xs
xsm
sm
md
lg

จบปะ!เสียดินแดน 'ทูตวีรชัย'สารภาพกลางสภา "ปานเทพ"ฉะรวมหัวหลอกคนไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน-"ปู"จัดฉากขอบคุณทีมสู้คดีพระวิหาร ปลื้มทำให้บรรยากาศดีขึ้น ทั้งๆ ที่ไทยเสียดินแดน "ทูตวีรชัย"รับสารภาพกลางสภา ไทยเสียจริง แต่ยังแถแค่นิดเดียว "มาร์ค"จี้รัฐบาลบอกความจริงประชาชน อย่าหมกเม็ด "คำนูญ"เผยไทยเสียดินแดนมากกว่าเดิม "ปานเทพ" ฉะรวมหัวโกหกคนไทยทั้งประเทศ คาดเสียพื้นที่เกือบพันไร่ สภาทนายความซัดอีกดอก เสียแผ่นดินจริง

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 09.30 น.วานนี้ (13พ.ย.) นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ พร้อมด้วยนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ และคณะต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร เข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมีนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมให้การต้อนรับ

โอกาสนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวขอบคุณนายวีระชัย และทีมงาน รวมถึงที่ปรึกษาทุกคน ที่ทุ่มเททำงานนี้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะนายวีระชัยที่ทำงานในเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน รู้ลึกที่สุดกับรายละเอียดต่างๆ ต้องขอบคุณในความทุ่มเทอย่างเต็มที่ และจากผลการต่อสู้ ก็พอใจ เพราะการตัดสินของศาลโลกที่ออกมา ถือว่าเป็นผลบวกกับฝ่ายไทย แต่ยังมีประเด็นเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งคงต้องมาหารือกันในรายละเอียดต่อไป

"ที่ผ่านมา เราทำอย่างดีที่สุด ซึ่งเชื่อว่าวันนี้ เราก็มีความสบายใจว่าบรรยากาศในเมืองไทยก็ดีใจ ที่เห็นพี่น้องประชาชนในบริเวณชายแดน มีความร่วมใจกันมากขึ้น ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี"

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวอีกว่า หากดูจากประเด็นคำตัดสิน ก็ถือว่า เรามีความพอใจในหลายๆ เรื่อง และเรื่องที่เป็นพื้นที่ใหญ่ ก็พอใจ สำหรับพื้นที่เล็ก เราก็จะใช้โอกาสนี้ ในการชี้แจงต่อไป จึงอยากขอฝากทูตวีระชัย คณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการ ที่จะต้องศึกษาคำวินิจฉัยของศาลโลก ใช้การวินิจฉัยอย่างเต็มที่ และอยากให้ใช้โอกาสนี้ รับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการ และภาคประชาชนด้วย เพื่อจะนำข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์ และเราจะได้ใช้แนวทางนี้ในการทำงานต่อไป

ขณะที่นายวีรชัยกล่าวว่า ขอขอบคุณ นายกฯ รองนายกฯ และรัฐบาล รวมถึงผู้ใหญ่ในกระทรวงการต่างประเทศ ที่สนับสนุนตนอย่างเต็มที่ พร้อมระบุว่า จะนำข้อคิดเห็นทั้งจากประชาชน นักวิชาการต่างๆ มาวิเคราะห์ เพื่อเป็นแนวทางในการทำงาน และจะรายงานข้อมูลให้นายกฯ ทราบต่อไป

*** "ปึ้ง"เตรียมต่อสายหารือเขมร

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกรัฐสภาที่จะมีการอภิปราย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179 เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินการหลังจากนี้ พร้อมชี้แจงรายละเอียดคำตัดสินของศาลโลก คดีพิพาทประสาทพระวิหาร ก่อนที่จะมีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-กัมพูชา (เจซี) โดยขณะนี้ยังไม่ได้นัดหมายการประชุม แต่จะพูดคุยกับนายฮอร์ นัมฮง รมว.ต่างประเทศกัมพูชาว่าจะประชุมได้เมื่อไร และเมื่อประชุมเสร็จ ก็จะนำผลการประชุมเสนอต่อรัฐสภาอีกครั้ง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 และเปิดรับฟังความเห็นประชาชนด้วย เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน

เมื่อถามว่า กลุ่ม 40 ส.ว. ระบุว่า ไทยเสียพื้นที่ชะง่อนผา (ยอดเขาพระวิหาร) ให้กับกัมพูชา นายสุรพงษ์ กล่าวว่า เป็นแนวกลุ่ม 40 ส.ว. คงจะอภิปรายในที่ประชุม และข้าราชการจะเป็นผู้ชี้แจง

เมื่อถามย้ำว่า รัฐมนตรีสามารถให้ความมั่นใจกับประชาชนได้หรือไม่ว่าไทยจะไม่เสียดินแดน นายสุรพงษ์ตอบว่า สิ่งที่ศาลโลกตัดสิน เป็นชัยชนะของทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่แนวชายแดน มีความสุข สามารถประกอบกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ ก็เป็นชัยชนะทั้ง 2 ประเทศแล้ว

***เปิดสภาถกปมคำตัดสินศาลโลก

ส่วนการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179 เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 13.00 น. วานนี้ โดยมีนายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม แต่ปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้มาร่วมประชุมด้วย มีเพียงนายสุรพงษ์ และนายวีรชัย ทำหน้าที่ชี้แจงเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเริ่มอภิปราย ฝ่ายค้านได้ทวงถามว่า ญัตติดังกล่าวคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เสนอขอให้เปิดอภิปราย แต่ทำไมนายกรัฐมนตรี จึงไม่มาร่วมประชุม เพื่อรับฟังและชี้แจงข้อซักถามของสมาชิก และควรเปิดโอกาสให้มีการถ่ายทอดสด ผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เพราะเป็นประเด็นที่คนไทยทั้งประเทศต้องการความชัดเจนจากปากนายกฯ เพื่อไม่เกิดความสับสน

นายนิคมชี้แจงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ติดภาระกิจรับเสด็จฯ เมื่อเสร็จภารกิจแล้วจะรีบมาร่วมประชุม ส่วนการถ่ายทอดสด ตนได้ประสานไปยังสถานีแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับ

ขณะที่นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ เสนอว่า ประเด็นที่จะมีการอภิปราย เป็นเรื่องละเอียดอ่อน อาจจะกระทบต่อการเจรจาระหว่างประเทศในอนาคต ควรให้มีการประชุมลับ เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกได้อภิปรายเต็มที่ แต่ ส.ส.ฝ่ายค้านแสดงความไม่เห็นด้วย และได้เป่านกหวีดคัดค้าน โดยอ้างว่าต้องเป็นการประชุมอย่างเปิดเผยเพื่อให้คนไทยได้รับรู้

ด้านนายสุรพงษ์ กล่าวว่า ตนและคณะได้รับมอบหมายจากนายกฯ ให้มาชี้แจง โดยนายกฯ มาตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ตอนนี้มีภารกิจรับเสด็จ พระเจ้าวรวงค์เธอพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ หากเสร็จสิ้นก็จะกลับมา ส่วนการถ่ายทอดสดการอภิปรายไม่ขัดข้อง เพราะเห็นว่าเรื่องดังกล่าวคนไทยควรรู้ แต่ขอว่าการอภิปรายเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ดังนั้น ประเด็นไหนที่มีกระทบต่อกัมพูชา อาจจะขอประชุมลับเป็นช่วงๆ แต่หากสมาชิกมีข้อเสนอแนะสร้างสรรค์ก็พร้อมจะรับฟัง

“วันนี้อภิปรายตาม มาตรา 179 วันหน้าถ้าจะไปเจรจาอะไร ก็ต้องนำมาขอความเห็นชอบจากสภา ตามมาตรา190 และต้องรับฟังความเห็นของประชาชนด้วย สมาชิกไม่ต้องกลัวว่ารัฐบาลจะทำอะไรไม่ถูกต้อง"

นายประสงค์ นุรักษ์ ส.ว. สรรหา กล่าวว่า จากเอกสารที่ตนพึ่งได้รับมา เป็นเอกสารภาษาอังกฤษ ตนขอให้มีการแปลเป็นภาษาไทยให้กับสมาชิกได้ศึกษาอย่างละเอียดก่อนที่จะนำมาอภิปรายในสภา ดังนั้นขอเสนอให้เลื่อนไปเป็นวันอื่น

นายไชยวัฒน์ ไตยสุนันท์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เสนอญัตติให้เลื่อนการประชุม เนื่องจากมีเหตุผล นายกฯไม่พร้อมมารับฟัง และการถ่ายทอดสดไม่เรียบร้อยเพื่อประโยชน์ควรจะเลื่อนการพิจารณา

ขณะที่ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย ไม่เห็นด้วย และเสนอญัติขอให้ดำเนินการประชุมต่อไป

สุดท้าย นายนิคมได้ให้สมาชิกทำการลงมติ ปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติ 304 เสียง ต่อ 90 เสียง ให้ดำเนินการประชุมต่อไป

*** "วีรชัย"รับเสียดินแดนยอดเขาพระวิหาร

จากนั้น ที่ประชุมได้เริ่มเข้าสู่สาระ โดยนายวีรชัย หัวหน้าทีมต่อสู้คดีเขาพระวิหาร อภิปรายสรุปสาระสำคัญของคำพิพากษาของศาลโลก เมื่อวันที่ 11 พ.ย.ว่า สำหรับคำว่ายอดเขาเป็นคำแปลชั่วคราว มาจากคำว่า Promontory เพราะยังหาคำที่เหมาะสมกว่ายอดเขาไม่ได้ บางคนใช้คำว่า ชะง่อนผา ซึ่งจะรับไปพิจารณา

สำหรับคำพิพากษาในส่วนที่เป็นเหตุผลนั้น มีสาระสำคัญ คือ ศาลตีความคำพิพากษา ปี 2505 มีองค์ประกอบหลัก 3 ประการ คือ ศาลไม่ได้ชี้ขาดเรื่องเขตแดน ซึ่งศาลรับฟังข้อต่อสู้ของเรา ขณะที่แผนที่ 1ต่อ 2 แสน ตร.กม. ศาลฟังกัมพูชา แต่จำกัดในบริเวณพิพาทในคดีเดิมเท่านั้น แม้เส้นเขตแดนบนแผนที่ดังกล่าวจะยาวกว่า 100 กม. และศาลได้ตีความว่า ปราสาทอยู่บนดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และระบุดินแดนที่ไทยต้องถอนกำลังออก ดูในหลักศาลจากคดีเดิมว่า กองกำลังของไทยตั้งอยู่ที่ใด โดยคำให้การในปี 2504 ก่อนมีคำพิพากษา วันนี้ศาลจึงเห็นว่า อย่างน้อยบริเวณใกล้เคียงปราสาท จะต้องรวมที่ตั้งของตำรวจตระเวนชายแดนไทย ที่ตั้งอยู่ทิศเหนือของเส้นมติ ครม.ปี 2505 ที่กำหนดในภายหลังคดี แต่อยู่ใต้เส้นเขตแดนบนแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ตร.กม. และอยู่เหนือเส้นสันปันน้ำ ดังนั้น ศาลในวันนี้ จึงเห็นว่า เส้นเขตแดนตามมติครม. ไม่อาจเป็นขอบเขตใกล้เคียงปราสาทเขาพระวิหารได้

นอกจากนี้ ศาลยังตีความว่า อธิบายพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร โดยใช้ลักษณะของภูมิศาสตร์ เป็นหลัก จากนั้นก็ตีความว่า พื้นที่ในคดีเดิม คือ แคบและจำกัดอย่างชัดเจน ส่วนทางเหนือจำกัดโดยดินแดนของกัมพูชา บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร ศาลตีความจำกัดว่ายอดเขาพระวิหาร ด้วยเหตุผลว่าไม่รวมภูมะเขือ เพราะเป็นพื้นที่ภูมิศาสตร์แยกจากกัน ผู้ว่าราชการจังหวัดเขาพระวิหารในสมัยนั้น ก็ให้การว่าพื้นที่ภูมะเขืออยู่คนละจังหวัดกับยอดเขาพระวิหาร ขณะที่ทนายความของกัมพูชา ก็บอกว่า ภูมะเขือ ไม่ใช้พื้นที่สำคัญในการพิจารณา และไม่มีหลักฐานว่ากองกำลังของไทยอยู่ที่ภูมะเขืออีกด้วย จึงสรุปได้ว่าพื้นที่ใกล้เคียง จำกัดเพียงยอดเขาพระวิหาร และจะต้องเล็ก แคบ จำกัด และเห็นได้ชัด

นายวีรชัยกล่าวต่อว่า ศาลรับทราบข้อต่อสู้ของไทย เพื่อถ่ายทอดแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ตร.กม. ลงไปในพื้นที่จริง และศาลในคดีเดิมก็ไม่ได้พิจารณาจึงอยู่นอกอำนาจของศาลปัจจุบัน การถ่ายทอดเส้นของแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ตร.กม. ไม่สามารถดำเนินการฝ่ายเดียวได้

นอกจากนี้ ศาลยังตัดสินว่า ไทยและกัมพูชาต้องร่วมมือกัน และประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องปราสาทเขาพระวิหาร ในฐานะมรดกโลก และจำเป็นต้องมีทางเข้าปราสาทจากที่ราบในฝั่งกัมพูชา นอกจากนี้ ศาลยังไม่วินิจฉัย ประเด็น เส้นเขตแดนมีผลผูกพันหรือไม่ และพันธะกรณีการถอนกำลังทหารต่อเนื่องหรือไม่ เพราะศาลเดิมไม่ได้ตัดสินเอาไว้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นสมาชิกได้ทยอยอภิปรายแสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวาง ขณะที่เมื่อเวลา 15.00 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางมานั่งฟังในห้องประชุมด้วย

*** "มาร์ค"จี้รัฐบาลบอกความจริงกับประชาชน

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า เมื่อศาลโลกยืนยันจากการตีความครั้งนี้ว่าศาลจะพิจารณาเฉพาะพื้นที่พิพาทที่เล็ก หรือแคบกว่า หมายความว่า กัมพูชาไม่สามารถนำเรื่องนี้กลับไปให้ศาลวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นได้อีก ซึ่งพอรับฟังได้ รัฐบาลก็ต้องชี้แจงอย่างตรงไปตรงมาว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากคำพิพากษาครั้งนี้ ต้องมีแน่นอน เพราะในปี 2505 รัฐบาลไทยได้กำหนดแนวเขตด้วยรั้วลวดหนาม และจัดทำแผนที่โดยใช้สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน ไต่บริเวณหน้าผา ยกเว้นพื้นที่บริเวณรั้วลวดหนาม ตามคำพิพากษาของศาลโลก ในปี 2505 โดยยืนยันว่าพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นของไทย แต่ศาลโลกครั้งนี้ คำพิพากษาระบุชัดเจนว่า เราไม่สามารถที่จะถืออย่างนั้นได้อีกต่อไป แต่รัฐบาลกลับไม่พูดกับประชาชน

“แม้ศาลไม่ได้ระบุว่า พื้นที่ที่ถูกตัดไปจะมีแค่ไหน อย่างไร วันนี้ไม่มีใครสามารถบอกได้ชัดเจนว่ากี่ ตร.กม. บางคนตีความว่าตั้งแต่ 0.3 ไปเกือบ 2 ตร.กม. แต่จะเท่าไรต้องยอมรับเป็นพื้นที่ที่อยู่นอกเหนือรั้วลวดหนามเดิมที่เราถือว่าเป็นดินแดนไทย ถือเป็นความเจ็บปวด"

***"ยิ่งลักษณ์"ยันให้สภามีส่วนร่วมตามม.190

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภา ว่า ที่่ผ่านมามีการกล่าวหาตนเองจะไปรับคำพิพากษาของศาลโลก ไม่ว่าจะมีคำพิพากษาออกมาอย่างไรนั้น ขอยืนยัน ณ ที่นี้ว่าไม่เคยที่จะรับคำพิพากษา ไม่เคยพูดคำนี้ โดยสิ่งที่พูดอยู่เสมอ ก็คือว่า ไม่ว่าผลการตัดสินออกมาอย่างไร ในส่วนของการดูแลความสงบเรียบร้อย และบรรยากาศความสัมพันธ์ ต้องคงอยู่

"หลังจากที่ไทยได้รับฟังคำพิพากษา มีสิ่งที่ต้องเร่งทำ คือ การศึกษาคำพิพากษา ซึ่งในส่วนของการศึกษาดังกล่าว ยังยืนยันในเรื่องการรักษาอธิปไตยเช่นเดิม และไม่ว่ารัฐบาลจะไปดำเนินการอย่างไรต่อไป เราจะเข้ามารับฟังความคิดเห็น และขอมติของรัฐสภา ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 รัฐบาลนี้จะไม่ทำการใดๆ จนกว่าจะได้รับการเห็นชอบจากสภาค่ะ แล้วก็รัฐบาลนี้เรียนยืนยันว่า การดำเนินการใดนั้น จะทำโดยคณะกรรมการ และไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัว หรือผลประโยชน์ทับซ้อนทั้งสิ้น"น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว

ขณะที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ กล่าวเสริมว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด มีความต่อเนื่องมาตลอด ทุกรัฐบาล มีความรับผิดชอบร่วมกันที่จะต้องหาทางแก้ไขปัญหา และขอยืนยันในฐานะ รมว.ต่างประเทศ ไม่เคยให้สัมภาษณ์ว่าจะรับคำตัดสินของศาลโลก ไม่เคยมีคำพูดอย่างนั้นออกมาจากปากตนอย่างเด็ดขาด และแม้ว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 190 จะมีการแก้ไขใหม่ไปแล้ว แต่ไม่ต้องกังวล เพราะจะนำกรอบการเจรจากับกัมพูชามาหารือกับรัฐสภาไทย ซึ่งรัฐบาลเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องอ่อนไหว และเป็นเรื่องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

***"คำนูณ"ยันไทยเสียดินแดน600ไร่บวกลบ

นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา อภิปรายว่า เมื่อ ปี 2505 เมื่อศาลโลกตัดสินให้ไทยแพ้ ทำให้เสียพื้นที่ จำนวน 153 ไร่ คนไทยเสียใจทั้งประเทศและบอกว่าศาลพระภูมิ น่าเชื่อถือว่าศาลโลก มาถึงคำพิพากษาวันนี้กลับบอกว่าเป็นผลดีกลับไทยและเสียดินแดนเล็กและแคบๆ ตนไม่เห็นด้วย เพราะครั้งนี้จะเสียพื้นที่มากกว่าเดิม หรือ ประมาณ 600 กว่าไร่บวกลบ เมื่อฟังจากคำพิพากษา

"นาทีนี้หรือเมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา กัมพูชาอาจไม่ต้องการพื้นที่ 4.6 ตร.กม. แต่ต้องการแค่ให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทเขาพระวิหารเสร็จสมบูรณ์ เพราะที่ผ่านมา ยังมีปัญหา เพราะอาณาบริเวณติดขัดอยู่ ถือเป็นความบังเอิญอย่างร้ายกาจ เมื่อศาลโลกตัดสินให้พื้นที่ยอดเขาพระวิหารไปแล้ว คงกินพื้นที่บริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และถนนจากบ้านโกมุยที่เขมรสร้างขึ้นมายังเขาพระวิหาร และหากเรายอมทำตามคำพิพากษา ก็ทำให้แผนการจัดการฝ่ายเดียวของกัมพูชาสำเร็จ และสามารถขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทเขาพระวิหารฝ่ายเดียวได้ ถือเป็นการล่าอาณานิคมยุคใหม่"

**คปท.สับท่าที“ปู-ตู่”ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

ด้านเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 3 ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการพิพากษาของศาลโลก ในคดีปราสาทพระวิหาร โดยตำหนิท่าทีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ให้สัมภาษณ์ในเชิงที่ว่าประเทศไทยไม่สูญเสียดินแดนว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะเป็นการให้สัมภาษณ์ก่อนจะทราบความชัดเจนของรายละเอียดคำพิพาษา ขาดความรอบคอบ และอาจมีผลผูกพันในอนาคต

***"ปานเทพ"ชี้รัฐบาล-ทูตวีรชัยโกหก

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารว่า สิ่งที่รัฐบาล และนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าคณะต่อสู้คดีฝ่ายไทยพูดนั้น ไม่เป็นความจริง กล่าวถึงราวกับประเทศไทยได้รับชัยชนะ ทั้งๆ ที่แพ้

ทั้งนี้ การต่อสู้ในคดี พันธมิตรฯ เคยเสนอว่าอย่ารับอำนาจศาลโลก เพราะเห็นว่า การตัดสินตัวปราสาทมีความอยุติธรรมมาตั้งแต่ปี 2505 และไทยเสี่ยงที่จะสูญเสียดินแดนเพิ่มเติมจากเดิมจากกรณีที่กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก แต่รัฐบาลก็สู้มาโดยตลอดตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จนถึงรัฐบาลเพื่อไทย กระทั่งรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ได้ยื่นหนังสือขอให้ถอนตัว ขอให้ยืนยันการปกป้องอธิปไตยของชาติ แต่ก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ

“ศาลโลกตีความว่า ให้ใช้แผนที่ภาคผนวก 1 จากทิศขวาสุดด้านตะวันออกชิดขอบหน้าผาฝั่งหนึ่ง ฝั่งใต้ตะวันตกไปตามขอบหน้าผาของเราทั้งหมดเป็นของกัมพูชา ได้ทั้งชะง่อนผา ซ้ำร้ายกว่านั้นอีก ให้ลงไปถึงตีนภูเขาภูมะเขือ เพราะศาลโลกว่าภูมะเขือไม่อยู่ในข้อพิพาท แต่ศาลโลกกลับตัดสินให้ลากเส้นจากยอดเขาพระวิหาร ลงไปลากถึงตีนเขาภูมะเขือได้อย่างไร มันล้ำจนเกินเหตุ เหตุผลข้อเดียว คือ เอาใจกัมพูชา เพื่อให้มีพื้นที่พอสร้างถนน วัด ชุมชน จากทางกัมพูชาเข้าพระวิหาร รุกฝั่งไทยเพื่อขึ้นทะเบียนมรดกโลก เป็นเรื่องที่อยุติธรรมมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ ไทยเสียเปรียบชัดเจน ทูตวีระชัยบอกกัมพูชาไม่ได้ 4.6 ตร.กม. รวมภูมะเขือ แต่ไม่ควรบอกว่าเราพอใจ ไม่ควรบอกคำตัดสินเป็นคุณต่อประเทศ ไม่มีตรงไหนเป็นคุณเลย สถานภาพเปรียบเหมือนปี 2505 ยกปราสาทพระวิหารให้เป็นของกัมพูชา แต่เราอ้างว่าเป็นคุณ เพราะทั้งสองฝั่งต้องไปเจรจากันอีกที ผมว่าไม่ควรโกหกประชาชนแบบนี้"

***จับตาแก้ม.190หวังยกแผ่นดินให้เขมร

นายปานเทพกล่าวว่า การที่บอกว่าเจรจากันได้ แต่รัฐบาลชุดนี้ โดยรัฐสภาไทยไปแก้ไขมาตรา 190 ซึ่งหมายถึงคนไม่มีสิทธิรู้กลไกเจรจาระหว่าง 2 ประเทศ และข้อสำคัญยิ่งกว่า ไม่มีสิทธิรู้ว่าจะตกลงกันยังไง จริงอยู่ว่าการวางหลักเขตแดนไม่ต้องผ่านสภา แต่การเจรจาบนพื้นฐานที่ใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไทยก็เสียเปรียบแล้ว เราสละเขตสันปันน้ำที่ยึดไว้ปี 2505 มาช่วยกันหาหลักเขตแดนที่ไหนดีในพื้นแผ่นดินไทย ถือว่าอันตราย และการที่ทหารไทยถอนจากพื้นที่ คือ การสูญเสียอธิปไตยของชาติ เพราะพื้นที่ดังกล่าวมีธง ประชาชนกัมพูชาอาศัยอยู่ แล้วทหารไทยถอยฝ่ายเดียว คนไทยห้ามเข้า เพราะเป็นเขตอุทยานแห่งชาติและรักษาพันธุ์สัตว์ป่า นักท่องเที่ยวฝั่งกัมพูชาขึ้นได้ ฝั่งไทยขึ้นอาจต้องมีตราประทับเข้าเมืองจากฝั่งกัมพูชา

***จ่อเสียดินแดนเกือบ1พันไร่

นายปานเทพกล่าวว่า การสูญเสียคงวัดยาก แต่พอกัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลก สื่อมวลชนวิเคราะห์ว่าเสีย 1 ตร.กม. (625 ไร่) หรือเลวร้ายก็ถึง 1.5 ตร.กม. (937 ไร่) ขึ้นอยู่กับการตีความ เปรียบเทียบสนามหลวงมีขนาดพื้นที่ประมาณ 74 ไร่ ดังนั้น เลวร้ายที่สุดเท่ากับเสียพื้นที่ 12 เท่าครึ่งของสนามหลวง ถามทูตวีระชัยว่ามันเล็กไหม ซึ่งตัวเลขมันมากกว่าที่เราคาดการณ์ได้ เมื่อวัดจากปี 2505 ที่ไทยเสียดินแดน คือ 156 ไร่ สมัยนั้นผู้นำประเทศจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยังประกาศไม่ยอมรับ คนไทยทั้งชาติเดินขบวนประท้วง แต่ยุคนี้พื้นที่ 600-900 ไร่ แต่ฑูตวีระชัยกลับอ้างตามศาลโลกว่าเล็กนิดเดียว แต่คนไทยรับได้รึป่าว นี้คือสิ่งที่ไม่เป็นธรรมที่สุด

ทั้งนี้ เห็นว่า ไทยสามารถที่จะรักษาอธิปไตยได้อีกเป็น 100 ปี ภายใต้ 2 เงื่อนไขสำคัญ 1.มีรัฐบาลที่รักชาติไม่ยอมถอยในพื้นที่เขาพระวิหาร ไม่รับอำนาจคำสั่งศาลโลกแบบนี้ 2.มีทหารที่รักชาติไม่ถอยตามคำสั่งศาลโลก เพราะตราบใดที่หาหลักเขตแดนไม่ได้ ก็ยังไม่เสียดินแดน

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากรัฐบาลไม่สนใจยังเดินหน้า สามารถเอาผิดอะไรได้ นายปานเทพกล่าวว่า ถ้าไทยเสียดินแดน เชื่อว่ามีคนฟ้องดำเนินคดีอาญา และถูกประณามในฐานะคนขายชาติ ถ้าคนไทยยอม ก็เท่ากับว่าเห็นดีเห็นงามกับกระบวนการขายชาติไทย

***สภาทนายตีความไทยเสียดินแดน

นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ แถลงข่าวกรณีคำพิพากษาคดีตีความคำตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505 ที่ศาลโลก ได้อ่านคำตัดสินไปเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยพิจารณาตามหลักภาษากฎหมายว่า ศาลโลกมีอำนาจวินิจฉัยคดีข้อพิพาทนี้ ข้อโต้แย้งของรัฐบาลไทยในเรื่องเขตอำนาจศาลจึงเป็นอันตกไป ส่วนกรณีที่คำพิพากษาเดิมปี 2505 ที่ให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา แต่ไม่ครอบคลุมพื้นที่รอบข้างปราสาท ไทยจึงได้ทำการล้อมรั้วลวดหนาม และปักกันเขตแดนไว้ตามมติ ครม. วันที่ 10 ก.ค.2505 แต่ต่อมากัมพูชาได้อ้างว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม. อยู่ในเขตกัมพูชา โดยอ้างแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำไว้ และกล่าวหาไทยรุกล้ำอธิปไตยจากการมีกำลังทหาร ตำรวจประจำตามเขตอาณาบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งศาลโลกได้พิพากษาให้กัมพูชาได้ดินแดนเพิ่มขึ้น คือ ส่วนที่เป็นจะงอย หรือเป็นแหลม หรือเป็นชะง่อนผา (Promontory) แต่ยังไม่รู้เนื้อที่จริงๆ ว่าเท่าไร อาจจะอยู่ประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร ซึ่งก็ไม่ใช่พื้นที่เล็กน้อย แสดงว่า คำฟ้องของประเทศกัมพูชาที่ขอมาในเรื่องนี้ ประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น ได้ไป 1 ตารางกิโลเมตร ถือว่าประเด็นนี้ประเทศกัมพูชาชนะคดีบางส่วน

ส่วนความคลุมเครือ และไม่ชัดเจน กรณีศาลโลกได้พิพากษาก้าวข้ามไปถึงที่พิพาทบริเวณต่อเนื่องกับปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ซึ่งเป็นมรดกโลกในอุปถัมภ์ UNESCO โดยได้พิพากษาเลยไปถึงว่า ให้ประเทศไทยและประเทศกัมพูชา ช่วยกันดูแลเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์มรดกโลกของประเทศกัมพูชา แสดงว่า ภูเขาซึ่งเป็นเขตแดนไทยนั้น ต้องเป็นที่รับใช้ในการตั้งปราสาทพระวิหาร รวมถึงการใช้ปราสาทพระวิหาร เพื่อประโยชน์ของคนกัมพูชาไปโดยปริยาย

"จากข้อเท็จจริงที่กล่าวนี้ สื่อของประเทศกัมพูชาและสื่อทั่วโลก จึงได้ออกข่าวว่า ประเทศไทยแพ้คดี ดังนั้นเพื่อความกระจ่างชัด กระทรวงการต่างประเทศของไทย จึงมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องเผยแพร่รายละเอียดแห่งคำพิพากษาทั้งฉบับที่เป็นภาษาฝรั่งเศส และฉบับภาษาไทย แถลงให้ประชาชนชาวไทยถึงผลคำพิพากษาที่แท้จริง ตามที่สภาทนายความได้ตั้งข้อสังเกตในเบื้องต้น"
กำลังโหลดความคิดเห็น