xs
xsm
sm
md
lg

ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

เอกภาพทางการปฏิบัติ มาจากเอกภาพทางความคิด
เอกภาพทางความคิด เกิดจากการเข้าถึง “ความจริง”
(ในระดับ “กฎ” หรือ “สัจธรรม”)


“ความจริง” ที่ต้องทำความกระจ่างในหมู่มวลชน (สร้างฐานความคิดขับเคลื่อน กระบวนการการเปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติประเทศไทย)

ประเทศไทยได้เคลื่อนมาถึงจุดเปลี่ยน (“กฎภววิสัย”กำหนด/ “ธรรม”จัดสรร)จริงๆ (แก้ปัญหาติดตันภายใน/อุปสรรคขัดขวางการพัฒนาก้าวหน้าของสังคมไทย/คนไทยตื่นรู้ถึงปมปัญหา)โดยการ “กระทำ”ของเหตุปัจจัยต่างๆ ทั้งภายนอก/ภายใน ทั้งทางภววิสัย/อัตวิสัย (เงื่อนไขพื้นฐาน/ปัจจัยชี้ขาด/ความถูกต้องของความคิดทฤษฎีชี้นำ)

ในอดีตมีความพยายามเปลี่ยนแปลงประเทศไทยหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ ทำได้ครึ่งๆกลางๆ (เช่นการปฏิรูปสมัย ร.5/2450 การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475และการทำสงครามประชาชนของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี 2507-2524) เพราะประเทศไทยยังไม่เคลื่อนมาถึงจุดเปลี่ยนจริงๆ (ปมปัญหาภายในยังไม่แสดงออกชัดเจน/เต็มที่) ความพยายามเปลี่ยนแปลงล้วนแต่เป็นเพราะผลสะเทือนทางความคิดจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยภายนอก ไม่สอดคล้องกับกฎภววิสัยภายในที่กำกับการขับเคลื่อนของสังคมไทย ให้ดำเนินไปได้เรื่อยๆ แม้จะเชื่องช้า/ติดๆขัดๆแบบ “ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง” ทำให้ “การเปลี่ยนแปลง”ดำเนินไปอย่างผิวเผิน ไม่เกิดผลต่อเนื่อง ไม่กระทบถึงแก่นแกนของสังคมไทย

เหตุปัจจัยที่กลายเป็น “เงื่อนไข” กำหนดได้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างแท้จริง(การอุบัติขึ้นของ

“อำนาจทักษิณ” กับ คนไทย “ทุกฝ่าย”ที่ประกอบกันเข้าเป็น “อำนาจประชาชน”)

ในปี 2544 ภายหลังได้ชัยชนะเด็ดขาดในการเลือกตั้งทั่วไป รัฐบาลพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้สถาปนา “อำนาจทักษิณ”ขึ้นอย่างรวดเร็ว มุ่งหมายครอบครองประเทศไทยไว้ในมือแต่เพียงผู้เดียว

“อำนาจทักษิณ” ได้กลายเป็น “ตัวแปรใหญ่” ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้อย่างเป็นจริง ทั้งนี้ “อำนาจทักษิณ” เติบใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยการใช้กลไกอำนาจรัฐ(ในฐานะเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศแบบเบ็ดเสร็จ)เป็นเครื่องมือ ขยายฐานของความเป็น “อำนาจกำหนด” (ด้านหลักของคู่ขัดแย้งหลัก)เปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปตามเจตนารมณ์ของตน โดยถือเอาผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง ซึ่งเมื่อทำสำเร็จ เขาและตระกูลของเขาก็จะกลายเป็น “ผู้ครอบครอง” ประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

แต่ในทันทีทันใด การกระทำของ “อำนาจทักษิณ” ได้กลายเป็นเหตุปัจจัยสำคัญ กระตุ้นให้ “คนไทยทุกฝ่าย” ที่ “รู้ทัน” พากันรวมตัวกันเข้าเป็น “อำนาจประชาชน” ดำเนินการต่อสู้กับ “อำนาจทักษิณ” ในฐานะ “ด้านรองของคู่ขัดแย้งหลัก” แต่ก็ได้รับชัยชนะมาเป็นระยะๆ ซึ่งคาดว่า เมื่อ “อำนาจประชาชน” สั่งสมชัยชนะได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนเข้มแข็งเติบใหญ่ ก็จะสามารถเผด็จศึก “อำนาจทักษิณ” ได้ในที่สุด (แปรเปลี่ยนจากด้านรองเป็นด้านหลักของคู่ขัดแย้งหลัก) ประเทศไทยก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์และความเรียกร้องต้องการของคนไทยโดยรวมอย่างแท้จริง ซึ่งก็คือประเทศไทยที่เจริญรุ่งเรือง สังคมก้าวหน้า คนไทยเป็นสุข

ลำดับการต่อสู้ระหว่าง “อำนาจทักษิณ”กับ “อำนาจประชาชน”

การต่อสู้แบ่งเป็น 3 ระลอก

ระลอกแรก ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2548 ถึงวันที่ 19 กันยายน 2549 “คนไทยทุกฝ่าย” ร่วมกันเปิดโปงพฤติกรรมฉ้อฉลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีมวลชนเข้าร่วมมืดฟ้ามัวดิน และนำไปสู่การทำรัฐประหารโดยทหาร ล้มรัฐบาลทักษิณ(มีทหารแสดงบทบาทเป็น “ตัวช่วย” ล้มอำนาจทักษิณ)

ระลอกที่สอง ตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม – ต้นเดือนธันวาคม 2551 “คนไทยทุกฝ่าย” โดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและพรรคประชาธิปัตย์ นำมวลชนชุมนุมประท้วงรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ที่พยายามแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญให้เป็นประโยชน์ต่อ “อำนาจทักษิณ” และได้ยกระดับเป็นการขับไล่รัฐบาลสมัคร ที่นำไปสู่การตัดสินคดี “ชิมไปบ่นไป”ของศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้นายสมัครหลุดจากตำแหน่งนายกฯ และเมื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ขึ้นเป็นนายกฯต่อก็ต้องหลุดจากตำแหน่งไปจากคำตัดสินคดีกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน (ไทยรักไทยเดิม)ทำผิดกฎหมายพรรคการเมือง โดยศาลรัฐธรรมนูญไปในที่สุด(มีศาลรัฐธรรมนูญแสดงบทบาทเป็น “ตัวช่วย” ล้มอำนาจทักษิณ)

ระลอกที่สาม ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2556 -ปัจจุบัน “คนไทยทุกฝ่าย” ประกอบด้วย 3 กลุ่มมวลชนสำคัญๆ คือ 1.มวลชนที่ชุมนุมอยู่ตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณและคณะฯ 2.มวลชนที่ชุมนุมอยู่ตรงสะพานผ่านฟ้าฯ นำโดยกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ กองทัพธรรม และภาคีเครือข่ายประชาชน 77 จังหวัด 3.มวลชนที่ชุมนุมอยู่ตรงใกล้สะพานมัฆวานฯ นำโดยเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย

โดยทั้งสามกลุ่มนี้ ร่วมกันเคลื่อนไหวต่อต้านการผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม(เช้าตรู่วันที่ 1 พ.ย.56) อย่างพร้อมเพรียงกัน และต่อมา(วันที่ 11 พ.ย.56) กลุ่มมวลชนอนุสาวรีย์ฯก็มีมติยกระดับการต่อสู้เป็นขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ (ล้มอำนาจทักษิณ)แต่ยังไม่มีการพูดถึงการเปลี่ยนแปลง/ปฏิรูปประเทศไทยแต่ประการใด ขณะที่ มวลชนกลุ่มสะพานผ่านฟ้าฯได้ชูธงการต่อสู้ไปถึงขั้นของการปฏิรูป(และในวันเดียวกันนั้น ก็ได้ยกระดับสู่การ “ปฏิวัติประชาชน”) เช่นเดียวกันกับมวลชนกลุ่มสะพานมัฆวานฯที่ชูธงปฏิรูปประเทศไทยตั้งแต่เริ่มแรก

ผลจะลงเอยกันอย่างไร ? จะมี “ตัวช่วย” ออกมาเล่นด้วยหรือไม่ ?

แบบที่ 1
ผลลงเอยด้วยชัยชนะเด็ดขาดของ “มวลชน” คลื่นมวลมหาชนจำนวนหลายแสน “กดดัน” อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย.56 เพิ่มขึ้นทุกวัน ยังผลให้ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องล้มลง อำนาจทักษิณถูกทำลายลงอย่างมีนัยสำคัญ

แบบที่ 2 การต่อสู้ยืดเยื้อ ขนาดมวลชนไม่โตต่อเนื่อง (สังคมพอใจในชัยชนะขั้นแรก/ยับยั้ง พ.ร.บ.นิรโทษฯ”ได้)ขณะที่รัฐบาลก็หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงจัดการกับมวลชน กินกันไม่ลง และทั้งสองฝ่าย “ขาดตัวช่วย” ต้องนั่งลงเจรจากัน ตามเสียงเรียกร้องของหลายๆฝ่ายในสังคม ซึ่งเราต้องพยายามใช้เงื่อนไขดังกล่าวเป็น “โอกาส” นำเสนอ “ทางออก” สองประการ ที่ประชาชนรับได้และสนับสนุน นั่นคือ ประการแรก ประเทศไทยต้องไม่มีนักการเมือง ประการที่สอง “คนไทยทุกฝ่าย” มาร่วมกันใช้อำนาจผ่านทาง “สภาประชาชน” (เวทีอำนาจของประชาชนจริงๆ) ถ้าตกลงกันไม่ได้บนโต๊ะเจรจา ก็ต้องทำการลงประชามติ

แบบที่ 3 การต่อสู้พลิกสู่ความรุนแรง มีการใช้อาวุธสงครามกับผู้ชุมนุม สร้างความโกรธแค้นให้แก่มวลชน ทำการตอบโต้ด้วยความรุนแรง เกิดกลียุคยิ่งกว่าเมื่อครั้ง นปช.เผากรุงเทพฯในปี 2553 กองทัพก็จะเคลื่อนกำลังออกมารักษาความสงบ (หากกองทัพยังคงความเป็นเอกภาพ) ในกรณีเช่นนี้ ใครแพ้ชนะระหว่างอำนาจประชาชนกับอำนาจทักษิณ ชี้ขาดอยู่ที่ “จุดยืน” ของกองทัพไทย

ถ้าสถานการณ์ถลำลงสู่วิกฤติเกินกว่าที่ทุกฝ่ายคาดคิด (กองทัพแตกแยกเป็นสองฝ่าย คือเข้าร่วมกับอำนาจประชาชนฝ่ายหนึ่ง และเข้าร่วมกันอำนาจทักษิณอีกฝ่ายหนึ่ง) ก็จะเกิดสงครามกลางเมืองขนานใหญ่ โอกาสที่มหาอำนาจเช่นจีน สหรัฐฯ เป็นต้น จะเข้ามาแทรกแซง ก็เป็นไปได้สูง

ภารกิจหลักของเราจึงอยู่ที่ทำให้เกิดผลแบบที่ 1 หรืออย่างน้อยก็แบบที่ 2 เพื่อให้บรรลุสู่การเปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติประเทศไทยได้อย่างสันติ ในที่สุด

“หัวใจ”คือการสร้าง “อำนาจประชาชน” ให้ใหญ่โตต่อเนื่อง มีการนำที่ถูกต้อง ทำผิดแต่น้อย (แต่ก็ไม่กลัวการทำผิดเมื่อถึงเวลาต้องกล้าทำ) สามารถจัดการความสัมพันธ์ภายในกลุ่มมวลชนอย่างถูกต้อง บรรลุสู่ความเป็นเอกภาพทางความคิดในภารกิจร่วมกันได้เสมอ ในทุกขั้นตอนของการเคลื่อนไหวต่อสู้

ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ มวลชน “ตื่นรู้”จะยกระดับแกนนำ และแกนนำจะนำมวลชนต่อสู้จนได้รับชัยชนะเสมอ !

ยุทธศาสตร์หลักของเรา จึงอยู่ที่ 1.เร่งขยายวง “อำนาจประชาชน” รวมเอากลุ่ม/องค์กร “ทุกฝ่าย” ที่ต่อต้าน “อำนาจทักษิณ”มาอยู่บนเวทีเดียวกัน และ 2.เปิดกว้าง “สภาประชาชน” รับเอามวลชน “ทุกฝ่าย” ที่ปฏิเสธระบบรัฐสภามาร่วมดำเนินกิจกรรมการเมืองประชาชน ใช้ “อำนาจจัดการตนเอง” และ “อำนาจกำหนด”จากล่างสู่บน (ประชาธิปไตยประชาชน)ในทุกระดับทั่วประเทศ
ปฏิรูปฯแบบบรรหารถ้าไม่ซีเรียสก็โอเค อย่าขัดคอคนแก่ !!
ปฏิรูปฯแบบบรรหารถ้าไม่ซีเรียสก็โอเค อย่าขัดคอคนแก่ !!
หากมองในแง่ดี ก็อาจเป็นความต้องการที่จะสร้างผลงานก่อนตายก็ได้ แต่ก็คงเป็นได้แค่ความคิด แค่หวังส่วนตัวเท่านั้น เพราะในเมื่อองค์ประกอบหลักที่อยู่รอบตัวล้วนมี กลิ่นน้ำเน่า ไม่มีความหวัง และที่ผ่านมาการเคลื่นไหวในลักษณะนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เคยมีทั้งลักษณะ ปรองดอง ที่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษากันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เช่น ชุดที่มี คณิต ณ นคร แต่สุดท้ายเมื่อไปกระทบกับ ทักษิณ หรือ ทักษิณ ไม่ได้ประโยชน์ มันก็ไปไม่รอด คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่า คนอย่างบรรหาร จะมีเจตนาดีแค่ไหนก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าผลที่ออกมาคงไม่คืบหน้าไปไหน มันก็ได้แค่ ปาหี่ ที่ ทักษิณ ชินวัตร จัดฉากขึ้นมาเพื่อซื้อเวลาให้กับรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นหุ่นเชิดของเขาเท่านั้นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น