**กระแสฟีเว่อร์ “กำนันสุเทพ”พุ่งต่อ หรือ ดับแสง หวังพึ่งการยกระดับ บุกบ้าน ยิ่งลักษณ์-รมต. เรียกระดมมวลชนครั้งใหญ่อีกคราว
สงครามกลางเมืองที่ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่ามันจะต้องทำให้ประเทศไทยลุกเป็นไฟอีกครั้ง เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา แต่สถานการณ์พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ถึงแม้ว่าแนวทางรณรงค์ให้มวลมหาประชาชน NO VOTE หรือไม่ออกจากบ้านไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ดูเหมือนจะมาถูกทาง สำหรับคนกทม.ที่มีผู้ออกไปใช้สิทธิประมาณ ร้อยละ 20 นิดๆ เท่านั้น รวมไปถึงภาคใต้ ที่ไม่มีผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์เจ้าของพื้นที่ลงแข่งขันเหมือนเคย ทำให้บรรยากาศการ เลือกตั้งในแถบนี้ค่อนข้างเงียบเหงา ส่วนจังหวัดในภาคเหนือและอีสานก็ยังฉลุยเหมือนเดิม กู้หน้าด้านๆ ของรัฐบาลกลับมาได้บ้าง
สุดท้ายแม้การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโมฆะหรือไม่ แต่ก็ถือว่าผ่านไปได้อย่างสงบ โดยไม่มีเหตุรุนแรงอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ หนทางที่ผู้ทรงเกียรติทั้งหลายจะตบเท้าเข้าสู่สภา อาจจะกินเวลาอีกนานหลายเดือน กว่าจะได้จำนวนเก้าอี้ ส.ส.ครบถ้วน งานหนักต่อจากนี้ จะตกเป็นของ กกต.
ทางฟาก กปปส. มีการประกาศชัยชนะกันครึกโครม ภายหลังการเลือกตั้งสิ้นสุดลง ปัญหาอยู่ที่ว่าการประกาศชัยชนะของบรรดาแกนนำ กปปส. นั้น มันคือชัยชนะจริงหรือไม่ และแนวทางต่อจากนี้ในการชุมนุม จะหยิบยกประเด็นใดขึ้นมาเป็นเป้าหมายอีก เพราะในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง “กำนันสุเทพ” มีคพแนนนิยมอย่างล้นหลาม ถึงขนาดลงพื้นที่ย่านคนไทยเชื้อสายจีน ที่ถนนเยาวราช ใช้เวลาเดินเก็บเงินบริจาค จากมวลชนที่มาตั้งแถวต้อนรับกว่าจะหลุดจากจุด นั้นมาได้ใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมง
**ในทางจิตวิทยาแล้ว วันที่ 2 ก.พ. ที่เป็นวันเลือกตั้ง ก็คือการชี้ชะตาของกำนันสุเทพ เช่นกันว่า การต่อสู้ยาวนานกว่า 4 เดือน จะประสบความสำเร็จสักแค่ไหน ทำให้กำลังใจจึงหลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย
จากนี้ไปถึงแม้ กกต.จะมีการประกาศวันเลือกตั้งล่วงหน้าขึ้นมาใหม่ เพื่อให้คนที่ได้ลงทะเบียนเอาไว้ แต่ยังไม่ได้ใช้สิทธิจะเกิดขึ้น แต่ยอมรับเถอะว่า อารมณ์ร่วมของมวลชนจะลดน้อยลงไปกว่า วันที่ 2 ก.พ. อย่างแน่นอน นั่นทำให้ แกนนำ กปปส. ต้องระดมความคิดกันอย่างหนัก การประชุมที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างเคร่งเครียดตลอดเวลา หัวเรือใหญ่อย่างกำนันสุเทพ ที่เรามักจะเห็นยิ้มโชว์ฟันขาว แต่เมื่อถึงเวลาประชุมเมื่อใด จะเกิดอาการ“หลุด”ความเกรี้ยวกราดออกมาเสมอ ๆ นั่นคงเป็นเพราะความกดดัน และความเครียดที่ถูกสะสมมานาน
สิ่งที่แกนนำ กปปส. ลงมติว่า จะต้องดำเนินการเป็นอย่างแรกหลังวันเลือกตั้งทั่วไป ก็คือ การประกาศยุบเวทีลาดพร้าว-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อให้มวลชนไปรวมกับเวทีสวนลุมพินี ที่ทางแกนนำอ้างว่า ห่วงความปลอดภัยของผู้ชุมนุม นั่นอาจจะเป็นเพียงเหตุผลส่วนหนึ่ง เพราะเวทีลาดพร้าว และเวทีอนุสาวรีย์ชัยฯ เคยตกเป็นจุดที่ถูกก่อกวนจากกองกำลังฝ่ายตรงข้ามมาแล้ว
แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แกนนำต้องทบทวนคือ จำนวนของมวลชน เพราะหาก กปปส. ยังดันทุรังตั้งเวทีถึง 7 แห่ง จำนวนมวลชนจะถูกกระจายไปตามเวทีต่างๆ ทำให้เวทีแต่ละแห่งมีมวลชนอยู่เพียงแค่หยิบมือ ซึ่งมันคงไม่คุ้มต่อค่าใช้จ่ายที่ต้องหมดไปในแต่ละแห่ง รวมไปถึงตัว“แกนนำ”ที่น่าจะดึงกลับเข้ามาช่วยเหลืองานของกำนันสุเทพ ที่ถูกวางให้วิ่งรอกขึ้นเวทีไม่ต่ำกว่า 3 จุดต่อวัน
กำนันสุเทพ จึงเริ่มงานแรกหลังจากประกาศชัยชนะเหนือรัฐบาลรักษาการ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยการเดินทางไกลกว่า 14 กิโลเมตร พามวลชนจากลาดพร้าวและอนุสาวรีย์ชัยฯ เดินกลับมายังสวนลุมพินี ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า กระแสฟีเว่อร์ของกำนันสุเทพ ลดน้อยลง อย่างน่าตกใจ เห็นได้จากจำนวนมวลชนที่เข้าร่วมขบวนครั้งนี้ ไม่ได้หนาแน่นเหมือนทุกครั้ง และประชาชนที่ตั้งแถวรอรับ และให้กำลังใจ ก็ไม่ได้มากเหมือนเคย
**การเดินระยะทางไกลเช่นนี้ หากย้อนกลับไปเมื่อ 3 วัน ก่อนการเลือกตั้ง กำนันสุเทพ และคณะ คงจะต้องใช้เวลาข้ามวัน แต่ครั้งนี้กลับเสียเวลาไปเพียง 3 ชั่วโมง เท่านั้น
บรรยากาศของความตึงเครียด หลังเวทีสวนลุม ฯ เกิดขึ้นทันที เมื่อขบวนของกำนันสุเทพ พร้อม 2 แกนนำหลัก อย่าง ถาวร เสนเนียม และ อิสสระ สมชัย ที่ต้องมารับผิดชอบดูแลเวทีสวนลุมฯ
จะด้วยเป็นเพราะกำนันสุเทพ มีอาการเหนื่อย หรือเครียดเพราะกระแสตกก็ไม่แน่ใจนัก ท่าทีการสั่งการต่อ ถาวร และ อิสสระ จึงเต็มไปด้วยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เรียกระดมแกนนำทุกคนมาประชุมบ่าย 3 โมงครึ่ง ที่โรงแรมดุสิตธานี พร้อมเรียกหัวหน้าการ์ด และ รปภ. แสตนด์บาย เตรียมถูกเรียกเข้ารับคำสั่ง ทำเอาทั้ง 2 คนได้แต่พยักหน้ารับคำสั่ง ครับ ๆ
กระแสของมวลชนที่มาร่วมชุมนุมที่ลดลง คงต้องทำให้ กปปส. ต้องหาเป้าหมายในการเรียกมวลชนครั้งใหม่ เพราะแนวทาง “เดินรณรงค์”ของกำนันสุเทพ ในช่วงที่ผ่านมา หากนับระยะทางแล้วได้หลายร้อยกิโลเมตร จนเริ่มกลายเป็นเรื่องชาชิน ของคนที่เคยเห็นไปเสียแล้ว
ดังนั้น กปปส.จึงต้องคิดมุกใหม่ ๆ ที่น่าจะมีความท้าทายอำนาจรัฐมากขึ้น โดยกำนันสุเทพ ประกาศยุทธการระดมมวลชน แยกย้ายปิดบ้านพักของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี รวมทั้งจะมีการจัดชุดเคลื่อนที่เร็วติดตามเป้าหมายที่สำคัญๆ ดังกล่าว
**การยกระดับการกดดันรัฐบาลครั้งนี้ จะสร้างความตื่นเต้นให้มวลชนกลับมาเข้าร่วมกับ กปปส.ได้มากเหมือนเคยหรือไม่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะได้รู้กัน
สงครามกลางเมืองที่ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่ามันจะต้องทำให้ประเทศไทยลุกเป็นไฟอีกครั้ง เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา แต่สถานการณ์พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ถึงแม้ว่าแนวทางรณรงค์ให้มวลมหาประชาชน NO VOTE หรือไม่ออกจากบ้านไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ดูเหมือนจะมาถูกทาง สำหรับคนกทม.ที่มีผู้ออกไปใช้สิทธิประมาณ ร้อยละ 20 นิดๆ เท่านั้น รวมไปถึงภาคใต้ ที่ไม่มีผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์เจ้าของพื้นที่ลงแข่งขันเหมือนเคย ทำให้บรรยากาศการ เลือกตั้งในแถบนี้ค่อนข้างเงียบเหงา ส่วนจังหวัดในภาคเหนือและอีสานก็ยังฉลุยเหมือนเดิม กู้หน้าด้านๆ ของรัฐบาลกลับมาได้บ้าง
สุดท้ายแม้การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโมฆะหรือไม่ แต่ก็ถือว่าผ่านไปได้อย่างสงบ โดยไม่มีเหตุรุนแรงอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ หนทางที่ผู้ทรงเกียรติทั้งหลายจะตบเท้าเข้าสู่สภา อาจจะกินเวลาอีกนานหลายเดือน กว่าจะได้จำนวนเก้าอี้ ส.ส.ครบถ้วน งานหนักต่อจากนี้ จะตกเป็นของ กกต.
ทางฟาก กปปส. มีการประกาศชัยชนะกันครึกโครม ภายหลังการเลือกตั้งสิ้นสุดลง ปัญหาอยู่ที่ว่าการประกาศชัยชนะของบรรดาแกนนำ กปปส. นั้น มันคือชัยชนะจริงหรือไม่ และแนวทางต่อจากนี้ในการชุมนุม จะหยิบยกประเด็นใดขึ้นมาเป็นเป้าหมายอีก เพราะในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง “กำนันสุเทพ” มีคพแนนนิยมอย่างล้นหลาม ถึงขนาดลงพื้นที่ย่านคนไทยเชื้อสายจีน ที่ถนนเยาวราช ใช้เวลาเดินเก็บเงินบริจาค จากมวลชนที่มาตั้งแถวต้อนรับกว่าจะหลุดจากจุด นั้นมาได้ใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมง
**ในทางจิตวิทยาแล้ว วันที่ 2 ก.พ. ที่เป็นวันเลือกตั้ง ก็คือการชี้ชะตาของกำนันสุเทพ เช่นกันว่า การต่อสู้ยาวนานกว่า 4 เดือน จะประสบความสำเร็จสักแค่ไหน ทำให้กำลังใจจึงหลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย
จากนี้ไปถึงแม้ กกต.จะมีการประกาศวันเลือกตั้งล่วงหน้าขึ้นมาใหม่ เพื่อให้คนที่ได้ลงทะเบียนเอาไว้ แต่ยังไม่ได้ใช้สิทธิจะเกิดขึ้น แต่ยอมรับเถอะว่า อารมณ์ร่วมของมวลชนจะลดน้อยลงไปกว่า วันที่ 2 ก.พ. อย่างแน่นอน นั่นทำให้ แกนนำ กปปส. ต้องระดมความคิดกันอย่างหนัก การประชุมที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างเคร่งเครียดตลอดเวลา หัวเรือใหญ่อย่างกำนันสุเทพ ที่เรามักจะเห็นยิ้มโชว์ฟันขาว แต่เมื่อถึงเวลาประชุมเมื่อใด จะเกิดอาการ“หลุด”ความเกรี้ยวกราดออกมาเสมอ ๆ นั่นคงเป็นเพราะความกดดัน และความเครียดที่ถูกสะสมมานาน
สิ่งที่แกนนำ กปปส. ลงมติว่า จะต้องดำเนินการเป็นอย่างแรกหลังวันเลือกตั้งทั่วไป ก็คือ การประกาศยุบเวทีลาดพร้าว-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อให้มวลชนไปรวมกับเวทีสวนลุมพินี ที่ทางแกนนำอ้างว่า ห่วงความปลอดภัยของผู้ชุมนุม นั่นอาจจะเป็นเพียงเหตุผลส่วนหนึ่ง เพราะเวทีลาดพร้าว และเวทีอนุสาวรีย์ชัยฯ เคยตกเป็นจุดที่ถูกก่อกวนจากกองกำลังฝ่ายตรงข้ามมาแล้ว
แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แกนนำต้องทบทวนคือ จำนวนของมวลชน เพราะหาก กปปส. ยังดันทุรังตั้งเวทีถึง 7 แห่ง จำนวนมวลชนจะถูกกระจายไปตามเวทีต่างๆ ทำให้เวทีแต่ละแห่งมีมวลชนอยู่เพียงแค่หยิบมือ ซึ่งมันคงไม่คุ้มต่อค่าใช้จ่ายที่ต้องหมดไปในแต่ละแห่ง รวมไปถึงตัว“แกนนำ”ที่น่าจะดึงกลับเข้ามาช่วยเหลืองานของกำนันสุเทพ ที่ถูกวางให้วิ่งรอกขึ้นเวทีไม่ต่ำกว่า 3 จุดต่อวัน
กำนันสุเทพ จึงเริ่มงานแรกหลังจากประกาศชัยชนะเหนือรัฐบาลรักษาการ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยการเดินทางไกลกว่า 14 กิโลเมตร พามวลชนจากลาดพร้าวและอนุสาวรีย์ชัยฯ เดินกลับมายังสวนลุมพินี ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า กระแสฟีเว่อร์ของกำนันสุเทพ ลดน้อยลง อย่างน่าตกใจ เห็นได้จากจำนวนมวลชนที่เข้าร่วมขบวนครั้งนี้ ไม่ได้หนาแน่นเหมือนทุกครั้ง และประชาชนที่ตั้งแถวรอรับ และให้กำลังใจ ก็ไม่ได้มากเหมือนเคย
**การเดินระยะทางไกลเช่นนี้ หากย้อนกลับไปเมื่อ 3 วัน ก่อนการเลือกตั้ง กำนันสุเทพ และคณะ คงจะต้องใช้เวลาข้ามวัน แต่ครั้งนี้กลับเสียเวลาไปเพียง 3 ชั่วโมง เท่านั้น
บรรยากาศของความตึงเครียด หลังเวทีสวนลุม ฯ เกิดขึ้นทันที เมื่อขบวนของกำนันสุเทพ พร้อม 2 แกนนำหลัก อย่าง ถาวร เสนเนียม และ อิสสระ สมชัย ที่ต้องมารับผิดชอบดูแลเวทีสวนลุมฯ
จะด้วยเป็นเพราะกำนันสุเทพ มีอาการเหนื่อย หรือเครียดเพราะกระแสตกก็ไม่แน่ใจนัก ท่าทีการสั่งการต่อ ถาวร และ อิสสระ จึงเต็มไปด้วยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เรียกระดมแกนนำทุกคนมาประชุมบ่าย 3 โมงครึ่ง ที่โรงแรมดุสิตธานี พร้อมเรียกหัวหน้าการ์ด และ รปภ. แสตนด์บาย เตรียมถูกเรียกเข้ารับคำสั่ง ทำเอาทั้ง 2 คนได้แต่พยักหน้ารับคำสั่ง ครับ ๆ
กระแสของมวลชนที่มาร่วมชุมนุมที่ลดลง คงต้องทำให้ กปปส. ต้องหาเป้าหมายในการเรียกมวลชนครั้งใหม่ เพราะแนวทาง “เดินรณรงค์”ของกำนันสุเทพ ในช่วงที่ผ่านมา หากนับระยะทางแล้วได้หลายร้อยกิโลเมตร จนเริ่มกลายเป็นเรื่องชาชิน ของคนที่เคยเห็นไปเสียแล้ว
ดังนั้น กปปส.จึงต้องคิดมุกใหม่ ๆ ที่น่าจะมีความท้าทายอำนาจรัฐมากขึ้น โดยกำนันสุเทพ ประกาศยุทธการระดมมวลชน แยกย้ายปิดบ้านพักของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี รวมทั้งจะมีการจัดชุดเคลื่อนที่เร็วติดตามเป้าหมายที่สำคัญๆ ดังกล่าว
**การยกระดับการกดดันรัฐบาลครั้งนี้ จะสร้างความตื่นเต้นให้มวลชนกลับมาเข้าร่วมกับ กปปส.ได้มากเหมือนเคยหรือไม่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะได้รู้กัน