ผ่าความจริงวิวาทะเรื่องพลังงาน
เก็บค่าเช่ากับขายเอง
ก่อนจะไปประเด็นที่สองเกี่ยวกับสัมปทานการขุดเจาะน้ำมัน มีประเด็นที่สืบเนื่องมาจากประเด็นเรื่อง ราคาพลังงานและกลไกราคา ที่อ้างโดยนางรสนาว่า(1) น้ำมันขายปลีกในประเทศที่แพงเป็นเพราะ ปตท.มีรายจ่ายค่าตอบแทนกรรมการสูงเกินควร และ (2) กลไกราคาทำงานไม่ได้กับราคาพลังงานโดยอ้างเรื่องมาตรฐานยูโร 4 เป็นการกีดกันที่มิใช่ราคา (Non-Tariff barrier)
เอาเรื่องแรกก่อน แม้ว่าค่าตอบแทนกรรมการของกิจการเครือ ปตท.จะสูง แต่ก็มิได้มีผลทำให้ราคาขายปลีกสูงตามแต่อย่างใด เหตุก็คือค่าการตลาดที่ปั๊มน้ำมันได้ไม่ว่าจะยี่ห้อ ปตท.หรือไม่นั้นต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับราคาขายปลีก ย้อนกลับไปดูในตารางที่แยกแยะราคาหน้าโรงกลั่นก่อนที่จะขายไปให้ปั๊มน้ำมันในตอนที่ (6) ก็ได้ว่าส่วนที่ทำให้ราคาหน้าโรงกลั่นก่อนถึงปั๊มน้ำมันแพงก็คือภาษี+เงินกองทุนที่รัฐบาลเก็บที่มีสัดส่วนสูงถึงกว่าร้อยละ 40 ของราคาหน้าโรงกลั่นหรือประมาณ 21 บาทเศษต่อลิตร
หากจะใช้ทฤษฎีสมคบคิดอ้างว่า ปตท.แอบบวกค่าตอบแทนไว้ในราคาน้ำมันที่ขายหน้าโรงกลั่น สิ่งที่รสนาอาจลืมคิดไปก็คือ ราคาขายปลีกจะแพงขึ้นและเมื่อสูงเกินกว่าราคาตลาดที่อ้างอิงราคาสิงคโปร์กลไกราคาก็จะทำให้มีจากนำเข้าแทนที่จะซื้อจากภายในประเทศ
ส่วนเรื่องของกลไกราคาที่รสนาคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันใช้ไม่ได้นั้น นางรสนาให้ข่าวไว้ว่า
“ดังนั้น สิ่งที่ประธานบอร์ดปตท. และ CEO ปตท.พูดนั้นจึงเป็นการให้ข้อมูลต่อสาธารณชนที่เป็นจริงแค่ทางทฤษฎีเท่านั้น แต่ไม่เคยปฏิบัติได้ในโลกความจริง ประชาชนคนไทยต้องแบกรับต้นทุนน้ำมันคุณภาพสูงแบบเสียเปล่า (Quality Give Away) เพื่อช่วยโรงกลั่นน้ำมันสามารถกีดกันน้ำมันราคาถูกเข้ามาแข่งกับตัวเอง และยังต้องช่วยทำประชานิยมอุดหนุนราคา (Cost Subsidy) ให้กับเพื่อนบ้านทั่วอาเซียนอีกด้วย” ผู้จัดการออนไลน์ 30 ก.ค.57
ข้อเท็จจริงง่ายๆ ก็คือค่าปรับปรุงน้ำมันให้เป็นมาตรฐานยูโร 4 นั้นมีเพียง 0.50 บาทต่อลิตร (ดูในสูตรคำนวณราคาหน้าโรงกลั่น ตอนที่(6)) ด้วยต้นทุนที่มีเพียงเท่านี้จะกีดกันมิให้นำเข้าได้อย่างไร จะปรับปรุงตั้งแต่ต้นทางหรือนำมาทำในประเทศก็ได้มิใช่หรือ
นางรสนาที่มี “ทุนทางสังคม” สูงจึงควรคิดสักนิดก่อนจะให้ข่าว กรณีทั้งสองข้างต้นเป็นข้อเท็จจริงที่ยืนยัน หากกระทำเช่นนี้ต่อไปอีกอาจทำให้สาธารณชนมองได้ว่าไม่คิดไม่รอบคอบขาดความรู้ความเข้าใจและมีอคติได้โดยง่าย
ประเด็นที่สองก็คือ สัมปทานปิโตรเลียม
ก่อนจะไปถึงวิวาทะในขณะนี้ว่าจะใช้ระบบสัมปทานหรือแบ่งปันผลผลิต คงจะต้องพิจารณาหลักการในเบื้องต้นเพื่อทำความเข้าใจเสียก่อน
แม้ว่าเอกชนจะเป็นเจ้าที่ดินที่มีทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมันหรือทองคำอยู่ แต่การนำมาใช้ประโยชน์แม้เอกชนเป็นเจ้าของก็ต้องขออนุญาตจากรัฐ เหตุก็เพราะการนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ของเอกชนอาจส่งผลกระทบต่อเอกชนอื่นๆ รวมถึงรัฐด้วยอันเป็นการใช้สิทธิเกินส่วนที่ตนเองมี
ในส่วนของที่ดินที่มิใช่เป็นของเอกชน แน่นอนว่าทรัพยากรต้องตกเป็นของรัฐ การให้สัมปทานนั้นย่อมหมายว่ารัฐเล็งเห็นผลประโยชน์ที่รัฐอันเป็นตัวแทนประชาชนควรจะได้จากการใช้ทรัพยากรดังกล่าวจึงอนุญาตมอบหมายให้เอกชนมาดำเนินการแทน ทรัพยากรที่ได้แม้จะตกเป็นของเอกชนผู้รับสัมปทานก็จริง แต่อย่าลืมว่ารัฐหรือประชาชนส่วนรวมก็จะได้ประโยชน์ร่วมไปด้วยหาไม่แล้วจะเอาขึ้นมาใช้ทำไม
ค่าสัมปทานที่รัฐได้รับหรือผลประโยชน์ที่เอกชนจะได้ไปจึงมิใช่ประเด็นหลักที่ควรจะคำนึงมากกว่าผลประโยชน์จากทรัพยากรที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับจากการได้ใช้ทรัพยากรเพราะรัฐอาจไม่มีวิทยาการหรือทุนทรัพย์ที่จะทำเอง
กลับมาในรายละอียด ความแตกต่างในเชิงหลักการระหว่างทั้งสองระบบนั้นไม่น่าจะมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่ว่าใครจะเป็นเจ้าของทรัพยากร แม้เอกชนผู้รับสัมปทานจะเป็นเจ้าของน้ำมันหรือก๊าซที่ขุดพบได้แต่รัฐก็จะได้ประโยชน์ไปด้วยจากการขุดพบปิโตรเลียมไม่ว่าจะขายให้ต่างประเทศหรือขายภายในประเทศมิใช่หรือ อีกทั้งหากเกิดศึกสงครามหรือมีการกักตุนรัฐก็มีอำนาจตามกฎหมายอยู่แล้วที่จะเข้ามาจัดการได้
ในอีกด้านหนึ่ง สุดขั้วของระบบแบ่งปันผลผลิตคือการว่าจ้างเอกชนมาขุดเจาะแทนรัฐ ทุกอย่างที่พบ (พบน้อยหรือไม่พบ) จะเป็นของรัฐทั้งหมด เอกชนได้แต่ค่าขุดไปแต่ความเสี่ยงเป็นของผู้ว่าจ้างซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการหากค้นพบซึ่งดูไปแล้วอาจจะยากและปวดหัวมากกว่าไม่พบเสียด้วยซ้ำ จะมีใครรับรองได้บ้างว่าข้าราชการไทยจะไม่ขายน้ำมันหรือก๊าซราคาถูกเกินจริงแบบ “ขายหมู” ในตลาดหุ้นไม่ว่าจะโดยจงใจหรือไร้ความสามารถ
หากคิดแต่เพียงว่าไม่ต้องขายใครเอาไว้ใช้เอง น้ำมันหรือก๊าซเป็นทรัพยากรของคนในชาติที่จะมีสิทธิใช้ในราคาถูก หากคิดได้แค่นี้ก็ผิดแล้ว
ในอดีตที่ผ่านมา คงต้องยอมรับว่ารัฐไทยไม่มีทั้งวิทยาการและกำลังทรัพย์ที่จะลงไปเสี่ยงหากไม่เจอ ระบบสัมปทานจึงเป็นทางเลือกที่ดีในขณะนั้น หากจะหันมาใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตเพราะคิดว่ามีกำลังทรัพย์ ไม่เสี่ยงเพราะเขาขุดเจอมามากแล้ว และที่สำคัญไม่อยากเห็นผู้รับสัมปทานได้กำไรมาก แต่คิดหรือไม่ว่าจะสามารถบริหารจัดการได้หรือไม่ อย่าลืมว่ากำไรนั้นคู่กับความเสี่ยง เก็บค่าเช่ากับขายเองต่างกันเยอะ
การวางเงื่อนไขให้เหมาะสมกับสภาพที่เป็นจริงต่างหากที่สำคัญมากกว่าระบบสัมปทานหรือแบ่งปันผลผลิต
ที่มา : มนูญ ศิริวรรณ
ข้อเสนอของนางรสนา
เก็บค่าเช่ากับขายเอง
ก่อนจะไปประเด็นที่สองเกี่ยวกับสัมปทานการขุดเจาะน้ำมัน มีประเด็นที่สืบเนื่องมาจากประเด็นเรื่อง ราคาพลังงานและกลไกราคา ที่อ้างโดยนางรสนาว่า(1) น้ำมันขายปลีกในประเทศที่แพงเป็นเพราะ ปตท.มีรายจ่ายค่าตอบแทนกรรมการสูงเกินควร และ (2) กลไกราคาทำงานไม่ได้กับราคาพลังงานโดยอ้างเรื่องมาตรฐานยูโร 4 เป็นการกีดกันที่มิใช่ราคา (Non-Tariff barrier)
เอาเรื่องแรกก่อน แม้ว่าค่าตอบแทนกรรมการของกิจการเครือ ปตท.จะสูง แต่ก็มิได้มีผลทำให้ราคาขายปลีกสูงตามแต่อย่างใด เหตุก็คือค่าการตลาดที่ปั๊มน้ำมันได้ไม่ว่าจะยี่ห้อ ปตท.หรือไม่นั้นต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับราคาขายปลีก ย้อนกลับไปดูในตารางที่แยกแยะราคาหน้าโรงกลั่นก่อนที่จะขายไปให้ปั๊มน้ำมันในตอนที่ (6) ก็ได้ว่าส่วนที่ทำให้ราคาหน้าโรงกลั่นก่อนถึงปั๊มน้ำมันแพงก็คือภาษี+เงินกองทุนที่รัฐบาลเก็บที่มีสัดส่วนสูงถึงกว่าร้อยละ 40 ของราคาหน้าโรงกลั่นหรือประมาณ 21 บาทเศษต่อลิตร
หากจะใช้ทฤษฎีสมคบคิดอ้างว่า ปตท.แอบบวกค่าตอบแทนไว้ในราคาน้ำมันที่ขายหน้าโรงกลั่น สิ่งที่รสนาอาจลืมคิดไปก็คือ ราคาขายปลีกจะแพงขึ้นและเมื่อสูงเกินกว่าราคาตลาดที่อ้างอิงราคาสิงคโปร์กลไกราคาก็จะทำให้มีจากนำเข้าแทนที่จะซื้อจากภายในประเทศ
ส่วนเรื่องของกลไกราคาที่รสนาคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันใช้ไม่ได้นั้น นางรสนาให้ข่าวไว้ว่า
“ดังนั้น สิ่งที่ประธานบอร์ดปตท. และ CEO ปตท.พูดนั้นจึงเป็นการให้ข้อมูลต่อสาธารณชนที่เป็นจริงแค่ทางทฤษฎีเท่านั้น แต่ไม่เคยปฏิบัติได้ในโลกความจริง ประชาชนคนไทยต้องแบกรับต้นทุนน้ำมันคุณภาพสูงแบบเสียเปล่า (Quality Give Away) เพื่อช่วยโรงกลั่นน้ำมันสามารถกีดกันน้ำมันราคาถูกเข้ามาแข่งกับตัวเอง และยังต้องช่วยทำประชานิยมอุดหนุนราคา (Cost Subsidy) ให้กับเพื่อนบ้านทั่วอาเซียนอีกด้วย” ผู้จัดการออนไลน์ 30 ก.ค.57
ข้อเท็จจริงง่ายๆ ก็คือค่าปรับปรุงน้ำมันให้เป็นมาตรฐานยูโร 4 นั้นมีเพียง 0.50 บาทต่อลิตร (ดูในสูตรคำนวณราคาหน้าโรงกลั่น ตอนที่(6)) ด้วยต้นทุนที่มีเพียงเท่านี้จะกีดกันมิให้นำเข้าได้อย่างไร จะปรับปรุงตั้งแต่ต้นทางหรือนำมาทำในประเทศก็ได้มิใช่หรือ
นางรสนาที่มี “ทุนทางสังคม” สูงจึงควรคิดสักนิดก่อนจะให้ข่าว กรณีทั้งสองข้างต้นเป็นข้อเท็จจริงที่ยืนยัน หากกระทำเช่นนี้ต่อไปอีกอาจทำให้สาธารณชนมองได้ว่าไม่คิดไม่รอบคอบขาดความรู้ความเข้าใจและมีอคติได้โดยง่าย
ประเด็นที่สองก็คือ สัมปทานปิโตรเลียม
ก่อนจะไปถึงวิวาทะในขณะนี้ว่าจะใช้ระบบสัมปทานหรือแบ่งปันผลผลิต คงจะต้องพิจารณาหลักการในเบื้องต้นเพื่อทำความเข้าใจเสียก่อน
แม้ว่าเอกชนจะเป็นเจ้าที่ดินที่มีทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมันหรือทองคำอยู่ แต่การนำมาใช้ประโยชน์แม้เอกชนเป็นเจ้าของก็ต้องขออนุญาตจากรัฐ เหตุก็เพราะการนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ของเอกชนอาจส่งผลกระทบต่อเอกชนอื่นๆ รวมถึงรัฐด้วยอันเป็นการใช้สิทธิเกินส่วนที่ตนเองมี
ในส่วนของที่ดินที่มิใช่เป็นของเอกชน แน่นอนว่าทรัพยากรต้องตกเป็นของรัฐ การให้สัมปทานนั้นย่อมหมายว่ารัฐเล็งเห็นผลประโยชน์ที่รัฐอันเป็นตัวแทนประชาชนควรจะได้จากการใช้ทรัพยากรดังกล่าวจึงอนุญาตมอบหมายให้เอกชนมาดำเนินการแทน ทรัพยากรที่ได้แม้จะตกเป็นของเอกชนผู้รับสัมปทานก็จริง แต่อย่าลืมว่ารัฐหรือประชาชนส่วนรวมก็จะได้ประโยชน์ร่วมไปด้วยหาไม่แล้วจะเอาขึ้นมาใช้ทำไม
ค่าสัมปทานที่รัฐได้รับหรือผลประโยชน์ที่เอกชนจะได้ไปจึงมิใช่ประเด็นหลักที่ควรจะคำนึงมากกว่าผลประโยชน์จากทรัพยากรที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับจากการได้ใช้ทรัพยากรเพราะรัฐอาจไม่มีวิทยาการหรือทุนทรัพย์ที่จะทำเอง
กลับมาในรายละอียด ความแตกต่างในเชิงหลักการระหว่างทั้งสองระบบนั้นไม่น่าจะมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่ว่าใครจะเป็นเจ้าของทรัพยากร แม้เอกชนผู้รับสัมปทานจะเป็นเจ้าของน้ำมันหรือก๊าซที่ขุดพบได้แต่รัฐก็จะได้ประโยชน์ไปด้วยจากการขุดพบปิโตรเลียมไม่ว่าจะขายให้ต่างประเทศหรือขายภายในประเทศมิใช่หรือ อีกทั้งหากเกิดศึกสงครามหรือมีการกักตุนรัฐก็มีอำนาจตามกฎหมายอยู่แล้วที่จะเข้ามาจัดการได้
ในอีกด้านหนึ่ง สุดขั้วของระบบแบ่งปันผลผลิตคือการว่าจ้างเอกชนมาขุดเจาะแทนรัฐ ทุกอย่างที่พบ (พบน้อยหรือไม่พบ) จะเป็นของรัฐทั้งหมด เอกชนได้แต่ค่าขุดไปแต่ความเสี่ยงเป็นของผู้ว่าจ้างซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการหากค้นพบซึ่งดูไปแล้วอาจจะยากและปวดหัวมากกว่าไม่พบเสียด้วยซ้ำ จะมีใครรับรองได้บ้างว่าข้าราชการไทยจะไม่ขายน้ำมันหรือก๊าซราคาถูกเกินจริงแบบ “ขายหมู” ในตลาดหุ้นไม่ว่าจะโดยจงใจหรือไร้ความสามารถ
หากคิดแต่เพียงว่าไม่ต้องขายใครเอาไว้ใช้เอง น้ำมันหรือก๊าซเป็นทรัพยากรของคนในชาติที่จะมีสิทธิใช้ในราคาถูก หากคิดได้แค่นี้ก็ผิดแล้ว
ในอดีตที่ผ่านมา คงต้องยอมรับว่ารัฐไทยไม่มีทั้งวิทยาการและกำลังทรัพย์ที่จะลงไปเสี่ยงหากไม่เจอ ระบบสัมปทานจึงเป็นทางเลือกที่ดีในขณะนั้น หากจะหันมาใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตเพราะคิดว่ามีกำลังทรัพย์ ไม่เสี่ยงเพราะเขาขุดเจอมามากแล้ว และที่สำคัญไม่อยากเห็นผู้รับสัมปทานได้กำไรมาก แต่คิดหรือไม่ว่าจะสามารถบริหารจัดการได้หรือไม่ อย่าลืมว่ากำไรนั้นคู่กับความเสี่ยง เก็บค่าเช่ากับขายเองต่างกันเยอะ
การวางเงื่อนไขให้เหมาะสมกับสภาพที่เป็นจริงต่างหากที่สำคัญมากกว่าระบบสัมปทานหรือแบ่งปันผลผลิต
ที่มา : มนูญ ศิริวรรณ
ข้อเสนอของนางรสนา