วานนี้ (5 พ.ย.) นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการลงนามสัญญาซื้อขายข้าวขาว 5% ไทยปีละ 1 ล้านตันกับรัฐบาลจีน เมื่อเช้าวันที่ 5 พ.ย. กับนายหยู เจี้ยนหัว รองผู้แทนการค้าระหว่างประเทศจีน โดยปีแรกจะซื้อขายจำนวน 1 ล้านตัน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม 2556 เป็นต้นไป โดยมีกำหนดส่ง ครั้งแรกเดือนธันวาคม 2556 ถึง เมษายน 2557 จำนวน 5 แสนตัน ครั้งที่สองเดือนพฤษภาคม 2557 ถึง ตุลาคม 2557 จำนวน 3 แสนตัน และครั้งสุดท้าย เดือนพฤจิกายน 2557 ถึงธันวาคม 2557 อีก 2 แสนตัน รวมทั้งสิ้น 1 ล้านตัน ขณะที่ราคาที่จัดซื้อ จะเป็นไปตามาตรฐานโลก
นายนิวัฒน์ธำรง กล่าวว่า จะมีการลงนาม 1 ปี ไปก่อน ซึ่งจะต้องดูในส่วนของราคาในอนาคตด้วย อย่างไรก็ตาม สัญญาจะควบคุมไปถึงข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมปทุม ข้าวเหนียว เป็นต้น
ส่วนการจัดซื้อข้าวขาว ปริมาณ 1.2 ล้านตันจากไทย ในราคาตลาดแบบยกหน้าคลัง (เอ็กซ์-แวร์เฮาส์) ซึ่งราคาจะถูกกว่าตลาดส่วนใหญ่ที่อิงราคา ณ ท่าเรือกรุงเทพฯ หรือเอฟโอบี โดยรัฐวิสาหกิจจีนจะว่าจ้างบริษัทเอกชนนั้น นายนิวัฒน์ธำรง กล่าวว่า ขณะนี้บริษัท เป่ยต้าฮวง ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีน แห่งเมืองฮาบิน มณฑลเฮย์หลงเจียง ประเทศจีน กำลังเตรียมให้เอกชนรับรองการเป็นรัฐวิสาหกิจของบริษัทให้สมบูรณ์ ก่อนจะเดินทางมาร่วมลงนามสัญญาซื้อข้าวจากไทย ปริมาณ 1.2 ล้านตัน ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในต้นเดือน พ.ย.นี้ หลังจากที่กำหนดการเดิมจะมีการลงนามภายในเดือน ต.ค. แต่พบว่าบริษัทจัดทำเอกสารไม่ครบถ้วน ทำให้รัฐบาลไทยต้องขอให้ดำเนินการให้สมบูรณ์ก่อน จึงทำให้กำหนดการล่าช้าออกไป อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถดำเนินการได้ก็จะยกเลิกโครงการดังกล่าว
นายนิวัฒน์ธำรง กล่าวว่า จะมีการลงนาม 1 ปี ไปก่อน ซึ่งจะต้องดูในส่วนของราคาในอนาคตด้วย อย่างไรก็ตาม สัญญาจะควบคุมไปถึงข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมปทุม ข้าวเหนียว เป็นต้น
ส่วนการจัดซื้อข้าวขาว ปริมาณ 1.2 ล้านตันจากไทย ในราคาตลาดแบบยกหน้าคลัง (เอ็กซ์-แวร์เฮาส์) ซึ่งราคาจะถูกกว่าตลาดส่วนใหญ่ที่อิงราคา ณ ท่าเรือกรุงเทพฯ หรือเอฟโอบี โดยรัฐวิสาหกิจจีนจะว่าจ้างบริษัทเอกชนนั้น นายนิวัฒน์ธำรง กล่าวว่า ขณะนี้บริษัท เป่ยต้าฮวง ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีน แห่งเมืองฮาบิน มณฑลเฮย์หลงเจียง ประเทศจีน กำลังเตรียมให้เอกชนรับรองการเป็นรัฐวิสาหกิจของบริษัทให้สมบูรณ์ ก่อนจะเดินทางมาร่วมลงนามสัญญาซื้อข้าวจากไทย ปริมาณ 1.2 ล้านตัน ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในต้นเดือน พ.ย.นี้ หลังจากที่กำหนดการเดิมจะมีการลงนามภายในเดือน ต.ค. แต่พบว่าบริษัทจัดทำเอกสารไม่ครบถ้วน ทำให้รัฐบาลไทยต้องขอให้ดำเนินการให้สมบูรณ์ก่อน จึงทำให้กำหนดการล่าช้าออกไป อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถดำเนินการได้ก็จะยกเลิกโครงการดังกล่าว
