กล้องวงจรปิดจับภาพผู้ต้องสงสัยวางระเบิด 4 จุดในระแงะ ตร.เตรียมส่งภาพเปรียบเทียบแฟ้มประวัติกลุ่มก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ พร้อมรวบร่วมหลักฐานออกหมายจับ ขณะที่ทหารปัตตานีพบตลังแสงย่อยฝังใต้ดินในพื้นที่หนองจิก คาดเป็นของ 2 แกนนำ RKK "อุดมเดช" เผย หน.คสช.สั่งปรับโครงสร้างฝ่าย จนท.ดับไฟใต้ หวังงานกระชับ ระบุรอมฏอนปีนี้การก่อเหตุลดลง 20-30% เผย "โอไอซี" ชมสถานการณ์ไฟใต้พื้นที่ดีขึ้น
วานนี้ (21 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดในพื้นที่เขตเทศบาลตำบลตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา 4 จุดว่า ล่าสุดจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้บนเสาไฟฟ้าตามบริเวณแยกต่างๆ พ.ต.อ.จิระเดช พระสว่าง ผกก.สภ.ระแงะ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พบว่า กล้องวงจร 4 จุดสามารถบันทึกพฤติกรรมของคนร้ายได้จำนวน 2 คนใน 7 คนที่ร่วมก่อเหตุในครั้งนี้
โดยจุดแรกกล้องวงจรปิดที่บริเวณแยกทางไปตลาดสดเทศบาล สามารถบันทึกภาพคนร้ายที่กำลังขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีแดง ซึ่งสวมเสื้อสีขาว และใส่หมวกกันน็อกสีขาวคาดแดง เพื่อไปรอรับคนร้ายที่แฝงตัวเข้าไปลอบวางระเบิด โดยกล้องวงจรปิดได้ระบุเวลา 12.02 น.
จุดที่ 2 บริเวณ 3 แยกทางรถไฟที่คนร้ายทำหน้าที่ขี่รถจัดรยานยนต์ไปรับคนร้ายที่แฝงตัวเข้าไปลอบวางระเบิด ซึ่งคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายใส่หมวกแก๊ปสีดำ สวมเสื้อแขนยาวสีขาว โดยกล้องวงจรปิดระบุเวลา 12.04 น.
จุดที่ 3 บริเวณหัวโค้งเลี้ยวขวาทางไปโรงเรียนเขาพระ ที่คนร้ายใช้เป็นเส้นทางหลบหนี โดยกล้องวงจรปิดได้ระบุเวลา 12.07 น. และจุดที่ 4 บริเวณหัวโค้งบือแนกือเปาะ ที่คนร้ายใช้เป็นเส้นทางหลบหนีออกไปยัง อ.ยี่งอ ซึ่งปลอดจากการตั้งจุดตรวจจุดสกัดของเจ้าหน้าที 3 ฝ่าย โดยกล้องวงจรปิดระบุเวลา 12.09 น. ก่อนที่ระเบิดที่คนร้ายแฝงตัวไปวางไว้ตามจุดต่างๆ จะค่อยทยอยระเบิดขึ้นในเวลา 12.12 น.
พ.ต.อ.จิระเดช เปิดเผยว่า จากการสอบถามบุคคลที่อาศัยอยู่ในละแวกจุดเกิดเหตุต่างๆ ในเบื้องต้นทราบว่าคนร้ายที่ร่วมก่อเหตุในครั้งนี้มีไม่ต่ำกว่า 7 คน และจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพคนร้ายเอาไว้ได้ 2 คน จากนี้จะให้ผู้เชี่ยวชาญของกองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส นำภาพที่บันทึกได้จากกล้องวงจรปิดเข้าสู่กระบวนการจัดทำให้ภาพมีความชัดเจนและคมชัดเพื่อนำไปเปรียบเทียบกับบุคคลในแฟ้มคดีความมั่นคงว่าตรงกับผู้ใดควบคู่กับทยอยเรียกพยานที่เห็นเหตุการณ์มาให้ปากคำ
"คาดว่าคนร้ายกลุ่มนี้อต้องมีสมาชิกแนวร่วมในพื้นที่อำเภอระแงะ ร่วมก่อเหตุด้วยซึ่งเจ้าหน้าที่ขอเวลาทำงานอีกสักระยะ และน่าจะรู้ว่าคนร้ายเป็นใครบ้าง ก่อนที่จะทำการรวบรวมเพื่อขออนุมัติศาลจังหวัดนราธิวาสออกหมายจับต่อไป"
พบคลังแสงย่อยคาดเป็นของRKK
วันเดียวกัน ขณะที่ ส.ท.ไพประสิทธิ์ พับบำนาญ พร้อมพวก 12 นาย สังกัดร้อย ทพ.4306 กรมทหารพรานที่ 43 ได้ออกลาดตระเวนเดินเท้าตามแผนจรยุทธพิทักษ์ชายแดนใต้เพื่อกดดันกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบและแนวร่วมในพื้นที่บ้านไผ่มัน ม.3 ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี โดยขณะเดินลาดตระเวนบริเวณภายในป่าริมคลองชลประทานพบเนินดินมีร่องรอยผิดสังเกต จึงได้ทำการขุดเพื่อพิสูจน์ทราบปรากฏว่าพบท่อพลาสติกพีวีซีขนาดกว้าง 10 นิ้วถูกฝังไว้ จึงได้ประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้ามาตรวจสอบ โดยเจ้าหน้าที่ได้นำเชือกมาผูกไว้แล้วลากท่อดังกล่าวขึ้นมา ซึ่งมีความยาวประมาณ 120 ซม.เมื่อเปิดดูภายในพบอาวุธปืน อาก้า พร้อมแม็กกาซีนบรรจุกระสุนจำนวน 29 นัด อาวุธปืนลูกซองยาว และกระสุนเอ็ม 16 กว่า 40 นัด
โดยอาวุธปืนทั้ง 2 กระบอกอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน โดยอาวุธปืนอาก้ามีหมายเลขปืนกำกับไว้ซึ่งจะได้นำไปตรวจสอบว่าถูกขโมยมาจากหน่วยงานใด พร้อมกับนำของกลางทั้งหมดไปตรวจดีเอ็นเอ เพื่อขยายผลต่อไปว่าอาวุธปืนทั้ง 2 กระบอกเคยนำไปก่อเหตุใดมาบ้าง และจะสามารถรู้ว่าเป็นกลุ่มใดที่ใช้อาวุธปืนดังกล่าว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าอาวุธปืนน่าจะเป็นของกลุ่มนายยูโซ๊ะ และนายมะรูดิง แกนนำ RKK ในพื้นที่นำมาฝังไว้หลังจากก่อเหตุ และเตรียมนำออกไปก่อเหตุอีกครั้งในห้วงปลายเดือนนี้ ตามที่หน่วยข่าวได้แจ้งเตือนว่า กลุ่มก่อความไม่สงบจะสร้างสถานการณ์โดยการลอบยิงเจ้าหน้าที่และเป้าหมายที่ง่ายต่อการโจมตี
สั่งปรับโครงสร้างฝ่าย จนท.ดับไฟใต้
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผู้บัญชาการทหารบก และเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.กล่าวก่อนเข้าร่วมการประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหสัดชายแดนภาคใต้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.เป็นห่วงต่อสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้สั่งการให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าเข้าดูแล โดยยอมรับว่าแม้จะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด แต่ผู้ก่อความไม่สงบยังคงสามารถก่อเหตุได้ ซึ่งการก่อเหตุในช่วงเดือนรอมฎอน การข่าวประเมินว่ายังมีความพยามยามให้คนในพื้นที่เกิดความเข้าใจผิดในหลักศาสนา แต่จากการทำงานยังคงเชื่อว่าคนในพื้นที่ส่วนใหญ่มีความเข้าใจ และที่ผ่านมาก็ได้รับความร่วมมือจากผู้นำศาสนาเป็นอย่างดี โดยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับช่วงเดือนรอมฎอนปีที่แล้ว พบว่าสถานการณ์ดีขึ้น การก่อเหตุลดลงร้อยละ 20-30
พล.อ.อุดมเดช ยังเปิดเผยว่า หัวหน้า คสช.ได้มอบนโยบายปรับโครงสร้างในส่วนเจ้าหน้าที่ให้การทำงานกระชับมากขึ้น และจากนี้ไปจะมีการระชุมหน่วยงานด้านความมั่นคง 2 สัปดาห์ครั้งเพื่อให้นโยบายขับเคลื่อนได้เร็วขึ้น ส่วนกรณีสำนักจุฬาราชมาตรี ทำหนังสือถึง คสช.ขอให้อนุมัติวันที่ 26-28 ก.ค.ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดวันถือศีลอดหรือวันตรุษอีดิ้ลฟิตรี่ เป็นวันหยุดโดยไม่ถือว่าเป็นการขาดงานนั้นเนื่องจากชาวมุสลิมจะต้องไปปฎิบัติศาสนกิจทางศาสนาและฉลองวันออกศีลอดนั้น โดยปกติจะถือเป็นวันหยุดโดยไม่ขาดงานอยู่แล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นหนังสือ จึงขอตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง
เผยโอไอซีชมสถานการณ์พื้นที่ดีขึ้น
เวลา 15.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) แถลงภายหลังประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาตใต้ครั้งที่ 2 ที่มี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผบ.ทบ.เป็นประธานการประชุมว่า พล.อ.อุดมเดช ชี้แจงในที่ประชุมว่า ผบ.ทบ.และหัวหน้า คสช.ฝากให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณที่ค้างอยู่ในปี 2557 ซึ่งมีกลุ่มงบภารกิจการสร้างความเข้าใจทั้งในและนอกประเทศในเรื่องสิทธิมนุษยชน ที่มีกระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพ ซึ่งผลการเบิกจ่ายจนถึงปัจจุบันร้อยละ 53.72
ส่วนกลุ่มงานการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม มีกระทรวงศึกษาธิการเป็นเข้าภาพ ผลการเบิกจ่ายถึงปัจจุบัน ร้อยละ 52.78 กลุ่มงานพัฒนาศักยภาพของพื้นที่และคุณภาพของประชาชนที่กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ เบิกจ่ายถึงปัจจุบันร้อยละ 54.15
โดยทุกกระทรวงยืนยันว่าสามารถเบิกจ่ายได้ทันในไตรมาสที่ 4 โดยฝากย้ำแต่ละกลุ่มงานที่ได้มีการบูรณาการร่วมกันมาแล้ว อาทิ การปรับการติดตั้งกล้องซีซีทีวีของปี 57 ที่ได้ปรับให้ไปติดในพื้นที่เสี่ยง หรือการสร้างรั้วโรงเรียนที่ปรับให้สร้างในพื้นที่เสี่ยงเช่นกัน ส่วนโครงการส่งเสริมอาชีพ และส่งเสริมรายได้ ซึ่งขอให้มีการสนับสนุนโครงการพาคนกลับบ้าานของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าด้วย
อย่างไรก็ตาม ส่วนงบประมาณปี2557ที่หารือวันนี้เป็นงบในส่วนของการบูรณาการ ที่ไม่รวมงบตามพันธกิจของแต่ละกระทรวง ส่วนนี้จะต้องมาหารือในที่ประชุมครั้งต่อไป
ทั้งนี้ กอ.รมน.ได้สรุปสถานการณ์ด้านการข่าวใน 3 เดือนที่ผ่านมาให้ที่ประชุมรับทราบ ซึ่งเหตุการณ์ในพื้นที่เมื่อเทียบกับห้วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่ผ่านมาถือว่าเหตุการณ์ลดลง 55 เหตุการณ์ ซึ่ง พล.อ.อุดมเดช ได้ฝากถึงเรื่องการชี้แจงโดยให้ กอ.ร.มน.ภาค 4 ส่วนหน้า เชิญส่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องมาร่วมชี้แจงด้วย อาทิ เมื่อเกิดเหตุการณ์กับอาสาสม้ครให้เชิญกระทรวงมหาดไทยมาชี้แจง หรือถ้าจะต้องชี้แจงกับภาคประชาสังคมก็ให้เชิญผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศมาร่วมชี้แจง
พ.อ.บรรพต กล่าวว่า สำหรับวาระเพื่อทราบคือการนำเสนอผลการประชุมโอไอซีครั้งที่ 41 โดย สมาชิกโอไอซีได้แสดงความเข้าใจและชื่นชมจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่ามีพัฒนาการในเชิงบวกมากขึ้น ทั้งนี้ ตนได้รับเอกสารที่เป็นประกาศเกี่ยวกับนโยบายการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และคำสั่งเฉพาะอีก1ฉบับ โดยให้เปลี่ยนชื่อคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นคณะกรรมการซึ่งจะมีการชี้แจงหน้าที่และภารกิจได้ชัดเจนมากขึ้น
วานนี้ (21 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดในพื้นที่เขตเทศบาลตำบลตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา 4 จุดว่า ล่าสุดจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้บนเสาไฟฟ้าตามบริเวณแยกต่างๆ พ.ต.อ.จิระเดช พระสว่าง ผกก.สภ.ระแงะ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พบว่า กล้องวงจร 4 จุดสามารถบันทึกพฤติกรรมของคนร้ายได้จำนวน 2 คนใน 7 คนที่ร่วมก่อเหตุในครั้งนี้
โดยจุดแรกกล้องวงจรปิดที่บริเวณแยกทางไปตลาดสดเทศบาล สามารถบันทึกภาพคนร้ายที่กำลังขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีแดง ซึ่งสวมเสื้อสีขาว และใส่หมวกกันน็อกสีขาวคาดแดง เพื่อไปรอรับคนร้ายที่แฝงตัวเข้าไปลอบวางระเบิด โดยกล้องวงจรปิดได้ระบุเวลา 12.02 น.
จุดที่ 2 บริเวณ 3 แยกทางรถไฟที่คนร้ายทำหน้าที่ขี่รถจัดรยานยนต์ไปรับคนร้ายที่แฝงตัวเข้าไปลอบวางระเบิด ซึ่งคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายใส่หมวกแก๊ปสีดำ สวมเสื้อแขนยาวสีขาว โดยกล้องวงจรปิดระบุเวลา 12.04 น.
จุดที่ 3 บริเวณหัวโค้งเลี้ยวขวาทางไปโรงเรียนเขาพระ ที่คนร้ายใช้เป็นเส้นทางหลบหนี โดยกล้องวงจรปิดได้ระบุเวลา 12.07 น. และจุดที่ 4 บริเวณหัวโค้งบือแนกือเปาะ ที่คนร้ายใช้เป็นเส้นทางหลบหนีออกไปยัง อ.ยี่งอ ซึ่งปลอดจากการตั้งจุดตรวจจุดสกัดของเจ้าหน้าที 3 ฝ่าย โดยกล้องวงจรปิดระบุเวลา 12.09 น. ก่อนที่ระเบิดที่คนร้ายแฝงตัวไปวางไว้ตามจุดต่างๆ จะค่อยทยอยระเบิดขึ้นในเวลา 12.12 น.
พ.ต.อ.จิระเดช เปิดเผยว่า จากการสอบถามบุคคลที่อาศัยอยู่ในละแวกจุดเกิดเหตุต่างๆ ในเบื้องต้นทราบว่าคนร้ายที่ร่วมก่อเหตุในครั้งนี้มีไม่ต่ำกว่า 7 คน และจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพคนร้ายเอาไว้ได้ 2 คน จากนี้จะให้ผู้เชี่ยวชาญของกองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส นำภาพที่บันทึกได้จากกล้องวงจรปิดเข้าสู่กระบวนการจัดทำให้ภาพมีความชัดเจนและคมชัดเพื่อนำไปเปรียบเทียบกับบุคคลในแฟ้มคดีความมั่นคงว่าตรงกับผู้ใดควบคู่กับทยอยเรียกพยานที่เห็นเหตุการณ์มาให้ปากคำ
"คาดว่าคนร้ายกลุ่มนี้อต้องมีสมาชิกแนวร่วมในพื้นที่อำเภอระแงะ ร่วมก่อเหตุด้วยซึ่งเจ้าหน้าที่ขอเวลาทำงานอีกสักระยะ และน่าจะรู้ว่าคนร้ายเป็นใครบ้าง ก่อนที่จะทำการรวบรวมเพื่อขออนุมัติศาลจังหวัดนราธิวาสออกหมายจับต่อไป"
พบคลังแสงย่อยคาดเป็นของRKK
วันเดียวกัน ขณะที่ ส.ท.ไพประสิทธิ์ พับบำนาญ พร้อมพวก 12 นาย สังกัดร้อย ทพ.4306 กรมทหารพรานที่ 43 ได้ออกลาดตระเวนเดินเท้าตามแผนจรยุทธพิทักษ์ชายแดนใต้เพื่อกดดันกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบและแนวร่วมในพื้นที่บ้านไผ่มัน ม.3 ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี โดยขณะเดินลาดตระเวนบริเวณภายในป่าริมคลองชลประทานพบเนินดินมีร่องรอยผิดสังเกต จึงได้ทำการขุดเพื่อพิสูจน์ทราบปรากฏว่าพบท่อพลาสติกพีวีซีขนาดกว้าง 10 นิ้วถูกฝังไว้ จึงได้ประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้ามาตรวจสอบ โดยเจ้าหน้าที่ได้นำเชือกมาผูกไว้แล้วลากท่อดังกล่าวขึ้นมา ซึ่งมีความยาวประมาณ 120 ซม.เมื่อเปิดดูภายในพบอาวุธปืน อาก้า พร้อมแม็กกาซีนบรรจุกระสุนจำนวน 29 นัด อาวุธปืนลูกซองยาว และกระสุนเอ็ม 16 กว่า 40 นัด
โดยอาวุธปืนทั้ง 2 กระบอกอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน โดยอาวุธปืนอาก้ามีหมายเลขปืนกำกับไว้ซึ่งจะได้นำไปตรวจสอบว่าถูกขโมยมาจากหน่วยงานใด พร้อมกับนำของกลางทั้งหมดไปตรวจดีเอ็นเอ เพื่อขยายผลต่อไปว่าอาวุธปืนทั้ง 2 กระบอกเคยนำไปก่อเหตุใดมาบ้าง และจะสามารถรู้ว่าเป็นกลุ่มใดที่ใช้อาวุธปืนดังกล่าว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าอาวุธปืนน่าจะเป็นของกลุ่มนายยูโซ๊ะ และนายมะรูดิง แกนนำ RKK ในพื้นที่นำมาฝังไว้หลังจากก่อเหตุ และเตรียมนำออกไปก่อเหตุอีกครั้งในห้วงปลายเดือนนี้ ตามที่หน่วยข่าวได้แจ้งเตือนว่า กลุ่มก่อความไม่สงบจะสร้างสถานการณ์โดยการลอบยิงเจ้าหน้าที่และเป้าหมายที่ง่ายต่อการโจมตี
สั่งปรับโครงสร้างฝ่าย จนท.ดับไฟใต้
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผู้บัญชาการทหารบก และเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.กล่าวก่อนเข้าร่วมการประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหสัดชายแดนภาคใต้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.เป็นห่วงต่อสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้สั่งการให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าเข้าดูแล โดยยอมรับว่าแม้จะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด แต่ผู้ก่อความไม่สงบยังคงสามารถก่อเหตุได้ ซึ่งการก่อเหตุในช่วงเดือนรอมฎอน การข่าวประเมินว่ายังมีความพยามยามให้คนในพื้นที่เกิดความเข้าใจผิดในหลักศาสนา แต่จากการทำงานยังคงเชื่อว่าคนในพื้นที่ส่วนใหญ่มีความเข้าใจ และที่ผ่านมาก็ได้รับความร่วมมือจากผู้นำศาสนาเป็นอย่างดี โดยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับช่วงเดือนรอมฎอนปีที่แล้ว พบว่าสถานการณ์ดีขึ้น การก่อเหตุลดลงร้อยละ 20-30
พล.อ.อุดมเดช ยังเปิดเผยว่า หัวหน้า คสช.ได้มอบนโยบายปรับโครงสร้างในส่วนเจ้าหน้าที่ให้การทำงานกระชับมากขึ้น และจากนี้ไปจะมีการระชุมหน่วยงานด้านความมั่นคง 2 สัปดาห์ครั้งเพื่อให้นโยบายขับเคลื่อนได้เร็วขึ้น ส่วนกรณีสำนักจุฬาราชมาตรี ทำหนังสือถึง คสช.ขอให้อนุมัติวันที่ 26-28 ก.ค.ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดวันถือศีลอดหรือวันตรุษอีดิ้ลฟิตรี่ เป็นวันหยุดโดยไม่ถือว่าเป็นการขาดงานนั้นเนื่องจากชาวมุสลิมจะต้องไปปฎิบัติศาสนกิจทางศาสนาและฉลองวันออกศีลอดนั้น โดยปกติจะถือเป็นวันหยุดโดยไม่ขาดงานอยู่แล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นหนังสือ จึงขอตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง
เผยโอไอซีชมสถานการณ์พื้นที่ดีขึ้น
เวลา 15.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) แถลงภายหลังประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาตใต้ครั้งที่ 2 ที่มี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผบ.ทบ.เป็นประธานการประชุมว่า พล.อ.อุดมเดช ชี้แจงในที่ประชุมว่า ผบ.ทบ.และหัวหน้า คสช.ฝากให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณที่ค้างอยู่ในปี 2557 ซึ่งมีกลุ่มงบภารกิจการสร้างความเข้าใจทั้งในและนอกประเทศในเรื่องสิทธิมนุษยชน ที่มีกระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพ ซึ่งผลการเบิกจ่ายจนถึงปัจจุบันร้อยละ 53.72
ส่วนกลุ่มงานการศึกษา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม มีกระทรวงศึกษาธิการเป็นเข้าภาพ ผลการเบิกจ่ายถึงปัจจุบัน ร้อยละ 52.78 กลุ่มงานพัฒนาศักยภาพของพื้นที่และคุณภาพของประชาชนที่กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ เบิกจ่ายถึงปัจจุบันร้อยละ 54.15
โดยทุกกระทรวงยืนยันว่าสามารถเบิกจ่ายได้ทันในไตรมาสที่ 4 โดยฝากย้ำแต่ละกลุ่มงานที่ได้มีการบูรณาการร่วมกันมาแล้ว อาทิ การปรับการติดตั้งกล้องซีซีทีวีของปี 57 ที่ได้ปรับให้ไปติดในพื้นที่เสี่ยง หรือการสร้างรั้วโรงเรียนที่ปรับให้สร้างในพื้นที่เสี่ยงเช่นกัน ส่วนโครงการส่งเสริมอาชีพ และส่งเสริมรายได้ ซึ่งขอให้มีการสนับสนุนโครงการพาคนกลับบ้าานของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าด้วย
อย่างไรก็ตาม ส่วนงบประมาณปี2557ที่หารือวันนี้เป็นงบในส่วนของการบูรณาการ ที่ไม่รวมงบตามพันธกิจของแต่ละกระทรวง ส่วนนี้จะต้องมาหารือในที่ประชุมครั้งต่อไป
ทั้งนี้ กอ.รมน.ได้สรุปสถานการณ์ด้านการข่าวใน 3 เดือนที่ผ่านมาให้ที่ประชุมรับทราบ ซึ่งเหตุการณ์ในพื้นที่เมื่อเทียบกับห้วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่ผ่านมาถือว่าเหตุการณ์ลดลง 55 เหตุการณ์ ซึ่ง พล.อ.อุดมเดช ได้ฝากถึงเรื่องการชี้แจงโดยให้ กอ.ร.มน.ภาค 4 ส่วนหน้า เชิญส่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องมาร่วมชี้แจงด้วย อาทิ เมื่อเกิดเหตุการณ์กับอาสาสม้ครให้เชิญกระทรวงมหาดไทยมาชี้แจง หรือถ้าจะต้องชี้แจงกับภาคประชาสังคมก็ให้เชิญผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศมาร่วมชี้แจง
พ.อ.บรรพต กล่าวว่า สำหรับวาระเพื่อทราบคือการนำเสนอผลการประชุมโอไอซีครั้งที่ 41 โดย สมาชิกโอไอซีได้แสดงความเข้าใจและชื่นชมจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่ามีพัฒนาการในเชิงบวกมากขึ้น ทั้งนี้ ตนได้รับเอกสารที่เป็นประกาศเกี่ยวกับนโยบายการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และคำสั่งเฉพาะอีก1ฉบับ โดยให้เปลี่ยนชื่อคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นคณะกรรมการซึ่งจะมีการชี้แจงหน้าที่และภารกิจได้ชัดเจนมากขึ้น