ผมเชื่อว่า ถ้าทหารไม่ออกมาปฏิวัติ มวลมหาประชาชนก็ไม่มีวันโค่นล้มรัฐบาลของทักษิณได้ และป่านนี้มวลมหาประชาชนก็ยังคงอยู่บนท้องถนน เจ็บและตายจากการถูกลอบทำร้ายทุกวี่ทุกวัน ถ้าทหารไม่ออกมากำนันสุเทพก็หาทางลงไม่เจอ
ดังนั้น แม้ทหารจะออกมายึดอำนาจและเราต้องเสียสละสิทธิเสรีภาพบางอย่างไป ก็จะดูเป็นหนทางเดียวที่จะหยุดคนเจ็บและตายและเอารัฐบาลที่เราไม่ต้องการพ้นไปได้ แต่เมื่อทหารที่เข้ามายึดอำนาจเปิดเผยตัวตนออกมาและมองไม่เห็นเลยว่า พวกเขาจะกำจัดระบอบทักษิณอย่างที่หลายคนตั้งความคาดหวังเอาไว้ จนกระทั่งทำท่าว่าจะกลายเป็นเรื่องที่มโนกันไปเอง ก็คงต้องออกมาพูดท้วงติงบ้างแม้ว่าจะมีเสรีภาพที่จำกัด
แต่บางคนที่เชียร์ทหารอย่างสุดลิ่มและยังคงปลอบใจตัวเองว่า เขากำลังลับลวงพลาง ก็จะไม่พอใจคนที่ออกมาวิจารณ์ทหารแม้ว่าจะเป็นพวกต่อต้านระบอบทักษิณด้วยกัน ด้วยน้ำเสียงว่า ให้ใจเย็นๆ ให้ดูเขาไปก่อน ปล่อยให้เขาทำงานไป
ผมจำได้ว่า ตอนที่บิ๊กบังออกมายึดอำนาจจากทักษิณก็มีคนคาดหวังอย่างนี้ จำได้ว่าตอนนั้นสนธิ ลิ้มทองกุลยังออกรายการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของทหารและรัฐบาลขิงแก่ ก็ถูกกองเชียร์ทหารอย่างเปลว สีเงิน ออกมาปรามว่าสนธิหยุดได้แล้ว ทักษิณแพ้แล้ว อย่าเอาผีทักษิณมาหลอกหลอน
แล้วสุดท้ายระบอบทักษิณก็กลับมา และบิ๊กบังก็กลายเป็นพวกเดียวกับทักษิณ แล้วทุกคนก็ออกมาตำหนิรัฐบาลสุรยุทธ์และการรัฐประหารครั้งนั้นว่า “เสียของ”
ดังนั้น ผมคิดว่า ถ้าเรามีโอกาสพูดอะไรเขาไม่ปิดปากเราจนเกินไปก็พูดกันเสียตอนนี้ดีกว่า เหนื่อยแล้วที่จะต้องมาลุกขึ้นสู้ขับไล่รัฐบาลของทักษิณกันอีกในคราวหน้า และดีกว่าไปพูดว่า “เสียของ” ในวันหลัง
ถึงตอนนี้ก็ไม่ได้มีความหวังอะไรเลยนะครับว่า คณะทหารที่เข้ามายึดอำนาจการปกครองประเทศจะมองเห็นปัญหาของบ้านเมืองในห้วง 10 ปีมานี้ เกิดจากระบอบทักษิณ ที่เป็นระบอบเผด็จการการเมืองโดยทุน ที่เกษียร เตชะพีระซึ่งวันนี้หันไปภักดีกับระบอบทักษิณ เคยเรียกว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิทุน เพราะในคำปรารภของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 เขียนไว้ชัดว่า เกิดจากความวุ่นวายของมวลชนที่ออกมาขับไล่รัฐบาล แม้รัฐบาลจะพยายามแก้ปัญหาด้วยกฎหมายพิเศษและยุบสภาให้เลือกตั้งใหม่แล้วก็ยังไม่ยอมยุติ จนทหารต้องเข้ามาแก้ปัญหา
และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 1 เรื่อง การควบคุมอำนาจการปกครองประเทศก็ระบุไว้ชัดว่า ตามสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เขตปริมณฑล และพื้นที่ต่างๆ ของประเทศในหลายพื้นที่ เป็นผลให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บและเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง และเหตุการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มขยายตัว จนอาจเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยรวม
ต่างกับคณะทหารของบิ๊กบังตอนนั้นนะครับที่ประกาศเหตุผล 4 ข้อที่เป็นสาเหตุของการยึดอำนาจไว้ชัดเลยว่า 1. หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 2. ทุจริตคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง 3. แทรกแซงองค์กรอิสระ 4. สร้างความแตกแยกในสังคม ซึ่งโยงใยชัดเจนว่า เกิดจากความผิดพลาดในการบริหารประเทศ และความเหิมเกริมของทักษิณผ่านคำพูดและการแสดงออกหลายครั้ง
จะเห็นว่า เหตุผลการยึดอำนาจของบิ๊กบังขนาดประกาศไว้ชัดว่า เป็นเพราะรัฐบาลทักษิณก็ยังไม่ได้ไปแตะต้องระบอบทักษิณสุดท้ายยังกลายเป็นพวกเดียวกันไปเสียอีก แต่เหตุผลการยึดอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้มีส่วนไหนเลยที่สะท้อนว่า เป็นเพราะระบอบทักษิณนอกจากอ้างว่าเกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ดังนั้นเราจึงไม่ควรคาดหวังไปก่อนจะเห็นเขาลงมือกระทำจริงๆ
สิ่งที่คณะทหารของพล.อ.ประยุทธ์กระทำหลังการยึดอำนาจก็คือ ขอให้ทุกกลุ่มการเมืองหยุดเคลื่อนไหว หันหน้ามาจับมือกัน จัดงานร้องเพลงคืนความสุขให้ประชาชน แล้วบอกว่าประชาชนทุกข์มาแล้ว 9 ปี แต่ไม่ได้พูดถึงต้นเหตุของปัญหา เพราะกลัวว่าจะกระทบบรรยากาศการปรองดอง ในความหมายก็คือ ให้ลืมๆ กันไปนั่นเอง
ผ่านขั้นตอนที่ 1 มาแล้ว และกำลังเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 ของการยึดอำนาจก็คือ การมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และมีรัฐบาลบริหารประเทศ ที่แน่นอนแล้วว่า จะมีนายกรัฐมนตรีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และมีหัวหน้า คสช.ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคนกำกับ
จากนั้นอีกเพียงปีเดียวก็จะกลับไปสู่การเลือกตั้ง ที่ระบอบทักษิณรอซุ่มคอยโอกาสอยู่แล้ว ตราบใดที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจมหันตภัยของระบอบทักษิณ ระบอบเผด็จการการเมืองโดยทุนก็จะกลับมาอีก เพราะทักษิณซื้อพรรค ซื้อ ส.ส.ไว้ในมือหมดแล้ว เลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ชนะเมื่อนั้น
บางคนบอกว่า ถ้าไม่เลือกตั้งไม่เคารพหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงและความเท่าเทียมกันของประชาชนแล้วจะเอาอย่างไร คำตอบคือเอาครับ แต่ต้องทำให้ประชาชนรู้เท่าทันนักการเมืองและนโยบายทางการเมืองเสียก่อน ไม่เช่นนั้นระบอบทักษิณก็จะอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งใช้เผด็จการเสียงข้างมากยึดครองประเทศ ใช้ต่างชาติเป็นเกราะกำบัง ในนามของฝ่ายประชาธิปไตย ใช้นโยบายประชานิยมมอมเมาคนรากหญ้า แล้วหาประโยชน์จากการทุจริตเชิงนโยบายจากความไม่รู้ของประชาชนเสียงข้างมากที่พอใจกับสิ่งที่ระบอบทักษิณหยิบยื่นให้
ตอนนี้ฝ่ายที่ไม่เอาเจ้าก็อิงแอบกับระบอบทักษิณ โดยใช้ข้ออ้างว่ามาจากการเลือกตั้งและเป็นฝ่ายประชาธิปไตยเป็นที่บังตัว คำพูดที่ว่า “ไม่ใช่คนเสื้อแดงทั้งหมดที่ล้มเจ้า แต่คนล้มเจ้าทั้งหมดเป็นเสื้อแดง” นั้นเป็นเรื่องที่หนีความจริงไปไม่พ้น แม้ว่า โดยทฤษฎีแล้วความคิดทางการเมืองและอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่สำหรับสังคมไทยฉันทามติของประชาชนคือ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
จริงๆ แล้วพวกนี้ก็เพียงแต่ใช้ทักษิณเป็นเครื่องมือ แต่ทักษิณก็ยอมให้ใช้ เพราะต่างฝ่ายต่างก็ได้ประโยชน์จากกัน ทักษิณเลยยอมให้พวกนี้ปลุกปั่นมวลชนโดยใช้ทฤษฎีทางชนชั้นไพร่กับอำมาตย์มาเป็นเครื่องมือในการสร้างฐานมวลชนรากหญ้าซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายตัวเอง และใช้คนรากหญ้าตายแทนในการช่วงชิงอำนาจทางการเมือง ยิ่งคนรากหญ้าตายมาเท่าไหร่ พวกนี้ก็ยิ่งสร้างความเกลียดชังระหว่างอำมาตย์กับไพร่ได้มากยิ่งขึ้น ทั้งที่จริงแล้วความแตกต่างทางชนชั้นไม่มีในสังคมไทย
เชื่อว่าประเด็นเหล่านี้ฝ่ายทหารที่เป็นผู้ยึดอำนาจปกครองประเทศในตอนนี้ก็รู้ ถ้าไม่เข้ามาบริหารประเทศเพียงเพราะยับยั้งความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นดังที่เป็นข้ออ้างในการเข้ายึดอำนาจ ก็ต้องจัดการกับระบอบทักษิณให้สิ้นซาก เราอาจจะกำจัดเครือข่ายของระบอบทักษิณไม่ได้ แต่เราต้องสร้างความรู้และติดอาวุธทางปัญญาให้กับประชาชน
เราจึงคาดหวังจากคณะทหารมากกว่า การแก้ไขปัญหาหาบเร่แผงลอย วินมอเตอร์ไซค์ หรือการจัดคิวรถตู้ ไม่ใช่แค่บอกว่าออกมาเพื่อหยุดความรุนแรงเพื่อยับยั้งการปะทะกันของมวลชนทั้งสองฝ่าย แต่ต้องแก้ที่ต้นตอของปัญหาที่แท้จริง
ดังนั้น แม้ทหารจะออกมายึดอำนาจและเราต้องเสียสละสิทธิเสรีภาพบางอย่างไป ก็จะดูเป็นหนทางเดียวที่จะหยุดคนเจ็บและตายและเอารัฐบาลที่เราไม่ต้องการพ้นไปได้ แต่เมื่อทหารที่เข้ามายึดอำนาจเปิดเผยตัวตนออกมาและมองไม่เห็นเลยว่า พวกเขาจะกำจัดระบอบทักษิณอย่างที่หลายคนตั้งความคาดหวังเอาไว้ จนกระทั่งทำท่าว่าจะกลายเป็นเรื่องที่มโนกันไปเอง ก็คงต้องออกมาพูดท้วงติงบ้างแม้ว่าจะมีเสรีภาพที่จำกัด
แต่บางคนที่เชียร์ทหารอย่างสุดลิ่มและยังคงปลอบใจตัวเองว่า เขากำลังลับลวงพลาง ก็จะไม่พอใจคนที่ออกมาวิจารณ์ทหารแม้ว่าจะเป็นพวกต่อต้านระบอบทักษิณด้วยกัน ด้วยน้ำเสียงว่า ให้ใจเย็นๆ ให้ดูเขาไปก่อน ปล่อยให้เขาทำงานไป
ผมจำได้ว่า ตอนที่บิ๊กบังออกมายึดอำนาจจากทักษิณก็มีคนคาดหวังอย่างนี้ จำได้ว่าตอนนั้นสนธิ ลิ้มทองกุลยังออกรายการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของทหารและรัฐบาลขิงแก่ ก็ถูกกองเชียร์ทหารอย่างเปลว สีเงิน ออกมาปรามว่าสนธิหยุดได้แล้ว ทักษิณแพ้แล้ว อย่าเอาผีทักษิณมาหลอกหลอน
แล้วสุดท้ายระบอบทักษิณก็กลับมา และบิ๊กบังก็กลายเป็นพวกเดียวกับทักษิณ แล้วทุกคนก็ออกมาตำหนิรัฐบาลสุรยุทธ์และการรัฐประหารครั้งนั้นว่า “เสียของ”
ดังนั้น ผมคิดว่า ถ้าเรามีโอกาสพูดอะไรเขาไม่ปิดปากเราจนเกินไปก็พูดกันเสียตอนนี้ดีกว่า เหนื่อยแล้วที่จะต้องมาลุกขึ้นสู้ขับไล่รัฐบาลของทักษิณกันอีกในคราวหน้า และดีกว่าไปพูดว่า “เสียของ” ในวันหลัง
ถึงตอนนี้ก็ไม่ได้มีความหวังอะไรเลยนะครับว่า คณะทหารที่เข้ามายึดอำนาจการปกครองประเทศจะมองเห็นปัญหาของบ้านเมืองในห้วง 10 ปีมานี้ เกิดจากระบอบทักษิณ ที่เป็นระบอบเผด็จการการเมืองโดยทุน ที่เกษียร เตชะพีระซึ่งวันนี้หันไปภักดีกับระบอบทักษิณ เคยเรียกว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิทุน เพราะในคำปรารภของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 เขียนไว้ชัดว่า เกิดจากความวุ่นวายของมวลชนที่ออกมาขับไล่รัฐบาล แม้รัฐบาลจะพยายามแก้ปัญหาด้วยกฎหมายพิเศษและยุบสภาให้เลือกตั้งใหม่แล้วก็ยังไม่ยอมยุติ จนทหารต้องเข้ามาแก้ปัญหา
และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 1 เรื่อง การควบคุมอำนาจการปกครองประเทศก็ระบุไว้ชัดว่า ตามสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เขตปริมณฑล และพื้นที่ต่างๆ ของประเทศในหลายพื้นที่ เป็นผลให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บและเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง และเหตุการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มขยายตัว จนอาจเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยรวม
ต่างกับคณะทหารของบิ๊กบังตอนนั้นนะครับที่ประกาศเหตุผล 4 ข้อที่เป็นสาเหตุของการยึดอำนาจไว้ชัดเลยว่า 1. หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 2. ทุจริตคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง 3. แทรกแซงองค์กรอิสระ 4. สร้างความแตกแยกในสังคม ซึ่งโยงใยชัดเจนว่า เกิดจากความผิดพลาดในการบริหารประเทศ และความเหิมเกริมของทักษิณผ่านคำพูดและการแสดงออกหลายครั้ง
จะเห็นว่า เหตุผลการยึดอำนาจของบิ๊กบังขนาดประกาศไว้ชัดว่า เป็นเพราะรัฐบาลทักษิณก็ยังไม่ได้ไปแตะต้องระบอบทักษิณสุดท้ายยังกลายเป็นพวกเดียวกันไปเสียอีก แต่เหตุผลการยึดอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้มีส่วนไหนเลยที่สะท้อนว่า เป็นเพราะระบอบทักษิณนอกจากอ้างว่าเกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ดังนั้นเราจึงไม่ควรคาดหวังไปก่อนจะเห็นเขาลงมือกระทำจริงๆ
สิ่งที่คณะทหารของพล.อ.ประยุทธ์กระทำหลังการยึดอำนาจก็คือ ขอให้ทุกกลุ่มการเมืองหยุดเคลื่อนไหว หันหน้ามาจับมือกัน จัดงานร้องเพลงคืนความสุขให้ประชาชน แล้วบอกว่าประชาชนทุกข์มาแล้ว 9 ปี แต่ไม่ได้พูดถึงต้นเหตุของปัญหา เพราะกลัวว่าจะกระทบบรรยากาศการปรองดอง ในความหมายก็คือ ให้ลืมๆ กันไปนั่นเอง
ผ่านขั้นตอนที่ 1 มาแล้ว และกำลังเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 ของการยึดอำนาจก็คือ การมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และมีรัฐบาลบริหารประเทศ ที่แน่นอนแล้วว่า จะมีนายกรัฐมนตรีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และมีหัวหน้า คสช.ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคนกำกับ
จากนั้นอีกเพียงปีเดียวก็จะกลับไปสู่การเลือกตั้ง ที่ระบอบทักษิณรอซุ่มคอยโอกาสอยู่แล้ว ตราบใดที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจมหันตภัยของระบอบทักษิณ ระบอบเผด็จการการเมืองโดยทุนก็จะกลับมาอีก เพราะทักษิณซื้อพรรค ซื้อ ส.ส.ไว้ในมือหมดแล้ว เลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ชนะเมื่อนั้น
บางคนบอกว่า ถ้าไม่เลือกตั้งไม่เคารพหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงและความเท่าเทียมกันของประชาชนแล้วจะเอาอย่างไร คำตอบคือเอาครับ แต่ต้องทำให้ประชาชนรู้เท่าทันนักการเมืองและนโยบายทางการเมืองเสียก่อน ไม่เช่นนั้นระบอบทักษิณก็จะอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งใช้เผด็จการเสียงข้างมากยึดครองประเทศ ใช้ต่างชาติเป็นเกราะกำบัง ในนามของฝ่ายประชาธิปไตย ใช้นโยบายประชานิยมมอมเมาคนรากหญ้า แล้วหาประโยชน์จากการทุจริตเชิงนโยบายจากความไม่รู้ของประชาชนเสียงข้างมากที่พอใจกับสิ่งที่ระบอบทักษิณหยิบยื่นให้
ตอนนี้ฝ่ายที่ไม่เอาเจ้าก็อิงแอบกับระบอบทักษิณ โดยใช้ข้ออ้างว่ามาจากการเลือกตั้งและเป็นฝ่ายประชาธิปไตยเป็นที่บังตัว คำพูดที่ว่า “ไม่ใช่คนเสื้อแดงทั้งหมดที่ล้มเจ้า แต่คนล้มเจ้าทั้งหมดเป็นเสื้อแดง” นั้นเป็นเรื่องที่หนีความจริงไปไม่พ้น แม้ว่า โดยทฤษฎีแล้วความคิดทางการเมืองและอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่สำหรับสังคมไทยฉันทามติของประชาชนคือ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
จริงๆ แล้วพวกนี้ก็เพียงแต่ใช้ทักษิณเป็นเครื่องมือ แต่ทักษิณก็ยอมให้ใช้ เพราะต่างฝ่ายต่างก็ได้ประโยชน์จากกัน ทักษิณเลยยอมให้พวกนี้ปลุกปั่นมวลชนโดยใช้ทฤษฎีทางชนชั้นไพร่กับอำมาตย์มาเป็นเครื่องมือในการสร้างฐานมวลชนรากหญ้าซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายตัวเอง และใช้คนรากหญ้าตายแทนในการช่วงชิงอำนาจทางการเมือง ยิ่งคนรากหญ้าตายมาเท่าไหร่ พวกนี้ก็ยิ่งสร้างความเกลียดชังระหว่างอำมาตย์กับไพร่ได้มากยิ่งขึ้น ทั้งที่จริงแล้วความแตกต่างทางชนชั้นไม่มีในสังคมไทย
เชื่อว่าประเด็นเหล่านี้ฝ่ายทหารที่เป็นผู้ยึดอำนาจปกครองประเทศในตอนนี้ก็รู้ ถ้าไม่เข้ามาบริหารประเทศเพียงเพราะยับยั้งความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นดังที่เป็นข้ออ้างในการเข้ายึดอำนาจ ก็ต้องจัดการกับระบอบทักษิณให้สิ้นซาก เราอาจจะกำจัดเครือข่ายของระบอบทักษิณไม่ได้ แต่เราต้องสร้างความรู้และติดอาวุธทางปัญญาให้กับประชาชน
เราจึงคาดหวังจากคณะทหารมากกว่า การแก้ไขปัญหาหาบเร่แผงลอย วินมอเตอร์ไซค์ หรือการจัดคิวรถตู้ ไม่ใช่แค่บอกว่าออกมาเพื่อหยุดความรุนแรงเพื่อยับยั้งการปะทะกันของมวลชนทั้งสองฝ่าย แต่ต้องแก้ที่ต้นตอของปัญหาที่แท้จริง