วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวพุทธ และวันนี้ก็เป็นวันวาเลนไทน์ของชาวคริสต์ด้วย ดังนั้นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 ในปีนี้จึงเป็นวันสำคัญของสองศาสนาสำคัญของประเทศไทย
วันวาเลนไทน์นั้นเป็นวันแห่งความรัก เป็นวันที่กำหนดขึ้นเพื่อเป็นเครื่องรำลึกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของนักบุญวาเลนไทน์ ที่มีและเผื่อแผ่ความรักแก่มวลมนุษย์สุดประมาณ
ไม่ใช่เป็นเทศกาลของความรักที่เป็นความใคร่ ดังที่พ่อค้าขายความรักที่แฝงความใคร่โหมกระแสกันอย่างครึกโครมในยุคปัจจุบัน จนทำให้สาระสำคัญของวันวาเลนไทน์ที่เผื่อแผ่ความรักออกไปยังภายนอก ออกไปยังมวลมนุษย์หมดสิ้นความหมายไป กระทั่งนักบุญวาเลนไทน์หากจะรับรู้ก็คงหลั่งน้ำตาให้กับการบิดเบือนของทุนนิยมสามานย์ในยุคปัจจุบัน
ส่วนวันมาฆบูชานั้น ถือกันว่าเป็นวันของพระสงฆ์ เพราะเป็นวันที่พระอริยสงฆ์สาวกที่เป็นพระอรหันต์ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบวชให้จำนวน 1,250 รูป มาประชุมกันครั้งใหญ่ที่สุดในโพธิกาล และพระบรมศาสดาทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์เพื่อเป็นหลักการประพฤติปฏิบัติและเป็นหลักในการประกาศพระธรรมวินัยในพระศาสนา
วันมาฆบูชาแปลว่าการบูชาในเทศกาลวันมาฆะ คือวันที่พระจันทร์เพ็ญโคจรอยู่ในกลุ่มดาวที่เรียกว่ากลุ่มดาวมาฆะ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ปกติที่มีขึ้นทุกปี คือในช่วงเดือนสามของปีปกติ หรือในช่วงเดือนสี่ของปีที่เป็นอธิกมาสหรือเป็นปีที่มีเดือนแปดสองหน ในช่วงเดือนนี้จะมีวันที่พระจันทร์เพ็ญในกลุ่มดาวมาฆะ วันนั้นจึงได้ชื่อว่าเป็นวันมาฆะ
และชาวพุทธก็ได้ปฏิบัติบูชาในวันมาฆะนี้ จึงเรียกว่าการบูชาในวันมาฆะ หรือที่เรียกกันเป็นภาษาคนวัดว่า การบูชาในวันมาฆะปูรณมี
การชุมนุมพระอริยสงฆ์ที่เป็นพระอรหันตสาวกที่พระบรมศาสดาทรงบวชให้ด้วยพระองค์เองนั้น เป็นการสำคัญในโพธิกาลของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ซึ่งพระพุทธเจ้าบางพระองค์ก็มีการชุมนุมพระอรหันต์ครั้งใหญ่แบบนี้ครั้งเดียวก็มี หลายครั้งก็มี โดยเฉพาะโพธิกาลที่มีอายุยาวนานมากๆ ก็จะมีการประชุมพระอรหันต์มากกว่า 1 ครั้ง แต่ในโพธิกาลของพระสมณะโคดมพุทธเจ้านั้น โพธิกาลสั้นคือชั่ว 45 ปี ดังนั้นจึงมีการประชุมพระอรหันต์ครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียว
การประชุมพระอรหันต์ครั้งใหญ่ในโพธิกาลของพระสมณะโคดมพุทธเจ้านั้นเกิดขึ้นในเดือนที่ 9 หลังการตรัสรู้ ซึ่งขณะนั้นมีพระอรหันต์บังเกิดขึ้นในโลกจำนวนทั้งสิ้น 1,340 รูป แต่ทรงส่งไปประกาศพระธรรมวินัยในถิ่นอื่นเสียสองรอบ รอบแรกจำนวน 60 รูป และรอบที่สองอีก 30 รูป จึงคงเหลือพระอรหันต์อยู่เพียง 1,250 รูป
จำนวนพระอรหันต์ 1,250 รูปนี้ประกอบด้วยพระอรหันต์ที่เคยเป็นชฎิลของกลุ่มชฎิลสามพี่น้องจำนวน 1,000 รูป เป็นพระอรหันต์ซึ่งเคยเป็นปริพาชกของกลุ่มพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตรจำนวน 250 รูป พระอรหันต์ทั้งหมดนี้ไม่มีรูปใดเคยเป็นพราหมณ์มาก่อน ดังนั้นที่เที่ยวจำ ที่เที่ยวสอนกันผิดๆ ว่าพระอรหันต์เหล่านั้นมาชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมาย เพราะเคยเป็นพราหมณ์มาก่อนและเป็นวันศิวาราตรี จึงมีความคุ้นเคยเดิมที่จะมาประชุมกัน จึงเป็นเรื่องที่คลาดเคลื่อนไม่เป็นความจริงอันเป็นไปในพระสูตร
พระอรหันต์ 1,250 รูปดังกล่าวนี้ องค์สุดท้ายที่ทำให้ครบ 1,250 รูปในวันนั้นคือพระสารีบุตร ซึ่งความจริงพระสารีบุตรแม้จะมีสติปัญญามาก แต่เมื่อเข้ารับอุปสมบทแล้วเพื่อนปริพาชกในกลุ่มทั้งหมด รวมทั้งพระโมคคัลลานะได้บรรลุความเป็นพระอรหันต์ก่อน คงเหลือแต่พระสารีบุตรองค์เดียวที่ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์
ในวันเพ็ญเดือน 3 ของเดือนที่ 9 หลังตรัสรู้ พระบรมศาสดาเสด็จไปโปรดพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งป่วยอยู่ในถ้ำสุกรขาตา พระสารีบุตรได้ตามเสด็จและถืองานพัด ในขณะที่พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมโปรดพระภิกษุป่วยนั้น
ไม่ปรากฏว่าพระภิกษุที่ป่วยและได้รับพระธรรมเทศนาครั้งนั้นจะได้บรรลุความเป็นพระอรหันต์หรือไม่ คงมีความปรากฏแต่เพียงว่าได้ดวงตาเห็นธรรม ส่วนพระสารีบุตรหลังจากฟังธรรมในถ้ำสุกรขาตานั้นแล้ว ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ และเป็นพระอรหันต์องค์ที่ 1,340 ของจำนวนทั้งหมด และเป็นองค์ที่ 1,250 ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 ปีนั้น
หลังจากทรงแสดงธรรมโปรดพระภิกษุป่วยแล้ว พระบรมศาสดาได้เสด็จกลับวัดเวฬุวัน ซึ่งพระอรหันต์ 1,249 รูป ได้พร้อมกันอยู่ที่วัดเวฬุวันนั้นแล้ว เมื่อพระสารีบุตรตามเสด็จมาสมทบจึงเป็น 1,250 รูป พระบรมศาสดาจึงใช้โอกาสนั้นประชุมพระอรหันตสาวกครั้งใหญ่ในโพธิกาลตามประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
พระอรหันตสาวกทั้งหมดนั้นจึงพร้อมเพรียงกันอยู่ ณ วัดเวฬุวันแล้ว ไม่ได้ต่างคนต่างมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ดังที่สอนกันผิดๆ แต่ประการใดเลย คืนวันนั้นพระจันทร์เพ็ญเด่นเวหา ทอแสงสว่างไสวไปทั่วพื้นนภา พระตถาคตเจ้าจึงทรงถือโอกาสนั้นแสดงโอวาทปาติโมกข์
สิ่งที่เรียกว่าโอวาทปาติโมกข์นั้นไม่ใช่พระปาติโมกข์ที่พระสงฆ์แสดงในพระอุโบสถในวันอุโบสถ หรือวันมหาปวารณา เพราะปาติโมกข์ที่พระสงฆ์แสดงในวันอุโบสถเหล่านั้นคือการแสดงพระวินัยให้ที่ประชุมสงฆ์ได้สดับเพื่อทบทวนพระวินัยทั้งหลายที่พระบรมศาสดาทรงบัญญัติไว้ ว่ามีเป็นอยู่อย่างนั้น และได้ประพฤติปฏิบัติถูกตรงตามพุทธบัญญัติหรือไม่ เพื่อเป็นบาทฐานแห่งศีลสังวร ในความบริสุทธิ์ของศีลแห่งภิกษุภาวะ
ส่วนโอวาทปาติโมกข์นั้นเป็นการวางหลักของการประพฤติปฏิบัติตนในพระธรรมวินัยของพระอริยเจ้าและเป็นการวางหลักการสอนในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะทรงสอนเหมือนกัน
โอวาทปาติโมกข์ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงแสดงนั้นมีใจความว่า
“ความอดทนคือความอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่ง
พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่านิพพานเป็นบรมธรรม
ทำร้ายผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต
เบียดเบียนผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
การไม่ทำบาปทั้งปวง
การทำกุศลให้ถึงพร้อม
การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
การไม่กล่าวร้ายผู้อื่น
การไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ความสำรวมในปาฏิโมกข์
ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร
การอยู่ในเสนาสนะที่สงัด
การประกอบความเพียรในอธิจิต
นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
นี่คือหลักการประพฤติปฏิบัติในการฝึกฝนอบรมตนของชาวพุทธ และในการประกาศพระธรรมคำสอนตามพระธรรมวินัยของพระบรมศาสดา ที่ชาวพุทธทั้งหลายพึงน้อมนำรำลึกในมาฆบูชาสมัยนี้ เพื่อให้ถึงซึ่งความเป็นเวไนยสัตว์และได้ลิ้มสัมผัสรสพระธรรมจงทั่วกันเทอญ.
วันวาเลนไทน์นั้นเป็นวันแห่งความรัก เป็นวันที่กำหนดขึ้นเพื่อเป็นเครื่องรำลึกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของนักบุญวาเลนไทน์ ที่มีและเผื่อแผ่ความรักแก่มวลมนุษย์สุดประมาณ
ไม่ใช่เป็นเทศกาลของความรักที่เป็นความใคร่ ดังที่พ่อค้าขายความรักที่แฝงความใคร่โหมกระแสกันอย่างครึกโครมในยุคปัจจุบัน จนทำให้สาระสำคัญของวันวาเลนไทน์ที่เผื่อแผ่ความรักออกไปยังภายนอก ออกไปยังมวลมนุษย์หมดสิ้นความหมายไป กระทั่งนักบุญวาเลนไทน์หากจะรับรู้ก็คงหลั่งน้ำตาให้กับการบิดเบือนของทุนนิยมสามานย์ในยุคปัจจุบัน
ส่วนวันมาฆบูชานั้น ถือกันว่าเป็นวันของพระสงฆ์ เพราะเป็นวันที่พระอริยสงฆ์สาวกที่เป็นพระอรหันต์ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบวชให้จำนวน 1,250 รูป มาประชุมกันครั้งใหญ่ที่สุดในโพธิกาล และพระบรมศาสดาทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์เพื่อเป็นหลักการประพฤติปฏิบัติและเป็นหลักในการประกาศพระธรรมวินัยในพระศาสนา
วันมาฆบูชาแปลว่าการบูชาในเทศกาลวันมาฆะ คือวันที่พระจันทร์เพ็ญโคจรอยู่ในกลุ่มดาวที่เรียกว่ากลุ่มดาวมาฆะ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ปกติที่มีขึ้นทุกปี คือในช่วงเดือนสามของปีปกติ หรือในช่วงเดือนสี่ของปีที่เป็นอธิกมาสหรือเป็นปีที่มีเดือนแปดสองหน ในช่วงเดือนนี้จะมีวันที่พระจันทร์เพ็ญในกลุ่มดาวมาฆะ วันนั้นจึงได้ชื่อว่าเป็นวันมาฆะ
และชาวพุทธก็ได้ปฏิบัติบูชาในวันมาฆะนี้ จึงเรียกว่าการบูชาในวันมาฆะ หรือที่เรียกกันเป็นภาษาคนวัดว่า การบูชาในวันมาฆะปูรณมี
การชุมนุมพระอริยสงฆ์ที่เป็นพระอรหันตสาวกที่พระบรมศาสดาทรงบวชให้ด้วยพระองค์เองนั้น เป็นการสำคัญในโพธิกาลของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ซึ่งพระพุทธเจ้าบางพระองค์ก็มีการชุมนุมพระอรหันต์ครั้งใหญ่แบบนี้ครั้งเดียวก็มี หลายครั้งก็มี โดยเฉพาะโพธิกาลที่มีอายุยาวนานมากๆ ก็จะมีการประชุมพระอรหันต์มากกว่า 1 ครั้ง แต่ในโพธิกาลของพระสมณะโคดมพุทธเจ้านั้น โพธิกาลสั้นคือชั่ว 45 ปี ดังนั้นจึงมีการประชุมพระอรหันต์ครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียว
การประชุมพระอรหันต์ครั้งใหญ่ในโพธิกาลของพระสมณะโคดมพุทธเจ้านั้นเกิดขึ้นในเดือนที่ 9 หลังการตรัสรู้ ซึ่งขณะนั้นมีพระอรหันต์บังเกิดขึ้นในโลกจำนวนทั้งสิ้น 1,340 รูป แต่ทรงส่งไปประกาศพระธรรมวินัยในถิ่นอื่นเสียสองรอบ รอบแรกจำนวน 60 รูป และรอบที่สองอีก 30 รูป จึงคงเหลือพระอรหันต์อยู่เพียง 1,250 รูป
จำนวนพระอรหันต์ 1,250 รูปนี้ประกอบด้วยพระอรหันต์ที่เคยเป็นชฎิลของกลุ่มชฎิลสามพี่น้องจำนวน 1,000 รูป เป็นพระอรหันต์ซึ่งเคยเป็นปริพาชกของกลุ่มพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตรจำนวน 250 รูป พระอรหันต์ทั้งหมดนี้ไม่มีรูปใดเคยเป็นพราหมณ์มาก่อน ดังนั้นที่เที่ยวจำ ที่เที่ยวสอนกันผิดๆ ว่าพระอรหันต์เหล่านั้นมาชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมาย เพราะเคยเป็นพราหมณ์มาก่อนและเป็นวันศิวาราตรี จึงมีความคุ้นเคยเดิมที่จะมาประชุมกัน จึงเป็นเรื่องที่คลาดเคลื่อนไม่เป็นความจริงอันเป็นไปในพระสูตร
พระอรหันต์ 1,250 รูปดังกล่าวนี้ องค์สุดท้ายที่ทำให้ครบ 1,250 รูปในวันนั้นคือพระสารีบุตร ซึ่งความจริงพระสารีบุตรแม้จะมีสติปัญญามาก แต่เมื่อเข้ารับอุปสมบทแล้วเพื่อนปริพาชกในกลุ่มทั้งหมด รวมทั้งพระโมคคัลลานะได้บรรลุความเป็นพระอรหันต์ก่อน คงเหลือแต่พระสารีบุตรองค์เดียวที่ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์
ในวันเพ็ญเดือน 3 ของเดือนที่ 9 หลังตรัสรู้ พระบรมศาสดาเสด็จไปโปรดพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งป่วยอยู่ในถ้ำสุกรขาตา พระสารีบุตรได้ตามเสด็จและถืองานพัด ในขณะที่พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมโปรดพระภิกษุป่วยนั้น
ไม่ปรากฏว่าพระภิกษุที่ป่วยและได้รับพระธรรมเทศนาครั้งนั้นจะได้บรรลุความเป็นพระอรหันต์หรือไม่ คงมีความปรากฏแต่เพียงว่าได้ดวงตาเห็นธรรม ส่วนพระสารีบุตรหลังจากฟังธรรมในถ้ำสุกรขาตานั้นแล้ว ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ และเป็นพระอรหันต์องค์ที่ 1,340 ของจำนวนทั้งหมด และเป็นองค์ที่ 1,250 ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 ปีนั้น
หลังจากทรงแสดงธรรมโปรดพระภิกษุป่วยแล้ว พระบรมศาสดาได้เสด็จกลับวัดเวฬุวัน ซึ่งพระอรหันต์ 1,249 รูป ได้พร้อมกันอยู่ที่วัดเวฬุวันนั้นแล้ว เมื่อพระสารีบุตรตามเสด็จมาสมทบจึงเป็น 1,250 รูป พระบรมศาสดาจึงใช้โอกาสนั้นประชุมพระอรหันตสาวกครั้งใหญ่ในโพธิกาลตามประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
พระอรหันตสาวกทั้งหมดนั้นจึงพร้อมเพรียงกันอยู่ ณ วัดเวฬุวันแล้ว ไม่ได้ต่างคนต่างมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ดังที่สอนกันผิดๆ แต่ประการใดเลย คืนวันนั้นพระจันทร์เพ็ญเด่นเวหา ทอแสงสว่างไสวไปทั่วพื้นนภา พระตถาคตเจ้าจึงทรงถือโอกาสนั้นแสดงโอวาทปาติโมกข์
สิ่งที่เรียกว่าโอวาทปาติโมกข์นั้นไม่ใช่พระปาติโมกข์ที่พระสงฆ์แสดงในพระอุโบสถในวันอุโบสถ หรือวันมหาปวารณา เพราะปาติโมกข์ที่พระสงฆ์แสดงในวันอุโบสถเหล่านั้นคือการแสดงพระวินัยให้ที่ประชุมสงฆ์ได้สดับเพื่อทบทวนพระวินัยทั้งหลายที่พระบรมศาสดาทรงบัญญัติไว้ ว่ามีเป็นอยู่อย่างนั้น และได้ประพฤติปฏิบัติถูกตรงตามพุทธบัญญัติหรือไม่ เพื่อเป็นบาทฐานแห่งศีลสังวร ในความบริสุทธิ์ของศีลแห่งภิกษุภาวะ
ส่วนโอวาทปาติโมกข์นั้นเป็นการวางหลักของการประพฤติปฏิบัติตนในพระธรรมวินัยของพระอริยเจ้าและเป็นการวางหลักการสอนในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะทรงสอนเหมือนกัน
โอวาทปาติโมกข์ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงแสดงนั้นมีใจความว่า
“ความอดทนคือความอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่ง
พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่านิพพานเป็นบรมธรรม
ทำร้ายผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต
เบียดเบียนผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
การไม่ทำบาปทั้งปวง
การทำกุศลให้ถึงพร้อม
การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
การไม่กล่าวร้ายผู้อื่น
การไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ความสำรวมในปาฏิโมกข์
ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร
การอยู่ในเสนาสนะที่สงัด
การประกอบความเพียรในอธิจิต
นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
นี่คือหลักการประพฤติปฏิบัติในการฝึกฝนอบรมตนของชาวพุทธ และในการประกาศพระธรรมคำสอนตามพระธรรมวินัยของพระบรมศาสดา ที่ชาวพุทธทั้งหลายพึงน้อมนำรำลึกในมาฆบูชาสมัยนี้ เพื่อให้ถึงซึ่งความเป็นเวไนยสัตว์และได้ลิ้มสัมผัสรสพระธรรมจงทั่วกันเทอญ.