ASTVผู้จัดการรายวัน - สรรพสามิตเชื่อปรับขึ้นภาษีน้ำมันดีเซลแน่ระหว่าง1บาทหรืออาจทยอยปรับถึง 3 บาทเพื่อให้เป็นไปตามกลไกลตลาด ดึงกองทุนน้ำมันดูแลราคาให้สมดุล พร้อมขอเงินคงคลังอีก 8.6 พันล้านจ่ายคืนรถยนต์คันแรกถึงก.ย.นี้
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวถึงทิศทางราคาน้ำมันในประเทศไทยว่าสุดท้ายคงจะต้องมีการปรับขึ้นตามกลไกลตลาด โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลที่ภาครัฐลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันมานานกว่า 3 ปี เนื่องจากทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มองว่าจะปรับโครงสร้างราคาพลังงานในประเทศให้เหมาะสม และจะไม่เน้นลดภาษีหรือใช้นโยบายประชานิยมตลอดไป โดยต้องใช้กลไกลของกองทุนน้ำมันมาดูแลให้เกิดความสมดุลด้านราคาด้วย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าในปีงบประมาณ 2558 ที่อยู่ระหว่างจัดทำอยู่นั้นส่วนของรายได้ที่มาจากกรมสรรพสามิตที่ตั้งไว้ 4.2 แสนล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่คาดว่าจะเก็บได้จริงอยู่ในระดับ 3.9 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเพียง 5% ซึ่งเป็นประมาณการรายได้ที่ยังไม่ได้มีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันแต่อย่างใด ซึ่งล่าสุดทางคสช.ได้มติเห็นชอบให้คงมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลต่อไปอีก 1 เดือน ไปจนถึงวันที่ 31 ก.ค.นี้ โดยจะเป็นการต่ออายุมาตรการเดือนต่อเดือนเพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนนโยบายได้ทันท่วงที ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงหลังเดือนก.ย.นี้
“สุดท้ายเชื่อว่าเร็วๆ นี้คงมีการปรับขึ้นภาษีน้ำมันดีเซลหลังจากที่ภาครัฐอุ้มและทำให้โครงสร้างราคาบิดเบือนมานาน ทำให้มีราคาต่างจากเบนซินถึง 7บาทต่อลิตร ซึ่งหากมีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตดีเซลทุก 1 บาทจะทำให้ภาครัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น 2 หมื่นล้านบาท โดยเห็นว่าในเวทีการหารือเรื่องพลังงานมีความเห็น 2 ฝ่ายคือให้ปรับขึ้นเพียง 1 บาทและอีกฝ่ายเสนอให้ปรับขึ้น 1-3 บาท ซึ่งเรื่องนี้คงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคสช.ทางกรมสรรพสามิตพร้อมปฎิบัติตาม”นายสมชายกล่าวและว่า ในภาวะขณะนี้ภาครัฐเองก็จะเป็นต้องหารายได้เข้ามาใช้ในการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นจึงน่าจะเป็นจังหวะที่ดี”
นายสมชายยังกล่าวถึงการขอเงินงบประมาณเพิ่มเติมในการจ่ายคืนในโครงการรถยนต์คันแรกว่าล่าสุดทางกรมบัญชีกลางได้เสนอให้ใช้เงินคงคลังจำนวน 8,600 ล้านบาทเพื่อจ่ายคืนให้ผู้ที่ถือครองรถยนต์ครบ 1 ปีภายในสิ้นปีงบประมาณ 2557 หรือเดือนก.ย.นี้ในส่วนที่ยังเหลือและตั้งงบประมาณไว้ไม่เพียงพอ เนื่องจากขณะนี้เงินที่จะจ่ายในงวดวันที่ 9 ก.ค.นี้หมดไปแล้วโดยคาดว่าจะได้รับเงินและจ่ายเข้าบัญชีของผู้ได้รับสิทธิได้ทันตามกำหนด ส่วนของปีงบ2558 นั้นน่าจะใช้วงเงินน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม 1.5 หมื่นล้านเพราะจนถึงขณะนี้ผู้ที่ถือใบจอง 1.2 แสนรายก็เข้ามารับรถไปเพียงหลักไม่กี่ร้อยรายเท่านั้น คาดว่าภายในสิ้นเดือนก.ย.นี้ที่ขอความร่วมมือให้มาใช้สิทธ์เพื่อจะได้สรุปตัวเลขรถยนต์ที่เข้าโครงการหรือปิดโครงการได้นั้นน่าจะมีการรับรถไม่เกินพันรายเท่านั้น
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวถึงทิศทางราคาน้ำมันในประเทศไทยว่าสุดท้ายคงจะต้องมีการปรับขึ้นตามกลไกลตลาด โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลที่ภาครัฐลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันมานานกว่า 3 ปี เนื่องจากทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มองว่าจะปรับโครงสร้างราคาพลังงานในประเทศให้เหมาะสม และจะไม่เน้นลดภาษีหรือใช้นโยบายประชานิยมตลอดไป โดยต้องใช้กลไกลของกองทุนน้ำมันมาดูแลให้เกิดความสมดุลด้านราคาด้วย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าในปีงบประมาณ 2558 ที่อยู่ระหว่างจัดทำอยู่นั้นส่วนของรายได้ที่มาจากกรมสรรพสามิตที่ตั้งไว้ 4.2 แสนล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่คาดว่าจะเก็บได้จริงอยู่ในระดับ 3.9 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเพียง 5% ซึ่งเป็นประมาณการรายได้ที่ยังไม่ได้มีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันแต่อย่างใด ซึ่งล่าสุดทางคสช.ได้มติเห็นชอบให้คงมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลต่อไปอีก 1 เดือน ไปจนถึงวันที่ 31 ก.ค.นี้ โดยจะเป็นการต่ออายุมาตรการเดือนต่อเดือนเพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนนโยบายได้ทันท่วงที ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงหลังเดือนก.ย.นี้
“สุดท้ายเชื่อว่าเร็วๆ นี้คงมีการปรับขึ้นภาษีน้ำมันดีเซลหลังจากที่ภาครัฐอุ้มและทำให้โครงสร้างราคาบิดเบือนมานาน ทำให้มีราคาต่างจากเบนซินถึง 7บาทต่อลิตร ซึ่งหากมีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตดีเซลทุก 1 บาทจะทำให้ภาครัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น 2 หมื่นล้านบาท โดยเห็นว่าในเวทีการหารือเรื่องพลังงานมีความเห็น 2 ฝ่ายคือให้ปรับขึ้นเพียง 1 บาทและอีกฝ่ายเสนอให้ปรับขึ้น 1-3 บาท ซึ่งเรื่องนี้คงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคสช.ทางกรมสรรพสามิตพร้อมปฎิบัติตาม”นายสมชายกล่าวและว่า ในภาวะขณะนี้ภาครัฐเองก็จะเป็นต้องหารายได้เข้ามาใช้ในการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นจึงน่าจะเป็นจังหวะที่ดี”
นายสมชายยังกล่าวถึงการขอเงินงบประมาณเพิ่มเติมในการจ่ายคืนในโครงการรถยนต์คันแรกว่าล่าสุดทางกรมบัญชีกลางได้เสนอให้ใช้เงินคงคลังจำนวน 8,600 ล้านบาทเพื่อจ่ายคืนให้ผู้ที่ถือครองรถยนต์ครบ 1 ปีภายในสิ้นปีงบประมาณ 2557 หรือเดือนก.ย.นี้ในส่วนที่ยังเหลือและตั้งงบประมาณไว้ไม่เพียงพอ เนื่องจากขณะนี้เงินที่จะจ่ายในงวดวันที่ 9 ก.ค.นี้หมดไปแล้วโดยคาดว่าจะได้รับเงินและจ่ายเข้าบัญชีของผู้ได้รับสิทธิได้ทันตามกำหนด ส่วนของปีงบ2558 นั้นน่าจะใช้วงเงินน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม 1.5 หมื่นล้านเพราะจนถึงขณะนี้ผู้ที่ถือใบจอง 1.2 แสนรายก็เข้ามารับรถไปเพียงหลักไม่กี่ร้อยรายเท่านั้น คาดว่าภายในสิ้นเดือนก.ย.นี้ที่ขอความร่วมมือให้มาใช้สิทธ์เพื่อจะได้สรุปตัวเลขรถยนต์ที่เข้าโครงการหรือปิดโครงการได้นั้นน่าจะมีการรับรถไม่เกินพันรายเท่านั้น