xs
xsm
sm
md
lg

สมชัยชี้ช่องฟันยิ่งลักษณ์ จ้อทีวีพูลจำนำข้าวผิดกม.เลือกตั้ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวถึง การออกแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่มีการอธิบายเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว ว่า เนื้อหาสาระบางส่วนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว หมิ่นเหม่ไปในเชิงหาเสียงการเลือกตั้ง
"การกระทำลักษณะเช่นนี้ ในช่วงเลือกตั้ง นักการเมือง ผู้สมัคร ส.ส.ไม่ควรใช้สื่อของรัฐ มาทำให้เกิดความได้เปรียบ หรือเสียเปรียบในคะแนนนิยม หรือเข้าข่ายว่า สัญญาว่าจะให้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการพูดคุยกันระหว่างผู้รับผิดชอบกับกกต. ว่าเข้าใจบทบาทการทำหน้าที่หรือไม่ ส่วนเนื้อหาดังกล่าว จะถูกต้อง เหมาะสมหรือไม่นั้น เป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตของกกต. ว่าการกระทำของฝ่ายการเมือง จำเป็นต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะขณะนี้การเลือกตั้งยังไม่เสร็จสิ้น ดังนั้นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ แม้จะมีการตำแหน่งทางการเมืองอยู่ ก็ควรระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นอาจถูกร้องเรียนได้" นายสมชัย กล่าว
นอกจากนี้ กกต. เตรียมทำหนังสือเชิญ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และ ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์ ช่อง11 มาพบอีกครั้ง ในสัปดาห์หน้า ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อหารือถึงบทบาท และการทำหน้าที่ในฐานะสื่อของรัฐ ซึ่งมีลักษณะที่ไม่เหมาะสม อย่างเช่น รายการเสียงสะท้อนจากชาวนา ที่ออกอากาศ เมื่อคืนวันที่ 18 ก.พ. มีการนำเสนอเนื้อหาที่ทำให้เห็นว่า กกต. เป็นส่วนหนึ่งของอุปสรรคที่ทำให้ชาวนาไม่ได้รับเงินในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่ประชาชน และก่อให้เกิดผลเสียต่อกกต.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเช้าวานนี้ (19ก.พ.) นายสมชัย ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีคำแถลงของนายกรัฐมนตรี ผ่านโทรทัศน์ร่วมการเฉพาะกิจ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. อาจมีปัญหาขัดต่อ พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่งส.ว. ทั้งในเรื่องการใช้สื่อวิทยุโทรทัศน์หาเสียง สัญญาว่าจะให้ ใช้สื่อของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐวางตัวไม่เป็นกลาง และเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 เรื่องการใช้ทรัพยากรของรัฐในการหาเสียง จึงเกรงว่า ปัญหาดังกล่าว จะเป็นประเด็นการเมือง ซึ่งอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องระมัดระวังในเรื่องดังกล่าวด้วย และในสัปดาห์หน้า กกต. จะเชิญอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และ ผอ.ช่อง 11 มาพบ เพื่อซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการทำหน้าที่สื่อของรัฐ ในช่วงการเลือกตั้ง การนัดครั้งนี้เป็นการนัดครั้งที่ 3 หากยังไม่มา กกต. คงต้องมีมติอย่างใดอย่างหนึ่ง
นอกจากนี้ นายสมชัย ยังได้โพสต์ข้อความ พร้อมด้วยภาพประกอบที่มีมือดีนำไปเผยแพร่ ทำให้เกิดความเสียหายโดยระบุว่า แจ้งความดำเนินคดีวันนี้ กรณีเผยแพร่ภาพกราฟฟิกในเฟซบุ๊ก และเว็บไซต์ ข้อความ "รัฐบาลขอกู้เงิน แต่ กกต.ไม่ให้ และกกต.พยายามยื้อไม่ให้เงินชาวนา" ต้นทางจาก เฟซบุ๊ก ที่ชื่อ "อาณาจักรไบกอน returns" ที่เผยแพร่ข้อมูลเป็นเท็จ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 57 และมีผู้นำไปเผยแพร่ต่อ จำนวน 688 ราย ซึ่งโทษตาม พ.รบ.คอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนภาพที่มีการเผยแพร่เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ในลักษณะเดียวกันจะดำเนินการต่อไป
** "เด็จพี่"เดือด"สมชัย"ชี้โพรง
ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายสมชัย ระบุว่า นายกฯแถลงการณ์อาจมีปัญหาผิดกม.เลือกตั้งว่า ในเมื่อมีชาวนามาเรียกร้อง ทวงเงิน ก็เป็นความจำเป็นของนายกฯ ในฐานะผู้นำรัฐบาลจะต้องชี้แจงให้ชาวนาได้รับทราบเหตุผล และปัญหาที่เกิดขึ้น แต่นายสมชัย กลับไม่รู้กาละเทศะ นำข้อความบางท่อนบางตอน มาตัดแปะ แล้วอ้างว่ามีคนตั้งข้อสังเกตว่าการแถลงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ น่าจะมีปัญหาทางกฎหมาย เพราะอยู่ในช่วงเลือกตั้ง ทั้งที่จริงๆ หากไม่ออกมาชี้แจง ก็จะถูกฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาว่าหนีปัญหา
"การกระทำของนายสมชัย ถือว่าไม่รู้กาละเทศะ และผิดวิสัยของกกต. ที่ต้องวางตัวเป็นกลาง แต่นายสมชัย พยายามชี้นำ ชี้ช่อง เหมือนเป็นการกระทำของฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า เปรียบเหมือนเป็นการชี้โพรงให้กระรอก”นายพร้อมพงศ์ กล่าว และว่า ต้องถามนายสมชัยว่า ตาบอดสีหรือไม่ เพราะมีคนที่ทำผิดกฎหมายคือ กลุ่ม กปปส. ที่กระทำการขัดขวางการเลือกตั้ง เริ่มตั้งแต่วันรับสมัคร ส.ส.จนถึงวันเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. แต่กลับไม่มีการออกมาประณาม หรือเอาผิด ทั้งที่หลายคนก็มีหมายในข้อหาขัดขวางการเลือกตั้ง ตรงนี้นายสมชัย รู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่บ้างหรือไม่
"ที่นายสมชัย บอกว่า สัปดาห์หน้า จะเชิญอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และ ผอ.ช่อง 11 มาพบ เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจการทำหน้าที่สื่อของรัฐนั้น ตรงนี้ถือเป็นการลุแกอำนาจหรือไม่" นายพร้อมพงศ์ กล่าว

**จวก"ปู"ปั่นกระแสความเกลียดชังคนในชาติ

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแถลงผ่านทีวีพูล ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า นอกจากจะเป็นคำแถลงที่ไม่ก่อให้เกิดการหาทางออก เพื่อช่วยเหลือชาวนาแล้ว ยังจะทำให้ปัญหาลุกลามมากขึ้น จากความเดือดร้อนชาวนาบานปลาย กลายเป็นผลกระทบต่อตัวรัฐบาลเอง ทั้งนี้นายกฯ ควรแถลงเพื่อสร้างทางออกมากกว่าการนำเสนอข้อมูลผ่านทีวีพูล เพื่อเอาตัวรอดให้กับรัฐบาล หรือพยายามปกปิดความผิดของตัวเอง
" คำแถลงของนายกฯ ไม่ช่วยแก้ปัญหา แต่เป็นคนเล่นเกมการเมืองจากความทุกข์ยากของชาวนา นำมาปั่นอารมณ์ให้เกิดกระแสความเกลียดชังระหว่างประชาชนด้วยกันเอง ถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จึงหวังว่านายกฯ จะไม่มีการแถลงบิดเบือน ใส่ร้าย ป้ายสี แบ่งแยกประชาชน และสร้างความเกลียดชังระหว่างคนไทย เพราะหน้าที่ผู้นำประเทศ ต้องสร้างความสงบให้กับบ้านเมือง"
ส่วนกรณีที่ ป.ป.ช. จะเรียกนายกฯ ไปรับทราบข้อกล่าวหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่ โครงการทุจริตจำนำข้าวในวันที่ 27ก.พ.นี้ นายองอาจ กล่าวว่า หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันว่า โครงการนี้สำเร็จ ขอให้ทำตามสิ่งที่ได้แถลงว่ายินดีที่จะถูกตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของ ป.ป.ช. จึงขอให้ปฏิบัติตามคำพูด ร่วมมือกับป.ป.ช. ไปรับทราบข้อกล่าวหาด้วยตัวเอง ตนจะติดตามว่า นายกฯ จะทำตามคำพูดหรือไม่

**คาด"ยิ่งลักษณ์"เบี้ยวนัดป.ป.ช.

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเด็นที่จะต้องติดตามถัดจากนี้ไปคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะขอเลื่อนวันเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 27 ก.พ.ออกไปหรือไม่ และจะขอยืดเวลาการแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน หลังเข้ารับทราบข้อกล่าวหาออกไปด้วยหรือไม่ เพื่อถ่วง ยื้อเวลาอยู่ในอำนาจออกไปให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถึงแม้จะใช้เล่ห์เหลี่ยมอย่างไร ก็คาดว่าจะซื้อเวลาออกไปได้อีกไม่นาน
ส่วนกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจว่า ไม่มีการทุจริตจำนำข้าวของฝ่ายนโยบาย และความหวังของชาวนา ที่จะลืมตาอ้าปากกำลังถูกทำลาย เพราะเกมการเมืองนั้น ถือเป็นการโกหก และปัดสวะที่ไร้ความรับผิดชอบที่สุด เพราะการทุจริตเริ่มต้นจากฝ่ายนโยบาย ที่ผ่านมาฝ่ายนโยบายบางคนก็ถูกป.ป.ช. ชี้มูลไปแล้ว เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ชาวนาถูกเบี้ยวค่าข้าว ก็ถูกเบี้ยวต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือน ตุลาคม 56 ก่อนการชุมนุม และยุบสภา ที่ ออกมาแถลงทั้งหมด จึงแค่ข้อแก้ตัวกับการโยนบาปให้คนอื่น และเจตนาลดนํ้าหนักการแจ้งข้อกล่าวหาของป.ป.ช. เท่านั้น

**จำนำข้าวไม่ดีก็อย่ามาเข้าโครงการ


นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งข้อกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และให้มารับทราบข้อกล่าวหาทุจริต ในโครงการรับจำนำข้าว ว่า เรื่องข้าวที่เป็นปัญหาอยู่ ถ้าดูย้อนหลังไป 3 ปีที่ผ่านมา ช่วงแรกที่รัฐบาลรับจำนำข้าว ชาวนาไม่มีปัญหาเลย ได้รับเงินทุกบาททุกสตางค์ เมื่อเกิดการยุบสภารัฐบาลต้องปฏิบัติ ตามกฎหมาย แต่ประเด็น คือ ฝ่ายที่คัดค้านรัฐบาล ซึ่งประกอบจากคนหลายกลุ่ม เป็นคนมีระดับทั้งนั้น เคยมีอำนาจบารมี และเป็นอดีตรัฐมนตรี ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง สมัยปฏิวัติ รัฐประหาร ออกมาปลุกระดม ทำให้เกิดความวุ่นวาย เสียดายชาวนาต้องมารับเคราะห์ และชาวนาบางกลุ่ม ถูกใช้เป็นเครื่องมือ
ดังนั้น อยากให้ชาวนาคิดให้รอบคอบ ถ้าเห็นว่าโครงการรับจำนำข้าวไม่ดี ก็อย่ามาเข้าโครงการ รัฐบาลใหม่มาค่อยว่ากัน จะเอาแบบจำนำ หรือรับประกัน

**อ้าง"ปู"ไม่หวั่นป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหา

ผู้สื่อข่าวถามว่า ห่วงสถานะนายกฯ ที่จะถูกองค์กรอิสระอย่างป.ป.ช. ให้หยุดเล่นการเมืองหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่าไม่เหนือความคาดหมาย สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ตั้งแต่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็โดนองค์กรอิสระ สมัยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ ก็โดนเรื่องทำกับข้าว สมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็โดนศาลตัดสินยุบพรรค ขบวนการเหล่านี้ ยังมีชีวิตอยู่ แต่เชื่อว่าสังคมโลกเข้าใจ หลายๆ ประเทศถามตนว่า กลัวหรือไม่ว่า กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นอีก จึงอธิบาย ความให้นานาประเทศเข้าใจว่า ในอนาคตจะต้องมีการปฏิรูปทั้งหมด คนไทยต้องช่วยกันปฏิรูป เพื่อให้ประเทศเดินต่อไปได้
"นายกฯไม่ได้หวั่นไหวกับเรื่องนี้ มีความเข้มแข็ง และยังไม่ถอดใจ ทุกวันนี้นายกฯ ต่อสู้เพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยเดินไปให้ได้ เพราะถ้าประเทศไทยไม่มีประชาธิปไตย เกิดรัฐประหาร และฉีกรัฐธรรมนูญกันอีก สิ่งที่ตามมาคราวนี้จะหนักกว่าในอดีต วันนี้โลกกำลังจับตาไทย ถ้าเกิดอะไรขึ้นสังคมโลก สหประชาชาติ ไม่เอาไทยแน่นอน โดยเฉพาะอียู อาจจะคว่ำบาตร เหมือนที่เคยคว่ำบาตร เมียนมาร์ ดังนั้นไม่ควรประมาทกับเรื่องนี้ และผมจะชี้ให้สังคมโลกเห็นใน สิ่งที่ กปปส.ทำ ทั้งการตัดน้ำตัดไฟ และเอาเด็กขึ้นเวที" นายสุรพงษ์ กล่าว

ปธ.วุฒิฯเชื่อนายกฯมีวิฒิภาวะ-จริยธรรม

ด้านนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงคำวินิจฉัยของป.ป.ช. ในเรื่องนี้ว่า เป็นอำนาจของป.ป.ช.ไต่สวนข้อมูล พิจารณาลงมติว่านายกฯ กระทำการ แจ้งข้อกล่าวหา ขัดต่อกฎหมาย หรือระเบียบ เมื่อนายกฯ รับแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ก็ต้องให้เวลาอีก 15 วัน หรืออาจจะขยายเวลาออกไป ในการรวบรวมเอกสารชี้แจง ตนเชื่อว่าสิ่งที่นายกฯ ต้องไปชี้แจงเป็นประเด็นประกอบการพิจารณาของป.ป.ช. ซึ่งคณะกรรมการป.ป.ช. ต้องใช้เวลาพิจารณาพอสมควร แต่หากผลสุดท้าย เมื่อป.ป.ช.ชี้มูลมาแล้ว ส่งมาที่ตน ตาม มาตรา 274 เพื่อถอดถอน โดยใช้เสียง 3 ใน 5 ของสมาชิก หรือ จำนวน 90 เสียง ในการถอดถอน
เมื่อถามว่าหาก ป.ป.ช. ส่งเรื่องให้ ส.ว.พิจารณาถอดถอน ระหว่างที่ส.ว.เลือกตั้ง หมดวาระดำรงตำแหน่ง จะมีปัญหาด้านข้อกฎหมายหรือไม่ นายนิคม กล่าวว่าเป็นประเด็นที่ ที่ประชุมวุฒิสภาทั้ง 2 ฝ่าย ต่างโต้เถียงกันอยู่ว่าจะนับองค์ประชุมอย่างไร เพราะความจริงส.ว.เลือกตั้ง เมื่อครบวาระดำรงตำแหน่งแล้ว ก็ยังคงทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีส.ว.ชุดใหม่ และหากป.ป.ช. ส่งเรื่องถอดถอนให้วุฒิสภา สามารถเรียกประชุมได้ทันที แต่ต้องมาพิจารณาเรื่องที่สำคัญ คือองค์ประชุม ว่าจะต้องใช้จำนวน 149 คน หรือเพียงแค่ที่มีอยู่ เพราะหากเกิดกรณีที่ส.ว.ถูกชี้มูลความผิดไป จำนวน 50 คน ก็จะเหลือปฏิบัติหน้าที่เพียง 99 คน ดังนั้น ประเด็นดังกล่าวต้องพิจารณาอีกครั้ง บนหลักของกฎหมาย รวมถึงข้อบังคับการประชุม และประเพณีปฏิบัติ ดูปัจจัยอื่นๆประกอบด้วยเยอะแยะ อย่าเพิ่งสรุปว่าองค์ประชุมจะเหลือเพียง 99 คน หรือ ส.ว.ที่ถูกชี้มูล ต้องหยุดแล้วปฏิบัติหน้าที่อะไรไม่ได้เลย ทั้งที่ความเป็นส.ว.ยังมีอยู่ เขายังกินเงินเดือนหลวงอยู่
เมื่อถามว่า ป.ป.ช. ที่จะชี้มูลนายกฯนั้น นายกฯต้องมีการปฏิบัติอย่างไร หรือไม่เพื่อความสง่างามทางการเมือง นายนิคม กล่าวว่า เมื่อชี้มูลความผิด ก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ และไปดูกฎหมายต่อไปว่า เมื่อถูกชี้มูลแล้วรัฐธรรมนูญยังกำหนดว่า จะต้องอยู่จนกว่ามีส.ส. หรือ สภาผู้แทนราษฎร และเลือกนายกฯ คนใหม่เข้ามา ดังนั้นต้องพิจารณา ว่า เมื่อชี้ไปแล้ว นายกฯหยุด แต่ยังมีบุคคลอื่นเข้ามาทำหน้าที่ได้
ถ้านายกฯ ตัดสินใจลาออกก่อน ป.ป.ช. ชี้มูล ถือเป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่ นายนิคม กล่าวว่า เป็นสิทธิของนายกฯ ที่บอกว่าเมื่อกฎหมายบอกว่าให้อยู่รักษาการไปจนกว่ามีรัฐบาลใหม่เข้ามา หากท่านชิงลาออกก่อน อาจจะแก้ได้ในประเด็นหนึ่ง แต่ยังมีประเด็นอื่นที่มีปัญหา เช่น การละเว้น การไม่ทำหน้าที่ ก็จะกลายเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ส่วนตนมองว่า เป็นเรื่องของการเมืองล้วนๆ ในการเอาประเด็นเรื่องข้าวมาเป็นประเด็นการชี้มูล และถอดถอน เมื่อกฎหมายกำหนดไว้ อย่างไร ทำไปโดยตามกระบวนการของกฎหมายอย่างเป็นธรรม ทุกคนเมื่อมาเป็นนักการเมือง หรือมาเป็นข้าราชการ ก็พร้อมเผชิญกับปัญหาแบบนี้
"แล้วแต่ว่าจริยธรรม คุณธรรม ของแต่ละคน ผมเชื่อว่านายกฯ ก็มีวุฒิภาวะ และมีจริยธรรม ที่จะรับรู้ และรู้ว่าจะวางตัวอย่างไร" นายนิคม กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น