**การประกาศโรดแมปของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน ที่ผ่านมา ที่ออกมาในลักษณะกำหนดวัน เวลา และจุดสิ้นสุดที่ชัดเจนขึ้น ถือว่าทางหนึ่งเป็นการลดความกดดันที่เริ่มบีบรัดเข้ามา ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ เพราะถือว่าตอลดระยะเวลา 37 วัน ที่เข้าควบคุมอำนาจในแบบรัฏฐาธิปัตย์ มาอยู่ในมือของคนเพียงคนเดียว คือ พล.อ.ประยุทธ์ นั่นแหละ แม้ว่ามีความจำเป็นตามสถานการณ์ แต่ในทางสากลนั้น ถือว่าไม่ได้รับการยอมรับ
ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จึงต้องมีการประกาศยืนยันออกไปให้สังคมได้เห็นเป็นปฏิทินว่า นับจากนี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะทำเรื่องใดบ้างตามลำดับเร่งด่วน ก่อนหลัง โดยเฉพาะแผนโรดแมปตามที่เคยประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้เป้าหมายสำคัญก็คือ เพื่อลดแรงกดดันและรักษาความเชื่อมั่นศรัทธาให้คงอยู่เอาไว้ให้นานที่สุด
หากพิจารณาจากปัจจัยภายนอกก่อนก็ต้องบอกว่า เวลานี้นานาชาติโดยเฉพาะชาติวันตก ทั้งสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป (อียู) กำลังต้องการเห็นความชัดเจนของ คสช. ว่ามีขั้นตอนและวิธีการเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งโดยสมบูรณ์ได้เมื่อไหร่ แม้ว่าแรงกดดันดังกล่าวมีเบื้องหลังในเรื่องผลประโยชน์แอบแฝงปะปนเข้ามาเป็นเรื่องหลักก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่านั่นเป็นแรงกดดันที่ทรงพลังไม่น้อย ตราบใดก็ตามที่เรายังไม่ต้องการอยู่อย่างโดดเดี่ยว ต้องการสร้างความสัมพันธ์กับสังคมโลก ยังต้องการส่งออกเพื่อสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ เราก็ต้องอธิบายความชัดเจนออกมา
ขณะที่แรงกดดันภายในประเทศ แม้ว่านาทีนี้อาจยังไม่ถึงขั้นน่าเป็นห่วง เพราะในระยะเพียงแค่เดือนเศษ ยังอยู่ในช่วงให้โอกาสเป็นช่วงฮันนีมูน ยังรอดูกันไปอีกสักพักก่อน แต่ถึงอย่างไรเมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไปแล้ว เข้าสู่ช่วงเดือนที่สองและสาม ถึงตอนนั้นจะเริ่มแรงกดดัน เสียงเรียกร้องจะเริ่มเข้ามาจากทุกทิศทาง เป็นการพิสูจน์ของจริงกันแล้ว
อย่างไรก็ดี แม้ว่ายังเป็นช่วงเวลาจำกัดแค่เดือนเศษ ยังไม่อาจเห็นหน้าเห็นหลัง ยังวิจารณ์อะไรได้ไม่เต็มปาก แต่จากความเคลื่อนไหว การแต่งตั้งหลายตำแหน่งที่ผ่านมา ก็ทำให้เห็นร่องรอยอะไรบางอย่างกันบ้างแล้ว ทำให้เริ่มมีการคาดเดาแล้วว่า เป้าหมายในการปฏิรูปจะทำได้สำเร็จตามเป้าหมายได้เต็มร้อยหรือไม่
หากพิจารณาจากปฏิทินปฏิรูปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศออกมา เริ่มจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวภายในเดือน กรกฎคม จากนั้นในเดือนกันยายน ก็จะมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และมีรัฐบาลขึ้นมาบริหารประเทศ และต่อมาก็จะมีสภาปฏิรูปแห่งชาติขึ้นมา คาดว่าจะมีการสรรหา คัดเลือกสมาชิกสภาปฏิรูปฯ จนสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ภายในเดือนตุลาคม จากนั้นก็เริ่มมีการระดมความคิดเห็นเพื่อเสนอแนะต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ซึ่งกระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 12 เดือน
**จนกระทั่งมาถึงขั้นตอนที่สาม ก็คือ หลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรแล้ว ก็จะนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไป เพื่อมีรัฐบาลใหม่ ซึ่งขั้นตอนนี้ จะใช้เวลาประมาณไม่เกินสามเดือน รวมทั้งหมดตั้งแต่เริ่มประกาศใช้ธรรมนูญการปกครอง หรือรัฐธรรมนูญชั่วคราว จนถึงวันที่มีรัฐบาลใหม่ที่ผ่านการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และการปฏิรูปทุกภาคส่วนเสร็จสิ้นใช้เวลารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 15 เดือน นั่นคือ ต้องเสร็จสิ้นภายในปี 58
แม้ว่ามีการยืนยัน ทั้งวัน เวลา มีความชัดเจน ไม่ได้บิดพลิ้วผิดเพี้ยนไปจากคำพูดเดิมก่อนหน้านี้ แต่ปัญหาก็คือ ต้องเผชิญกับ "ความยาก" เป็นการเข้าสู่โหมดพิสูจน์ฝีมือ และความตั้งใจกันเสียที งานนี้จะ "ตามน้ำ" ไม่ได้แล้ว เริ่มตั้งแต่การประกาศใช้ธรรมนูญการปกครอง ว่าจะมีการมอบอำนาจให้กับผู้นำล้นฟ้าแค่ไหน จะคงสภาพของ หัวหน้าคสช. ควบคุมตำแหน่งนายกฯหรือไม่ ขณะเดียวกันก็มีคำถามก็คือ ในช่วงเดือนกันยายนถึงสิงหาคม ที่จะมีรัฐบาล มีสมาชิกสภานิติบัญญัติ จะเกี่ยวโยงกับเรื่องการเกษียณอายุราชการหรือไม่ ซึ่งถึงเวลานั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และผู้นำเหล่าทัพที่เป็นรองหัวหน้า คสช. รวมไปถึงนายทหารคนสำคัญหลายคนในกองทัพ ที่จะต้องเกษียณอายุราชการ จะเข้ามานั่งในองค์กรดังกล่าวด้วยหรือไม่
เริ่มจากการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ว่าจะเป็นใคร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะนั่งเก้าอี้ตัวนี้หรือไม่ หรือว่าจะควบกับตำแหน่งหัวหน้า คสช. ด้วยหรือไม่ ขณะเดียวกันก็มีคำถามตามมาอีกว่าหน้าตาของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และสมาชิกนิติบัญญัติแห่งชาติจะเชื่อถือได้แค่ไหน จะมาแบบ "สมบัติผลัดกันชม" จะมีแต่สาย "บูรพาพยัคฆ์" คนกันเองหรือไม่
นับจากนี้ของจริงของปลอม จะปิดกันไม่มิดแล้ว เสียงวิพากษ์วิจารณ์จะดังมากขึ้น ทุกอย่างจะไปตามสภาพความเป็นจริง ต่อให้บังคับ ปิดปากกันอย่างไรก็เอาไม่อยู่
**หนทางที่สามารถปกป้องเป็นยันต์กันภัยได้ดีที่สุดก็คือ ผลงานที่ออกมา เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ เป็นการปฏิรูปทุกภาคส่วนอย่างแท้จริงตามที่สัญญาไว้เท่านั้น หากตุกติก หรือบิดพลิ้ว หมกเม็ด ก็โดนแน่ ซึ่งจะพิสูจน์กันเข้มข้นตั้งแต่ขั้นที่สองนี่แหละ !!
ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จึงต้องมีการประกาศยืนยันออกไปให้สังคมได้เห็นเป็นปฏิทินว่า นับจากนี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะทำเรื่องใดบ้างตามลำดับเร่งด่วน ก่อนหลัง โดยเฉพาะแผนโรดแมปตามที่เคยประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้เป้าหมายสำคัญก็คือ เพื่อลดแรงกดดันและรักษาความเชื่อมั่นศรัทธาให้คงอยู่เอาไว้ให้นานที่สุด
หากพิจารณาจากปัจจัยภายนอกก่อนก็ต้องบอกว่า เวลานี้นานาชาติโดยเฉพาะชาติวันตก ทั้งสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป (อียู) กำลังต้องการเห็นความชัดเจนของ คสช. ว่ามีขั้นตอนและวิธีการเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งโดยสมบูรณ์ได้เมื่อไหร่ แม้ว่าแรงกดดันดังกล่าวมีเบื้องหลังในเรื่องผลประโยชน์แอบแฝงปะปนเข้ามาเป็นเรื่องหลักก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่านั่นเป็นแรงกดดันที่ทรงพลังไม่น้อย ตราบใดก็ตามที่เรายังไม่ต้องการอยู่อย่างโดดเดี่ยว ต้องการสร้างความสัมพันธ์กับสังคมโลก ยังต้องการส่งออกเพื่อสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ เราก็ต้องอธิบายความชัดเจนออกมา
ขณะที่แรงกดดันภายในประเทศ แม้ว่านาทีนี้อาจยังไม่ถึงขั้นน่าเป็นห่วง เพราะในระยะเพียงแค่เดือนเศษ ยังอยู่ในช่วงให้โอกาสเป็นช่วงฮันนีมูน ยังรอดูกันไปอีกสักพักก่อน แต่ถึงอย่างไรเมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไปแล้ว เข้าสู่ช่วงเดือนที่สองและสาม ถึงตอนนั้นจะเริ่มแรงกดดัน เสียงเรียกร้องจะเริ่มเข้ามาจากทุกทิศทาง เป็นการพิสูจน์ของจริงกันแล้ว
อย่างไรก็ดี แม้ว่ายังเป็นช่วงเวลาจำกัดแค่เดือนเศษ ยังไม่อาจเห็นหน้าเห็นหลัง ยังวิจารณ์อะไรได้ไม่เต็มปาก แต่จากความเคลื่อนไหว การแต่งตั้งหลายตำแหน่งที่ผ่านมา ก็ทำให้เห็นร่องรอยอะไรบางอย่างกันบ้างแล้ว ทำให้เริ่มมีการคาดเดาแล้วว่า เป้าหมายในการปฏิรูปจะทำได้สำเร็จตามเป้าหมายได้เต็มร้อยหรือไม่
หากพิจารณาจากปฏิทินปฏิรูปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศออกมา เริ่มจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวภายในเดือน กรกฎคม จากนั้นในเดือนกันยายน ก็จะมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และมีรัฐบาลขึ้นมาบริหารประเทศ และต่อมาก็จะมีสภาปฏิรูปแห่งชาติขึ้นมา คาดว่าจะมีการสรรหา คัดเลือกสมาชิกสภาปฏิรูปฯ จนสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ภายในเดือนตุลาคม จากนั้นก็เริ่มมีการระดมความคิดเห็นเพื่อเสนอแนะต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ซึ่งกระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 12 เดือน
**จนกระทั่งมาถึงขั้นตอนที่สาม ก็คือ หลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรแล้ว ก็จะนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไป เพื่อมีรัฐบาลใหม่ ซึ่งขั้นตอนนี้ จะใช้เวลาประมาณไม่เกินสามเดือน รวมทั้งหมดตั้งแต่เริ่มประกาศใช้ธรรมนูญการปกครอง หรือรัฐธรรมนูญชั่วคราว จนถึงวันที่มีรัฐบาลใหม่ที่ผ่านการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และการปฏิรูปทุกภาคส่วนเสร็จสิ้นใช้เวลารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 15 เดือน นั่นคือ ต้องเสร็จสิ้นภายในปี 58
แม้ว่ามีการยืนยัน ทั้งวัน เวลา มีความชัดเจน ไม่ได้บิดพลิ้วผิดเพี้ยนไปจากคำพูดเดิมก่อนหน้านี้ แต่ปัญหาก็คือ ต้องเผชิญกับ "ความยาก" เป็นการเข้าสู่โหมดพิสูจน์ฝีมือ และความตั้งใจกันเสียที งานนี้จะ "ตามน้ำ" ไม่ได้แล้ว เริ่มตั้งแต่การประกาศใช้ธรรมนูญการปกครอง ว่าจะมีการมอบอำนาจให้กับผู้นำล้นฟ้าแค่ไหน จะคงสภาพของ หัวหน้าคสช. ควบคุมตำแหน่งนายกฯหรือไม่ ขณะเดียวกันก็มีคำถามก็คือ ในช่วงเดือนกันยายนถึงสิงหาคม ที่จะมีรัฐบาล มีสมาชิกสภานิติบัญญัติ จะเกี่ยวโยงกับเรื่องการเกษียณอายุราชการหรือไม่ ซึ่งถึงเวลานั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และผู้นำเหล่าทัพที่เป็นรองหัวหน้า คสช. รวมไปถึงนายทหารคนสำคัญหลายคนในกองทัพ ที่จะต้องเกษียณอายุราชการ จะเข้ามานั่งในองค์กรดังกล่าวด้วยหรือไม่
เริ่มจากการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ว่าจะเป็นใคร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะนั่งเก้าอี้ตัวนี้หรือไม่ หรือว่าจะควบกับตำแหน่งหัวหน้า คสช. ด้วยหรือไม่ ขณะเดียวกันก็มีคำถามตามมาอีกว่าหน้าตาของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และสมาชิกนิติบัญญัติแห่งชาติจะเชื่อถือได้แค่ไหน จะมาแบบ "สมบัติผลัดกันชม" จะมีแต่สาย "บูรพาพยัคฆ์" คนกันเองหรือไม่
นับจากนี้ของจริงของปลอม จะปิดกันไม่มิดแล้ว เสียงวิพากษ์วิจารณ์จะดังมากขึ้น ทุกอย่างจะไปตามสภาพความเป็นจริง ต่อให้บังคับ ปิดปากกันอย่างไรก็เอาไม่อยู่
**หนทางที่สามารถปกป้องเป็นยันต์กันภัยได้ดีที่สุดก็คือ ผลงานที่ออกมา เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ เป็นการปฏิรูปทุกภาคส่วนอย่างแท้จริงตามที่สัญญาไว้เท่านั้น หากตุกติก หรือบิดพลิ้ว หมกเม็ด ก็โดนแน่ ซึ่งจะพิสูจน์กันเข้มข้นตั้งแต่ขั้นที่สองนี่แหละ !!