ปีนี้วันมหาสงกรานต์ตรงกับที่ 14 เมษายน 2557 เวลา 8 นาฬิกา 11 นาที 24 วินาที ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันที่พระอาทิตย์โคจรย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ของไทยตามคติแต่โบราณมา
พระนางสงกรานต์เวรที่จะเสด็จมาเข้าเวรในปีนี้มีพระนามว่า พระนางโคราคะเทวี ซึ่งนับว่าเป็นนางสงกรานต์ที่มีชื่อไม่เข้าท่ามากที่สุดในบรรดาบุตรีทั้ง 7 องค์ของท้าวกบิลพรหม
เพราะนางสงกรานต์บางองค์นั้นแม้จะมีชื่อดุดัน เช่น พระนางรากษสเทวี หรือพระนางกาลกิณีเทวี ก็ยังถือว่าเป็นนามที่เข้าท่า เพียงแต่ออกจะดุดันไปเท่านั้น ต่างจากนามโคราคะเทวี เพราะอาจแปลไปได้ว่าหมายถึงโคบ้า หรือควายบ้ากามราคะ อะไรทำนองนั้น ซึ่งนับว่าไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย
พระนางโคราคะเทวีนี้เป็นนางสงกรานต์ร้าย เพราะเข้าเวรคราใดก็มีแต่ความฉิบหายวายวอด มีเหตุการณ์ฆ่าฟันกันเป็นศึกสงคราม ผู้คนจะบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก เศรษฐกิจจะพินาศยับเยิน ผู้คนจะป่วยไข้ระส่ำระสายทั่วไป
ดูตัวอย่างการเข้าเวรของสงกรานต์ของพระนางโคราคะเทวีในรอบระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา พระนางโคราคะเทวีเข้าเวรเมื่อปี พ.ศ. 2529 ก็มีเหตุศึกเหนือเสือใต้ ทั้งในประเทศและตามแนวชายแดน ผู้คนบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก แต่ก็สามารถแก้ไขนำความสงบสุขกลับคืนมาได้ อันเป็นฝีไม้ลายมือของรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
พระนางโคราคะเทวีเข้าเวรในปี พ.ศ. 2535 ปรากฏว่าได้เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มีความขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้น มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ร้อนถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องเสด็จออกมาห้ามทัพ และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายก็ถวายความจงรักภักดี ร่วมกันนำความสงบสุขกลับคืนสู่บ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง
คราวต่อมาพระนางโคราคะเทวีเข้าเวรในปี พ.ศ. 2541 เป็นปีที่เกิดวิกฤตใหญ่ทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยต้องเข้าโครงการของ IMF ตกเป็นประเทศราชของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เศรษฐกิจไทยพังพินาศยับเยิน ธุรกิจเอกชนขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็กป่นปี้ยับเยิน ต้องปิดกิจการธนาคารหลายแห่ง และสถาบันการเงินก็ร้อยกว่าแห่ง เป็นบาดแผลพิษภัยทางเศรษฐกิจจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ และก่อเกิดหนี้ที่ยังค้างคาอยู่ถึงขณะนี้กว่าล้านล้านบาท
ในปี พ.ศ. 2546 พระนางโคราคะเทวีเข้าเวรอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เจ็บลึก เจ็บหนัก เพราะพรรคไทยรักไทยที่บริหารราชการบ้านเมืองอยู่ดีๆ ได้กลายพันธุ์เป็นเผด็จการทุนสามานย์และได้รับการเรียกชื่อต่อมาว่าระบอบทักษิณ ที่เต็มไปด้วยการทุจริต ฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดิน กดขี่ข่มเหงข้าราชการและอาณาประชาราษฎรทั้งปวง ทำลายคุณธรรมศีลธรรมยับเยินป่นปี้เป็นประวัติการณ์ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย
บาดแผลใหญ่เกิดขึ้นทั้งต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อักเสบเรื้อรังมาเป็นเวลาเกือบ 12 ปีแล้ว ประเทศไทยจมปลักอยู่ในวิกฤตทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม แต่ละปีมีการฆ่ากันตายและทำร้ายกันบาดเจ็บสาหัสหลายร้อยคน และบ้านเมืองเต็มไปด้วยความแตกแยกยิ่งกว่าเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2
ล่าสุดพระนางโคราคะเทวีเข้าเวรในปี พ.ศ. 2552 ก็เกิดความขัดแย้งทางการเมืองถึงขั้นรุนแรง โดยน้ำมือของพรรคการเมือง นักการเมือง และกลุ่มคนเสื้อแดง จนหวิดเกิดเป็นสงครามกลางเมือง เกิดความเสียหายร้ายแรงทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และเกียรติภูมิของประเทศชาติ
แต่ที่น่าอนาถใจนักก็คือเหล่าคนพาลสันดานชั่วที่ก่อกรรมทำเข็ญกับบ้านเมืองยังคงลอยนวล ชูคอ ยกขา ผวาปีก ข่มเหง ข่มขู่ คุกคามผู้คนทั้งแผ่นดินอยู่จนกระทั่งถึงวันนี้ ประหนึ่งว่าจะอยู่เหนือกฎแห่งกรรมไปแล้ว
คนทั้งหลายจึงได้แต่เฝ้าจับตามองว่าอีกนานเท่าใดหนอ กฎแห่งกรรมจะสำแดงความศักดิ์สิทธิ์ดังพระพุทธวจนที่ตรัสว่า ธรรมจักรอันเรายังให้เป็นไปแล้ว จักไม่มีใครไม่ว่ามนุษย์ ยักษ์ มาร เทวดา หรือพรหมใด เปลี่ยนแปลงผันแปรให้เป็นอื่นไปได้
มาบัดนี้พระนางโคราคะเทวีก็จะเสด็จมาเข้าเวรสงกรานต์อีกครั้งหนึ่งแล้ว จะเสด็จมาในท่ามกลางคำพยากรณ์ของโหรานุโหรทั้งหลายที่เป็นไปในทางร้ายทั้งสิ้น นั่นคือจะเกิดสงครามกลางเมือง เลือดจะนองท้องช้าง ผู้คนจะบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก เศรษฐกิจของชาติจะพินาศยับเยิน
ครั้นมาดูการที่เป็นไปในภาคพื้นดินก็ดูท่าจะสอดคล้องกับการที่เป็นไปในคราที่พระนางโคราคะเทวีจะเสด็จมาเข้าเวรสงกรานต์
เพราะพรรคการเมือง นักการเมือง และบริวารนักการเมืองที่เคยสร้างกรรมทำเข็ญให้กับชาติบ้านเมืองกำลังเคลื่อนไหวระดมพลเพื่อปฏิวัติรัฐประหารตัวเองและก่อสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ ที่อาจจะยิ่งใหญ่กว่าเมื่อครั้งเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองในปี พ.ศ. 2553 ช่วงที่พระนางโคราคะเทวีกำลังเสด็จออกเวรในสงกรานต์ปีนั้น
เพราะมีการประกาศอย่างเปิดเผย อย่างกว้างขวางทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุชุมชน และโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่องว่าในวันที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าววันไหน วันนั้นจะมีเหตุการณ์ระเบิดทั่วทั้งกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ของประเทศไทย
ได้ประกาศว่า จะมีการระดมกองกำลังติดอาวุธทุกชนิดเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อปิดฉากระบบระบอบทั้งหลายในประเทศนี้ รวมทั้งจะขับไล่อำมาตย์ออกจากประเทศไทยด้วย
อำมาตย์ที่ถูกกล่าวถึงนี้ คนไทยทั้งประเทศในวันนี้ก็รู้ว่าหมายถึงใคร ซึ่งถือได้ว่าเป็นการบังอาจและจ้วงจาบหยาบช้าที่ร้ายแรงที่สุด นับแต่ราชวงศ์จักรีได้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีมาร่วม 300 ปีแล้ว
และไม่ได้ประกาศแต่ปาก ยังได้ปฏิบัติให้เห็นเป็นขั้นเป็นตอน ทั้งโดยการเตรียมระดมกำลังคนในการตรวจพลที่จะยกเข้ามาในกรุงเทพฯ ในการก่อความรุนแรง ใช้อาวุธสงคราม M79 และระเบิดชนิดต่าง ๆ ถล่มศาลรัฐธรรมนูญ ศาลแพ่ง ศาลอาญา สำนักงานอัยการสูงสุด ป.ป.ช. ถล่มบ้านแกนนำ กปปส. และบ้านนักการเมืองอย่างต่อเนื่อง
และได้มีการประกาศแบ่งแยกประเทศไทยด้วยกำลังอาวุธ จนกองทัพบกซึ่งได้ทราบความจริงชัดแล้วได้ไปแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดี และได้จัดกำลังออกมาคุ้มครองประชาชนดังที่เห็นๆ กันอยู่
แต่ยังไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวตามที่ได้ประกาศดังกล่าวไว้ ดังนั้นจึงเป็นที่คาดหมายได้ว่าโอกาสที่จะเกิดความรุนแรงในช่วงที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กระทั่งนำไปสู่การรัฐประหารตนเองของรัฐบาลหรือการถูกปราบปรามอย่างราบคาบก็ได้
ห้วงเวลาใดเล่าที่จะเป็นห้วงเวลาอันเกิดวิกฤตเช่นนั้น? ก็ปรากฏว่าในวันที่ 31 มีนาคม ศกนี้ จะเป็นวันครบกำหนดที่นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะต้องยื่นแก้ข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. เพราะ ป.ป.ช.ได้อนุญาตให้เลื่อนการชี้แจงมาแล้ว 1 ครั้งและเต็มอัตราเวลาที่จะสามารถอนุญาตได้
ถ้าหากนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ชี้แจง ป.ป.ช.ก็มีอำนาจถือได้ว่าไม่ติดใจชี้แจง หรือถ้าชี้แจงก็จะทำการไต่สวนว่าคำชี้แจงนั้นฟังได้หรือไม่ ถ้าฟังได้ก็จะยกข้อกล่าวหา หรือถ้าเห็นว่ายังจำเป็นต้องไต่สวนพยานหลักฐานเพิ่มเติมก็จะเรียกพยานหลักฐานเพิ่มเติมนั้นในเวลา 5 วัน 7 วัน และถ้าเห็นว่าคำชี้แจงรับฟังไม่ได้ หักล้างข้อกล่าวหาไม่ได้ ป.ป.ช.ก็จะชี้มูลว่านางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กระทำความผิดตามข้อกล่าวหา จะมีผลให้ต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ทันที ซึ่งคาดว่าระยะเวลาชี้มูลความผิดน่าจะใกล้เคียงกับวันมหาสงกรานต์
ดังนั้นก่อนถึงวันดังกล่าว จึงมีความพยายามที่จะล่าตัวกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อไม่ให้ทำหน้าที่ได้ รวมทั้งการปิดล้อมสำนักงาน ป.ป.ช. และการยิงระเบิด M79 ถล่ม ป.ป.ช.อย่างต่อเนื่อง จนฝ่ายทหารต้องส่งกำลังไปคุ้มกันความปลอดภัยให้กับ ป.ป.ช.
ดังนั้นจะป้องกันเหตุร้ายแรงให้กับประเทศชาติและประชาชนก่อน หรือว่าจะรอจนบ้านเมืองพินาศฉิบหายวายวอด และฆ่าฟันกันเจ็บตายจนเลือดนองท้องช้างก่อน จึงค่อยแก้ไข ก็สุดแท้แต่ใจและบุญกรรมเถิด.
พระนางสงกรานต์เวรที่จะเสด็จมาเข้าเวรในปีนี้มีพระนามว่า พระนางโคราคะเทวี ซึ่งนับว่าเป็นนางสงกรานต์ที่มีชื่อไม่เข้าท่ามากที่สุดในบรรดาบุตรีทั้ง 7 องค์ของท้าวกบิลพรหม
เพราะนางสงกรานต์บางองค์นั้นแม้จะมีชื่อดุดัน เช่น พระนางรากษสเทวี หรือพระนางกาลกิณีเทวี ก็ยังถือว่าเป็นนามที่เข้าท่า เพียงแต่ออกจะดุดันไปเท่านั้น ต่างจากนามโคราคะเทวี เพราะอาจแปลไปได้ว่าหมายถึงโคบ้า หรือควายบ้ากามราคะ อะไรทำนองนั้น ซึ่งนับว่าไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย
พระนางโคราคะเทวีนี้เป็นนางสงกรานต์ร้าย เพราะเข้าเวรคราใดก็มีแต่ความฉิบหายวายวอด มีเหตุการณ์ฆ่าฟันกันเป็นศึกสงคราม ผู้คนจะบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก เศรษฐกิจจะพินาศยับเยิน ผู้คนจะป่วยไข้ระส่ำระสายทั่วไป
ดูตัวอย่างการเข้าเวรของสงกรานต์ของพระนางโคราคะเทวีในรอบระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา พระนางโคราคะเทวีเข้าเวรเมื่อปี พ.ศ. 2529 ก็มีเหตุศึกเหนือเสือใต้ ทั้งในประเทศและตามแนวชายแดน ผู้คนบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก แต่ก็สามารถแก้ไขนำความสงบสุขกลับคืนมาได้ อันเป็นฝีไม้ลายมือของรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
พระนางโคราคะเทวีเข้าเวรในปี พ.ศ. 2535 ปรากฏว่าได้เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มีความขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้น มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ร้อนถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องเสด็จออกมาห้ามทัพ และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายก็ถวายความจงรักภักดี ร่วมกันนำความสงบสุขกลับคืนสู่บ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง
คราวต่อมาพระนางโคราคะเทวีเข้าเวรในปี พ.ศ. 2541 เป็นปีที่เกิดวิกฤตใหญ่ทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยต้องเข้าโครงการของ IMF ตกเป็นประเทศราชของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เศรษฐกิจไทยพังพินาศยับเยิน ธุรกิจเอกชนขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็กป่นปี้ยับเยิน ต้องปิดกิจการธนาคารหลายแห่ง และสถาบันการเงินก็ร้อยกว่าแห่ง เป็นบาดแผลพิษภัยทางเศรษฐกิจจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ และก่อเกิดหนี้ที่ยังค้างคาอยู่ถึงขณะนี้กว่าล้านล้านบาท
ในปี พ.ศ. 2546 พระนางโคราคะเทวีเข้าเวรอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เจ็บลึก เจ็บหนัก เพราะพรรคไทยรักไทยที่บริหารราชการบ้านเมืองอยู่ดีๆ ได้กลายพันธุ์เป็นเผด็จการทุนสามานย์และได้รับการเรียกชื่อต่อมาว่าระบอบทักษิณ ที่เต็มไปด้วยการทุจริต ฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดิน กดขี่ข่มเหงข้าราชการและอาณาประชาราษฎรทั้งปวง ทำลายคุณธรรมศีลธรรมยับเยินป่นปี้เป็นประวัติการณ์ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย
บาดแผลใหญ่เกิดขึ้นทั้งต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อักเสบเรื้อรังมาเป็นเวลาเกือบ 12 ปีแล้ว ประเทศไทยจมปลักอยู่ในวิกฤตทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม แต่ละปีมีการฆ่ากันตายและทำร้ายกันบาดเจ็บสาหัสหลายร้อยคน และบ้านเมืองเต็มไปด้วยความแตกแยกยิ่งกว่าเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2
ล่าสุดพระนางโคราคะเทวีเข้าเวรในปี พ.ศ. 2552 ก็เกิดความขัดแย้งทางการเมืองถึงขั้นรุนแรง โดยน้ำมือของพรรคการเมือง นักการเมือง และกลุ่มคนเสื้อแดง จนหวิดเกิดเป็นสงครามกลางเมือง เกิดความเสียหายร้ายแรงทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และเกียรติภูมิของประเทศชาติ
แต่ที่น่าอนาถใจนักก็คือเหล่าคนพาลสันดานชั่วที่ก่อกรรมทำเข็ญกับบ้านเมืองยังคงลอยนวล ชูคอ ยกขา ผวาปีก ข่มเหง ข่มขู่ คุกคามผู้คนทั้งแผ่นดินอยู่จนกระทั่งถึงวันนี้ ประหนึ่งว่าจะอยู่เหนือกฎแห่งกรรมไปแล้ว
คนทั้งหลายจึงได้แต่เฝ้าจับตามองว่าอีกนานเท่าใดหนอ กฎแห่งกรรมจะสำแดงความศักดิ์สิทธิ์ดังพระพุทธวจนที่ตรัสว่า ธรรมจักรอันเรายังให้เป็นไปแล้ว จักไม่มีใครไม่ว่ามนุษย์ ยักษ์ มาร เทวดา หรือพรหมใด เปลี่ยนแปลงผันแปรให้เป็นอื่นไปได้
มาบัดนี้พระนางโคราคะเทวีก็จะเสด็จมาเข้าเวรสงกรานต์อีกครั้งหนึ่งแล้ว จะเสด็จมาในท่ามกลางคำพยากรณ์ของโหรานุโหรทั้งหลายที่เป็นไปในทางร้ายทั้งสิ้น นั่นคือจะเกิดสงครามกลางเมือง เลือดจะนองท้องช้าง ผู้คนจะบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก เศรษฐกิจของชาติจะพินาศยับเยิน
ครั้นมาดูการที่เป็นไปในภาคพื้นดินก็ดูท่าจะสอดคล้องกับการที่เป็นไปในคราที่พระนางโคราคะเทวีจะเสด็จมาเข้าเวรสงกรานต์
เพราะพรรคการเมือง นักการเมือง และบริวารนักการเมืองที่เคยสร้างกรรมทำเข็ญให้กับชาติบ้านเมืองกำลังเคลื่อนไหวระดมพลเพื่อปฏิวัติรัฐประหารตัวเองและก่อสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ ที่อาจจะยิ่งใหญ่กว่าเมื่อครั้งเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองในปี พ.ศ. 2553 ช่วงที่พระนางโคราคะเทวีกำลังเสด็จออกเวรในสงกรานต์ปีนั้น
เพราะมีการประกาศอย่างเปิดเผย อย่างกว้างขวางทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุชุมชน และโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่องว่าในวันที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าววันไหน วันนั้นจะมีเหตุการณ์ระเบิดทั่วทั้งกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ของประเทศไทย
ได้ประกาศว่า จะมีการระดมกองกำลังติดอาวุธทุกชนิดเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อปิดฉากระบบระบอบทั้งหลายในประเทศนี้ รวมทั้งจะขับไล่อำมาตย์ออกจากประเทศไทยด้วย
อำมาตย์ที่ถูกกล่าวถึงนี้ คนไทยทั้งประเทศในวันนี้ก็รู้ว่าหมายถึงใคร ซึ่งถือได้ว่าเป็นการบังอาจและจ้วงจาบหยาบช้าที่ร้ายแรงที่สุด นับแต่ราชวงศ์จักรีได้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีมาร่วม 300 ปีแล้ว
และไม่ได้ประกาศแต่ปาก ยังได้ปฏิบัติให้เห็นเป็นขั้นเป็นตอน ทั้งโดยการเตรียมระดมกำลังคนในการตรวจพลที่จะยกเข้ามาในกรุงเทพฯ ในการก่อความรุนแรง ใช้อาวุธสงคราม M79 และระเบิดชนิดต่าง ๆ ถล่มศาลรัฐธรรมนูญ ศาลแพ่ง ศาลอาญา สำนักงานอัยการสูงสุด ป.ป.ช. ถล่มบ้านแกนนำ กปปส. และบ้านนักการเมืองอย่างต่อเนื่อง
และได้มีการประกาศแบ่งแยกประเทศไทยด้วยกำลังอาวุธ จนกองทัพบกซึ่งได้ทราบความจริงชัดแล้วได้ไปแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดี และได้จัดกำลังออกมาคุ้มครองประชาชนดังที่เห็นๆ กันอยู่
แต่ยังไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวตามที่ได้ประกาศดังกล่าวไว้ ดังนั้นจึงเป็นที่คาดหมายได้ว่าโอกาสที่จะเกิดความรุนแรงในช่วงที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กระทั่งนำไปสู่การรัฐประหารตนเองของรัฐบาลหรือการถูกปราบปรามอย่างราบคาบก็ได้
ห้วงเวลาใดเล่าที่จะเป็นห้วงเวลาอันเกิดวิกฤตเช่นนั้น? ก็ปรากฏว่าในวันที่ 31 มีนาคม ศกนี้ จะเป็นวันครบกำหนดที่นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะต้องยื่นแก้ข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. เพราะ ป.ป.ช.ได้อนุญาตให้เลื่อนการชี้แจงมาแล้ว 1 ครั้งและเต็มอัตราเวลาที่จะสามารถอนุญาตได้
ถ้าหากนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ชี้แจง ป.ป.ช.ก็มีอำนาจถือได้ว่าไม่ติดใจชี้แจง หรือถ้าชี้แจงก็จะทำการไต่สวนว่าคำชี้แจงนั้นฟังได้หรือไม่ ถ้าฟังได้ก็จะยกข้อกล่าวหา หรือถ้าเห็นว่ายังจำเป็นต้องไต่สวนพยานหลักฐานเพิ่มเติมก็จะเรียกพยานหลักฐานเพิ่มเติมนั้นในเวลา 5 วัน 7 วัน และถ้าเห็นว่าคำชี้แจงรับฟังไม่ได้ หักล้างข้อกล่าวหาไม่ได้ ป.ป.ช.ก็จะชี้มูลว่านางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กระทำความผิดตามข้อกล่าวหา จะมีผลให้ต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ทันที ซึ่งคาดว่าระยะเวลาชี้มูลความผิดน่าจะใกล้เคียงกับวันมหาสงกรานต์
ดังนั้นก่อนถึงวันดังกล่าว จึงมีความพยายามที่จะล่าตัวกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อไม่ให้ทำหน้าที่ได้ รวมทั้งการปิดล้อมสำนักงาน ป.ป.ช. และการยิงระเบิด M79 ถล่ม ป.ป.ช.อย่างต่อเนื่อง จนฝ่ายทหารต้องส่งกำลังไปคุ้มกันความปลอดภัยให้กับ ป.ป.ช.
ดังนั้นจะป้องกันเหตุร้ายแรงให้กับประเทศชาติและประชาชนก่อน หรือว่าจะรอจนบ้านเมืองพินาศฉิบหายวายวอด และฆ่าฟันกันเจ็บตายจนเลือดนองท้องช้างก่อน จึงค่อยแก้ไข ก็สุดแท้แต่ใจและบุญกรรมเถิด.