นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ราคายางพาตกต่ำ ทำให้รายได้ของประเทศหดหายไป 1 ใน 3 จากยอดส่งออกยางถึง 400,000 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่ารองจากข้าว ดังนั้นขอเรียกร้องให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาแก้ปัญหาโดยด่วน ซึ่งตนขอเสนอมาตรการเร่งด่วน และมาตรการระยะยาวที่ต้องทำทันที เพื่อสร้างผลกระทบต่อจิตวิทยาการตลาด และยกระดับราคายางให้อยู่ในจุดสมดุลกับผลิตภัณฑ์ยาง โดยเฉพาะยางรถยนต์ที่ราคาสูงขึ้นตลอด คือ มาตรการระยะสั้น
1. ประกาศลดอุปทาน เพื่อเพิ่มความต้องการของผู้ซื้อในตลาดซื้อขายยางล่วงหน้า นำยางในสต๊อกของประเทศ มาทำยุทธภัณฑ์ โดยให้กองทัพซื้อมาเก็บไว้ และส่งเสริมการใช้ภายใน ประเทศ และประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตหลักจะไม่ส่งเสริมให้มีการปลูกยางเพิ่ม จนกว่าราคายางจะดีขึ้น
2. ส่งเสริมให้พ่อค้ายางซึ่งมีเครือข่ายการส่งออกกับต่างประเทศ มาแข่งขันการซื้อ และเก็บสต๊อก โดยคสช.สนับสนุบเงินทุน และสต๊อกเครดิต
3. คสช.ที่กำลังได้รับความร่วมมือกับอาเชียน เจรจากับประเทศผู้ผลิตหลักในระดับผู้มีอำนาจสูงสุด กำหนดมาตรการทางบวกร่วมกัน และประกาศอย่างเป็นทางการ
4. หากราคายังไม่ดีขึ้น ประเทศผู้ผลิตหลัก โดยเฉพาะประเทศไทย จะต้องดำเนินการชี้นำการตลาด กำหนดราคาเป้าหมายยางแผ่นดิบ ที่ราคากิโลกรัมละ 80 บาท และยกระดับไปอยู่ที่กิโลกรัมละ100 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ประเทศอุสาตหกรรมยางยอมรับได้ รวมถึงต้องมีมาตรการให้ถึงมือเกษตรกร และไม่ทุจริต คอร์รัปชัน
ส่วนมาตรการระยะยาว คือ 1. ประเทศไทยต้องกำหนดโซนนิ่งผลผลิตทางการเกษตรอย่างจริงจัง
2. ส่งเสริมการแปรรูปยาง และผลิตภัณฑ์ยางอย่างจริงจัง เช่น จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ขององค์การสวนยาง สนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานแก่ผู้ประกอบการ เพราะประเทศไทยนำยางมาแปรรูปได้แค่ 10 % มีมูลค่าถึง 200,000 ล้านบาท หากแปรรูปได้ 50 % เหมือนมาเลเซีย จะมีมูลค่ามหาศาล
3. สนับสนุนการวิจัยและพัฒนายาง เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ และอุทยานวิทยาศาสตร์การยางเพื่อให้ภาคเอกชนมาร่วมและลงทุนในเชิงพาณิชย์
4. นำไทยให้เป็นศูนย์กลางอาเซียนด้านยางพารา แทนการแข่งขันกัน เปิดกว้างส่งเสริมการลงทุน และเป็นผู้นำในการเจรจาต่อรอง โดยคสช. ต้องประกาศเลยว่า คืนความสุขให้ชาวสวนยาง ซึ่งตนเชื่อว่า จะมีผลต่อจิตวิทยาการตลาดทันที และราคายางจะยกระดับตามมา โดยหัวหน้าคสช.ต้องลุยเองด้วยความจริงใจ
1. ประกาศลดอุปทาน เพื่อเพิ่มความต้องการของผู้ซื้อในตลาดซื้อขายยางล่วงหน้า นำยางในสต๊อกของประเทศ มาทำยุทธภัณฑ์ โดยให้กองทัพซื้อมาเก็บไว้ และส่งเสริมการใช้ภายใน ประเทศ และประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตหลักจะไม่ส่งเสริมให้มีการปลูกยางเพิ่ม จนกว่าราคายางจะดีขึ้น
2. ส่งเสริมให้พ่อค้ายางซึ่งมีเครือข่ายการส่งออกกับต่างประเทศ มาแข่งขันการซื้อ และเก็บสต๊อก โดยคสช.สนับสนุบเงินทุน และสต๊อกเครดิต
3. คสช.ที่กำลังได้รับความร่วมมือกับอาเชียน เจรจากับประเทศผู้ผลิตหลักในระดับผู้มีอำนาจสูงสุด กำหนดมาตรการทางบวกร่วมกัน และประกาศอย่างเป็นทางการ
4. หากราคายังไม่ดีขึ้น ประเทศผู้ผลิตหลัก โดยเฉพาะประเทศไทย จะต้องดำเนินการชี้นำการตลาด กำหนดราคาเป้าหมายยางแผ่นดิบ ที่ราคากิโลกรัมละ 80 บาท และยกระดับไปอยู่ที่กิโลกรัมละ100 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ประเทศอุสาตหกรรมยางยอมรับได้ รวมถึงต้องมีมาตรการให้ถึงมือเกษตรกร และไม่ทุจริต คอร์รัปชัน
ส่วนมาตรการระยะยาว คือ 1. ประเทศไทยต้องกำหนดโซนนิ่งผลผลิตทางการเกษตรอย่างจริงจัง
2. ส่งเสริมการแปรรูปยาง และผลิตภัณฑ์ยางอย่างจริงจัง เช่น จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ขององค์การสวนยาง สนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานแก่ผู้ประกอบการ เพราะประเทศไทยนำยางมาแปรรูปได้แค่ 10 % มีมูลค่าถึง 200,000 ล้านบาท หากแปรรูปได้ 50 % เหมือนมาเลเซีย จะมีมูลค่ามหาศาล
3. สนับสนุนการวิจัยและพัฒนายาง เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ และอุทยานวิทยาศาสตร์การยางเพื่อให้ภาคเอกชนมาร่วมและลงทุนในเชิงพาณิชย์
4. นำไทยให้เป็นศูนย์กลางอาเซียนด้านยางพารา แทนการแข่งขันกัน เปิดกว้างส่งเสริมการลงทุน และเป็นผู้นำในการเจรจาต่อรอง โดยคสช. ต้องประกาศเลยว่า คืนความสุขให้ชาวสวนยาง ซึ่งตนเชื่อว่า จะมีผลต่อจิตวิทยาการตลาดทันที และราคายางจะยกระดับตามมา โดยหัวหน้าคสช.ต้องลุยเองด้วยความจริงใจ
