษัท ไทยเดลมาร์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโรงงาน มีครอบครัว นายทวี แก้วชาติ อายุ 45 ปี นางสมเพียร แก้วชาติ อายุ 40 ปี นายนำโชค แก้วชาติ อายุ 19 ปี ด.ญ.นวนิตย์ แก้วชาติ อายุ 13 ปี ได้รับบาดเจ็บทั้งครอบครัวบ้านพังถล่มลงมาทับได้รับบาดเจ็บต้องนอนโรงพยาบาล นายเค อายุ 35 ปี นายแดง อายุ 28 ปี นายใน อายุ 28 ปี นายซูเวน อายุ 25 ปี นายโชว์ อายุ 30 ปี นายมอยู อายุ 30 ปี นายจู อายุ 20 ปี น.ส.ตรีดามูล อายุ 25 ปี นายธง อายุ 20 ปี นายสุดใจ อายุ 32 ปี นายเมย์ อายุ 20 ปี นายเวน อายุ 25 ชายไม่ทราบชื่อ อายุ 30 ปี หญิงไม่ทราบชื่อ อายุ 30 ปี ทั้งหมดเป็นชาวพม่าที่มีบ้านพักติดโรงงาน
จากการสอบถาม นายประจักษ์ มาแก้ว อายุ 38 ปี พนักงานแผนกแม่พิมพ์ กล่าวว่า บริษัทแห่งนี้มีนายปิยะเดช วงศ์อารีย์ เป็นกรรมการผู้จัดการ ขณะเกิดเหตุไม่ได้อยู่ในโรงงาน ขณะที่ตนเองทำงานอยู่ในแผนกภายในโรงงานซึ่งอยู่บริเวณกลางโรงงาน จู่ๆก็ได้ยินระเบิดดังสนั่น จึงได้รีบวิ่งออกมาดู พบว่าหม้อบอยเลอร์ขนาดใหญ่ล้มลงมา หลังคาแตกกระจายเกิดเปลวเพลิงลุกไหม้ จึงได้รีบแจ้งตำรวจและรถดับเพลิง ค่าเสียหายเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งตำรวจจะได้ให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.
ภายในบริษัท วงศ์พสิษฐ์ ซึ่งมีเนื้อที่กว่า 20 ไร่ ที่ท้ายโรงงานพบบอยเลอร์ขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เมตร สูงประมาณ 4 เมตร ล้มลงมากองกับพื้น เครื่องจักรที่ใช้ในการอบผ้าเสียหาย รถยนต์บรรทุก 6 ล้อถูกเผาวอด 1 คัน หลังคากระเบื้องโรงงานแตกกระจาย แรงระเบิดทำให้กำแพงโรงงานพังราบและทำให้บ้านเรือนซึ่งเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น 5 หลังและบ้านไม้ชั้นเดียวอีก 5 หลัง รวม 10 หลัง ซึ่งอยู่ในชุมชนกะลาวนที่ปลูกติดกับกำแพงโรงงานพังราบแหลกละเอียด ข้าวของภายในบ้าน ทีวี ตู้เย็น รถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหาย มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 20 ราย เจ้าหน้าที่กู้ชีพช่วยกันนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลสมุทรปราการอย่างโกลาหล
ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บซึ่งเป็นคนงานที่ดูแลหม้อต้มบอยเลอร์เป็นชาวพม่า ชื่อ นาย ซอมนสาน อายุ 25 ปี ได้รับบาดเจ็บถูกน้ำร้อนลวกตั้งแต่ใบหน้าและตามลำตัวแขนขา แพทย์รับตัวไว้นอนโรงพยาบาล และชาวบ้านที่เป็นแรงงานคนไทยและต่างด้าวที่ทำงานอยู่บริษัท ไทยเดลมาร์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโรงงาน มีครอบครัว นายทวี แก้วชาติ อายุ 45 ปี นางสมเพียร แก้วชาติ อายุ 40 ปี นายนำโชค แก้วชาติ อายุ 19 ปี ด.ญ.นวนิตย์ แก้วชาติ อายุ 13 ปี ได้รับบาดเจ็บทั้งครอบครัวบ้านพังถล่มลงมาทับได้รับบาดเจ็บต้องนอนโรงพยาบาล นายเค อายุ 35 ปี นายแดง อายุ 28 ปี นายใน อายุ 28 ปี นายซูเวน อายุ 25 ปี นายโชว์ อายุ 30 ปี นายมอยู อายุ 30 ปี นายจู อายุ 20 ปี น.ส.ตรีดามูล อายุ 25 ปี นายธง อายุ 20 ปี นายสุดใจ อายุ 32 ปี นายเมย์ อายุ 20 ปี นายเวน อายุ 25 ชายไม่ทราบชื่อ อายุ 30 ปี หญิงไม่ทราบชื่อ อายุ 30 ปี ทั้งหมดเป็นชาวพม่าที่มีบ้านพักติดโรงงาน
จากการสอบถาม นายประจักษ์ มาแก้ว อายุ 38 ปี พนักงานแผนกแม่พิมพ์ กล่าวว่า บริษัทแห่งนี้มีนายปิยะเดช วงศ์อารีย์ เป็นกรรมการผู้จัดการ ขณะเกิดเหตุไม่ได้อยู่ในโรงงาน ขณะที่ตนเองทำงานอยู่ในแผนกภายในโรงงานซึ่งอยู่บริเวณกลางโรงงาน จู่ๆก็ได้ยินระเบิดดังสนั่น จึงได้รีบวิ่งออกมาดู พบว่าหม้อบอยเลอร์ขนาดใหญ่ล้มลงมา หลังคาแตกกระจายเกิดเปลวเพลิงลุกไหม้ จึงได้รีบแจ้งตำรวจและรถดับเพลิง ค่าเสียหายเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งตำรวจจะได้ให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.