คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้พรรณนาถึงพฤติกรรมชั่วช้าเลวทรามของเหล่าขี้ข้าสภาทาสอย่างชัดเจน และผลของคำวินิจฉัยนี้ย่อมผูกพันองค์กรทั้งปวง
ดังนั้นเมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยตัดสินคดีเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว จึงต้องมาทำความรู้ความเข้าใจกันว่าศาลได้วินิจฉัยอะไรบ้าง และจะมีผลอย่างไรต่อไปในเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน อันจะเป็นประโยชน์ต่อการขจัดความสับสนที่คนบางหมู่บางเหล่าพยายามแถเถือกกันอยู่
จะขอสรุปคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทั้งในส่วนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อเป็นที่รู้และเข้าใจกันดังต่อไปนี้
ประการแรก เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับเรื่องร้องขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญและมีอำนาจวินิจฉัยหรือไม่ ในข้อนี้ศาลตัดสินว่าศาลมีอำนาจวินิจฉัย ซึ่งความจริงก็ไม่น่าจะมีความสับสนอะไรเลย เพราะรัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ชัดเจนว่าเป็นอำนาจโดยเฉพาะของศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนที่พวกนักแถทั้งหลายพิพากษาเอาเองว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับเรื่องและไม่มีอำนาจวินิจฉัยนั้น เป็นพวกที่ไม่รู้จักตัวเอง ตั้งตนเป็นศาลเตี้ย หาคุณค่าราคาใด ๆ ไม่ได้เลย
ประการที่สอง เป็นปัญหาหารือบท คือเป็นทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลได้วินิจฉัยในเชิงอบรมสั่งสอนคนทั้งหลายว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทยนั้นเป็นระบอบที่มีการถ่วงดุลกันระหว่างอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ในส่วนอำนาจนิติบัญญัตินั้นมีสองสภาฯ คือสภาผู้แทนและวุฒิสภา โดยสมาชิกวุฒิสภามีสองประเภท คือสมาชิกที่มาจากการสรรหาและสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นโครงสร้างที่รัฐธรรมนูญบัญญัติเพื่อป้องกันเผด็จการและการยึดครองอำนาจทั้งหมดของนักการเมือง และระบอบประชาธิปไตยนั้นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของนิติรัฐ ความสัตย์สุจริต และการคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน ซึ่งเป็นความชัดเจน น่าแซ่ซ้องสาธุการ
ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้งอย่างเดียว หรือเลือกตั้งได้เสียงข้างมากแล้วจะสามารถโกงชาติ ขายชาติ ปล้นชาติ หรือทำชั่วช้าเลวทรามอย่างใดก็ได้ ดังที่นักแถกำลังพล่ามกันอยู่ในขณะนี้
ประการที่สาม ศาลตัดสินว่าร่างรัฐธรรมนูญที่สมาชิกเข้าชื่อกันยื่นต่อรัฐสภากับฉบับที่รัฐสภาใช้ในการพิจารณาเป็นคนละฉบับกัน โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงหลักการจากเดิม และมีการเพิ่มเติมข้อความมากมายนอกหลักการ ไม่ใช่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่สมาชิกรัฐสภาเข้าชื่อกันยื่นต่อรัฐสภา หรือที่พูดภาษาชาวบ้านได้ว่ามีการปลอมร่างรัฐธรรมนูญให้สภาพิจารณา ซึ่งเป็นการบังอาจมากๆ
การปลอมร่างรัฐธรรมนูญให้รัฐสภาพิจารณา การสุมหัวกันพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่ปลอมแปลงขึ้น และการดึงดันเอาร่างรัฐธรรมนูญที่ปลอมแปลงนั้นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระเจ้าอยู่หัวย่อมเป็นความผิดทางอาญาฐานปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารปลอมและเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง
ความผิด ความชั่วเลวทรามในประการนี้ พวกนักแถทั้งหลายแถไม่ออก บอกไม่ถูก ได้แต่รอคุกตะรางอย่างเดียวเท่านั้น!
ประการที่สี่ ศาลตัดสินว่าการลงคะแนนร่างรัฐธรรมนูญมีการใช้บัตรแสดงตัวแทนกันและมีการลงคะแนนแทนกัน ซึ่งขัดกับกฎหมายและรัฐธรรมนูญ โดยวินิจฉัยอย่างจะแจ้งว่าผู้ที่ไม่ได้เข้าประชุมได้มอบบัตรให้คนอื่นไปแสดงตัวและลงคะแนนแทน และมีการแสดงตัวและลงคะแนนแทนสมาชิกอื่นจำนวนมาก นี่คือการโกงคะแนนอย่างหน้าด้านๆ
เป็นการกระทำที่ใช้อำนาจหน้าที่ที่ทุจริตทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายที่ไม่ได้ไปประชุมแต่ให้บัตรแก่คนอื่นไปแสดงตัวและลงคะแนนแทน และผู้ที่เอาบัตรมาแสดงตัวและลงคะแนนแทนคนอื่น
การโกงคะแนนแบบนี้เป็นวิชาของสำนักอัปรีย์แห่งนี้ ที่ทำกันชนิดไม่เกรงฟ้า ไม่อายดินตลอดมา ดังนั้นเหล่านักแถจึงแถไม่ออก บอกไม่ถูก ได้แต่รอเข้าคุกเข้าตะรางอย่างเดียวกัน
ประการที่ห้า ศาลตัดสินว่าการกำหนดระยะเวลาให้สมาชิกรัฐสภาแปรญัตติขัดต่อข้อบังคับ ขัดกฎหมายและขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากได้กำหนดให้นับเวลาย้อนหลังจากวันประชุม ทำให้เวลาที่เหลืออยู่น้อยกว่าที่กำหนดในข้อบังคับของสภาฯ
นี่คือการโกงเวลาอย่างหน้าด้านหน้าทน เป็นเรื่องน่าอัปยศอดสู และเป็นความผิดฐานทุจริตในการใช้อำนาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา โดยเฉพาะผู้ที่ใช้อำนาจหน้าที่ทุจริตกำหนดเวลาที่มีลักษณะโกงเวลาดังกล่าว
ในประเด็นนี้พวกนักแถก็แถไม่ออก บอกไม่ถูกเหมือนกัน และต้องคอยคุกคอยตะรางอย่างเดียวกันด้วย
ประการที่หก ศาลตัดสินว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ ส.ส.ที่พ้นตำแหน่งไปสมัคร ส.ว.ได้ก็ดี การที่ ส.ว.ที่พ้นจากตำแหน่งแล้วไปสมัครเป็น ส.ว.ได้อีกครั้งหนึ่งเลยทันที เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ ส.ส. และ ส.ว.ที่ออกเสียงลงมติ เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
นี่คือสิ่งที่พี่น้องเสื้อแดงจะได้ทำความเข้าใจว่าที่พวกนักแถอ้างว่าการแก้ไขเพื่อประชาชนนั้น แท้จริงเป็นการแก้ไขเพื่อตนเองจะได้เป็นขี้ข้ากันต่อไปบนหัวของประชาชนเท่านั้น
ประการที่เจ็ด ศาลตัดสินว่าการแก้ไขคุณสมบัติ ส.ส. และ ส.ว. รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงที่มาของ ส.ว.ให้เหลือแต่ ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเป็นการแสวงหาอำนาจที่ไม่ใช่วิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ จึงทำให้รัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ
นี่เป็นการวินิจฉัยในเนื้อหาของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
พวกนักแถคิดว่าประชาชนจะเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร จึงแถว่าประชาธิปไตยต้องถือเอาการเลือกตั้งของประชาชนเป็นหลัก การแก้ไขให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดจึงเป็นประชาธิปไตย คำตัดสินของศาลไม่เป็นประชาธิปไตย
เป็นการแถบนก้อนหิน ที่มีแต่หนังจะฉีกขาดอย่างเดียวเท่านั้น เพราะศาลได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญได้กำหนดโครงสร้างแห่งรัฐไว้อย่างไร การไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแห่งรัฐในลักษณะที่เอื้อต่อประโยชน์ต่อนักการเมืองที่จะควบคุมอำนาจทั้งหมดไว้ไม่ใช่ประชาธิปไตย
ประการที่แปด ศาลตัดสินว่ากรณียังไม่เข้าข่ายที่จะยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของพรรคการเมืองที่การร้องขอให้ยุบ จึงให้ยกคำร้องส่วนนี้
นักแถหยิบเอาข้อนี้มาแถว่า ถ้าทำผิด ทำไมศาลไม่ยุบพรรค เป็นการแถแบบเถือก เพราะสมาชิกรัฐสภากับพรรคการเมืองเป็นคนละคนกัน เมื่อข้อเท็จจริงยังไม่ชัดเจนว่าพรรคการเมืองกระทำความผิด ศาลก็ยุบพรรคไม่ได้
การที่พวกนักแถออกมาแถลงไม่รับอำนาจศาล ก็เพราะรู้ตัวดีว่าชะตาถึงฆาตแล้ว เนื่องจากรู้ตัวดีว่าได้กระทำผิดคิดชั่วต่อแผ่นดินหนักหนาสาหัสนัก จึงแถเถือกครั้งสุดท้าย จะได้ไปลงเหวยกเข่งพร้อมๆ กัน!
ดังนั้นเมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยตัดสินคดีเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว จึงต้องมาทำความรู้ความเข้าใจกันว่าศาลได้วินิจฉัยอะไรบ้าง และจะมีผลอย่างไรต่อไปในเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน อันจะเป็นประโยชน์ต่อการขจัดความสับสนที่คนบางหมู่บางเหล่าพยายามแถเถือกกันอยู่
จะขอสรุปคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทั้งในส่วนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อเป็นที่รู้และเข้าใจกันดังต่อไปนี้
ประการแรก เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับเรื่องร้องขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญและมีอำนาจวินิจฉัยหรือไม่ ในข้อนี้ศาลตัดสินว่าศาลมีอำนาจวินิจฉัย ซึ่งความจริงก็ไม่น่าจะมีความสับสนอะไรเลย เพราะรัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ชัดเจนว่าเป็นอำนาจโดยเฉพาะของศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนที่พวกนักแถทั้งหลายพิพากษาเอาเองว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับเรื่องและไม่มีอำนาจวินิจฉัยนั้น เป็นพวกที่ไม่รู้จักตัวเอง ตั้งตนเป็นศาลเตี้ย หาคุณค่าราคาใด ๆ ไม่ได้เลย
ประการที่สอง เป็นปัญหาหารือบท คือเป็นทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลได้วินิจฉัยในเชิงอบรมสั่งสอนคนทั้งหลายว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทยนั้นเป็นระบอบที่มีการถ่วงดุลกันระหว่างอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ในส่วนอำนาจนิติบัญญัตินั้นมีสองสภาฯ คือสภาผู้แทนและวุฒิสภา โดยสมาชิกวุฒิสภามีสองประเภท คือสมาชิกที่มาจากการสรรหาและสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นโครงสร้างที่รัฐธรรมนูญบัญญัติเพื่อป้องกันเผด็จการและการยึดครองอำนาจทั้งหมดของนักการเมือง และระบอบประชาธิปไตยนั้นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของนิติรัฐ ความสัตย์สุจริต และการคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน ซึ่งเป็นความชัดเจน น่าแซ่ซ้องสาธุการ
ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้งอย่างเดียว หรือเลือกตั้งได้เสียงข้างมากแล้วจะสามารถโกงชาติ ขายชาติ ปล้นชาติ หรือทำชั่วช้าเลวทรามอย่างใดก็ได้ ดังที่นักแถกำลังพล่ามกันอยู่ในขณะนี้
ประการที่สาม ศาลตัดสินว่าร่างรัฐธรรมนูญที่สมาชิกเข้าชื่อกันยื่นต่อรัฐสภากับฉบับที่รัฐสภาใช้ในการพิจารณาเป็นคนละฉบับกัน โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงหลักการจากเดิม และมีการเพิ่มเติมข้อความมากมายนอกหลักการ ไม่ใช่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่สมาชิกรัฐสภาเข้าชื่อกันยื่นต่อรัฐสภา หรือที่พูดภาษาชาวบ้านได้ว่ามีการปลอมร่างรัฐธรรมนูญให้สภาพิจารณา ซึ่งเป็นการบังอาจมากๆ
การปลอมร่างรัฐธรรมนูญให้รัฐสภาพิจารณา การสุมหัวกันพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่ปลอมแปลงขึ้น และการดึงดันเอาร่างรัฐธรรมนูญที่ปลอมแปลงนั้นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระเจ้าอยู่หัวย่อมเป็นความผิดทางอาญาฐานปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารปลอมและเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง
ความผิด ความชั่วเลวทรามในประการนี้ พวกนักแถทั้งหลายแถไม่ออก บอกไม่ถูก ได้แต่รอคุกตะรางอย่างเดียวเท่านั้น!
ประการที่สี่ ศาลตัดสินว่าการลงคะแนนร่างรัฐธรรมนูญมีการใช้บัตรแสดงตัวแทนกันและมีการลงคะแนนแทนกัน ซึ่งขัดกับกฎหมายและรัฐธรรมนูญ โดยวินิจฉัยอย่างจะแจ้งว่าผู้ที่ไม่ได้เข้าประชุมได้มอบบัตรให้คนอื่นไปแสดงตัวและลงคะแนนแทน และมีการแสดงตัวและลงคะแนนแทนสมาชิกอื่นจำนวนมาก นี่คือการโกงคะแนนอย่างหน้าด้านๆ
เป็นการกระทำที่ใช้อำนาจหน้าที่ที่ทุจริตทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายที่ไม่ได้ไปประชุมแต่ให้บัตรแก่คนอื่นไปแสดงตัวและลงคะแนนแทน และผู้ที่เอาบัตรมาแสดงตัวและลงคะแนนแทนคนอื่น
การโกงคะแนนแบบนี้เป็นวิชาของสำนักอัปรีย์แห่งนี้ ที่ทำกันชนิดไม่เกรงฟ้า ไม่อายดินตลอดมา ดังนั้นเหล่านักแถจึงแถไม่ออก บอกไม่ถูก ได้แต่รอเข้าคุกเข้าตะรางอย่างเดียวกัน
ประการที่ห้า ศาลตัดสินว่าการกำหนดระยะเวลาให้สมาชิกรัฐสภาแปรญัตติขัดต่อข้อบังคับ ขัดกฎหมายและขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากได้กำหนดให้นับเวลาย้อนหลังจากวันประชุม ทำให้เวลาที่เหลืออยู่น้อยกว่าที่กำหนดในข้อบังคับของสภาฯ
นี่คือการโกงเวลาอย่างหน้าด้านหน้าทน เป็นเรื่องน่าอัปยศอดสู และเป็นความผิดฐานทุจริตในการใช้อำนาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา โดยเฉพาะผู้ที่ใช้อำนาจหน้าที่ทุจริตกำหนดเวลาที่มีลักษณะโกงเวลาดังกล่าว
ในประเด็นนี้พวกนักแถก็แถไม่ออก บอกไม่ถูกเหมือนกัน และต้องคอยคุกคอยตะรางอย่างเดียวกันด้วย
ประการที่หก ศาลตัดสินว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ ส.ส.ที่พ้นตำแหน่งไปสมัคร ส.ว.ได้ก็ดี การที่ ส.ว.ที่พ้นจากตำแหน่งแล้วไปสมัครเป็น ส.ว.ได้อีกครั้งหนึ่งเลยทันที เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ ส.ส. และ ส.ว.ที่ออกเสียงลงมติ เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
นี่คือสิ่งที่พี่น้องเสื้อแดงจะได้ทำความเข้าใจว่าที่พวกนักแถอ้างว่าการแก้ไขเพื่อประชาชนนั้น แท้จริงเป็นการแก้ไขเพื่อตนเองจะได้เป็นขี้ข้ากันต่อไปบนหัวของประชาชนเท่านั้น
ประการที่เจ็ด ศาลตัดสินว่าการแก้ไขคุณสมบัติ ส.ส. และ ส.ว. รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงที่มาของ ส.ว.ให้เหลือแต่ ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเป็นการแสวงหาอำนาจที่ไม่ใช่วิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ จึงทำให้รัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ
นี่เป็นการวินิจฉัยในเนื้อหาของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
พวกนักแถคิดว่าประชาชนจะเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร จึงแถว่าประชาธิปไตยต้องถือเอาการเลือกตั้งของประชาชนเป็นหลัก การแก้ไขให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดจึงเป็นประชาธิปไตย คำตัดสินของศาลไม่เป็นประชาธิปไตย
เป็นการแถบนก้อนหิน ที่มีแต่หนังจะฉีกขาดอย่างเดียวเท่านั้น เพราะศาลได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญได้กำหนดโครงสร้างแห่งรัฐไว้อย่างไร การไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแห่งรัฐในลักษณะที่เอื้อต่อประโยชน์ต่อนักการเมืองที่จะควบคุมอำนาจทั้งหมดไว้ไม่ใช่ประชาธิปไตย
ประการที่แปด ศาลตัดสินว่ากรณียังไม่เข้าข่ายที่จะยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของพรรคการเมืองที่การร้องขอให้ยุบ จึงให้ยกคำร้องส่วนนี้
นักแถหยิบเอาข้อนี้มาแถว่า ถ้าทำผิด ทำไมศาลไม่ยุบพรรค เป็นการแถแบบเถือก เพราะสมาชิกรัฐสภากับพรรคการเมืองเป็นคนละคนกัน เมื่อข้อเท็จจริงยังไม่ชัดเจนว่าพรรคการเมืองกระทำความผิด ศาลก็ยุบพรรคไม่ได้
การที่พวกนักแถออกมาแถลงไม่รับอำนาจศาล ก็เพราะรู้ตัวดีว่าชะตาถึงฆาตแล้ว เนื่องจากรู้ตัวดีว่าได้กระทำผิดคิดชั่วต่อแผ่นดินหนักหนาสาหัสนัก จึงแถเถือกครั้งสุดท้าย จะได้ไปลงเหวยกเข่งพร้อมๆ กัน!