จากกรณีที่กลุ่ม ปตท.ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายโดย นายไตรรงค์ ตันทสุข ทนายความได้รับมอบอำนาจจาก ปตท.สผ.และ PTTEP AA ได้ส่งหนังสือมาถึงกองบรรณาธิการ “ASTV ผู้จัดการ” ให้หยุดการเสนอข่าวที่อ้างว่าทำให้เครือ ปตท.เกิดความเสียหาย สร้างความดูถูก ดูหมิ่น และถูกเกลียดชังจากประชาชน ภายใน 7 วันนับตั้งแต่ได้รับหนังสือฉบับนี้ ไม่เช่นนั้นจะดำเนินการทางกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญาต่อไป
โดยในหนังสือดังกล่าวลงวันที่ 10 ตุลาคม 2556 ยังได้แนบตัวอย่างข่าว 1. แฉสัมปทาน'ปตท.'ชนวนเด้ง รมต.พม่า 2. รัฐอุ้ม PTTGC หนีความผิด แบไต๋ส่อไม่ฟ้อง 3. สุดฉาว! เครือ ปตท.พัวพันสินบนสัมปทานปิโตรเลียมพม่า 4. 3 หมื่นชื่อจี้รัฐ ตั้ง กก.อิสระสอบ ติดตามน้ำมัน ปตท.รั่ว 5. ตามน้ำมันรั่ว ยื่น 3.2 หมื่นชื่อ 6.คราบน้ำมันที่ “เสม็ด” บทพิสูจน์ความสามารถ ในการจัดการสิ่งแวดล้อม มาด้วย
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากเป็นการข่มขู่ โดยเจตนาใช้มาตราการทางกฎหมายมาปิดปาก หรือให้หยุดการนำเสนอข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่สังคมยังไม่อาจได้รับรู้ ขณะเดียวกันยังส่อให้เห็นได้ว่านี่คือเจตนาของกลุ่ม ปตท.ที่ต้องการปิดบังความจริง ไม่ต้องการให้มีการนำเสนอข้อมูลที่เป็นเป็นลบ ทั้งที่ประกาศตัวว่าเป็นกลุ่มบริษัทที่มีธรรมาภิบาล ดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ตลอดเวลา แต่จากความเคลื่อนไหวล่าสุดที่ปรากฏออกมากลับสวนทาง ตรงกันข้าม
จากตัวอย่างที่เกิดขึ้นในเชิงประจักษ์กรณีเกิดผลกระทบจากน้ำมันรั่ว ที่อ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ บริษัท PTTGC บริษัทในเครือของ ปตท.ผลปรากฏว่าจนบัดนี้ยังมีปัญหาในเรื่องของการเยียวยาผลกระทบให้กับชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากการดำรงชีวิต ขาดรายได้ นี่ยังไม่นับผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมทั้งบนบกและในทะเล ซึ่งยังไม่มีการพิสูจน์อย่างแน่ชัดว่าเกิดความเสียหายจากคราบน้ำมันดังกล่าวและจากสารเคมีที่ใช้ในการขจัดคราบน้ำมันรวมทั้งต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูนานเท่าใด เนื่องจากที่ผ่านมาดูเหมือนว่า “มีการปิดบังข้อมูล” รวมถึงไม่ได้รับความร่วมมือในการเผยแพร่ข้อมูลตามความเป็นจริง เพราะจนบัดนี้ยังมีความเคลื่อนไหวของชาวบ้านในบริเวณนั้น เช่น กลุ่มประมงพื้นบ้าน ก็ยังไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายอย่างทั่วถึง จนมีการเคลื่อนไหวร้องเรียนอยู่เป็นระยะ
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจาก ข่าว 1-6 ที่ “กลุ่มปตท.”อ้างว่าได้รับผลกระทบ และส่งหนังสือเตือนให้ “ASTV ผู้จัดการ” หยุดการเสนอข่าว รวมทั้งให้ทบทวนการนำเสนอข่าวภายใน 7 วันนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นการ “รายงานข่าวที่ปรากฏในสื่อต่างประเทศ” ที่เห็นถึงความ “ไม่ชอบมาพากล” ในการดำเนินการธุรกิจทั้งสิ้น ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อสงสัยของประชาชนคนไทยที่เริ่มสงสัยมากขึ้นทุกวันว่าแท้จริงแล้ว กลุ่ม ปตท.มี “ธรรมาภิบาล” มีความโปร่งใส ตามที่อ้างจริงหรือไม่ หรือว่าเป็นเพียงบริษัทที่เป็นเครื่องมือของ “กลุ่มทุนสามานย์” ของกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม ที่ร่วมมือกัน “ขูดรีด” ทรัพยากรของคนไทย และกำลังขยายวงออกไปขูดรีดทรัพยาการด้านพลังงานของเพื่อนบ้านตามข่าวที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ใช่หรือไม่
สำหรับ “ASTV ผู้จัดการ” ขอยืนยันว่าไม่ได้หวั่นไหวกับคำขู่คุกคาม หรือหวั่นไหวกับวิธีการที่ใช้มาตรการทางกฎหมายมาปิดปาก โดยเรายืนยันว่าจะทำหน้าที่ขุดคุ้ยหาความจริง นำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่อย่างแน่วแน่ต่อไป และยืนยันว่าที่ผ่านมาเราได้นำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้องครบถ้วนทุกด้าน ยึดหลักประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งหาก ปตท.ยังมีข้อมูลที่เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือ ต้องการชี้แจงเพิ่มเติมก็สามารถทำได้ตลอดเวลา แต่ขณะเดียวกัน กลุ่ม ปตท.ก็ต้องตระหนักด้วยว่า ตัวเองดำเนินธุรกิจที่เกิดผลกระทบกับชาวบ้าน ก็ต้องพร้อมให้เกิดการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ซึ่งวิธีการดังกล่าวที่กำลังดำเนินการอยู่นอกจากไม่ได้เกิดผลในทางบวกแล้ว ตรงกันข้ามยิ่งทำให้เห็นว่าสิ่งที่ ปตท.ได้ประกาศเจตนารมณ์นั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่การ “สร้างภาพบิดเบือน” เท่านั้น
ที่สำคัญวิธีการข่มขู่ ปิดปากแบบนี้ใช้ไม่ได้ผลกับ “ASTV ผู้จัดการ” เป็นอันขาด !!
โดยในหนังสือดังกล่าวลงวันที่ 10 ตุลาคม 2556 ยังได้แนบตัวอย่างข่าว 1. แฉสัมปทาน'ปตท.'ชนวนเด้ง รมต.พม่า 2. รัฐอุ้ม PTTGC หนีความผิด แบไต๋ส่อไม่ฟ้อง 3. สุดฉาว! เครือ ปตท.พัวพันสินบนสัมปทานปิโตรเลียมพม่า 4. 3 หมื่นชื่อจี้รัฐ ตั้ง กก.อิสระสอบ ติดตามน้ำมัน ปตท.รั่ว 5. ตามน้ำมันรั่ว ยื่น 3.2 หมื่นชื่อ 6.คราบน้ำมันที่ “เสม็ด” บทพิสูจน์ความสามารถ ในการจัดการสิ่งแวดล้อม มาด้วย
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากเป็นการข่มขู่ โดยเจตนาใช้มาตราการทางกฎหมายมาปิดปาก หรือให้หยุดการนำเสนอข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่สังคมยังไม่อาจได้รับรู้ ขณะเดียวกันยังส่อให้เห็นได้ว่านี่คือเจตนาของกลุ่ม ปตท.ที่ต้องการปิดบังความจริง ไม่ต้องการให้มีการนำเสนอข้อมูลที่เป็นเป็นลบ ทั้งที่ประกาศตัวว่าเป็นกลุ่มบริษัทที่มีธรรมาภิบาล ดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ตลอดเวลา แต่จากความเคลื่อนไหวล่าสุดที่ปรากฏออกมากลับสวนทาง ตรงกันข้าม
จากตัวอย่างที่เกิดขึ้นในเชิงประจักษ์กรณีเกิดผลกระทบจากน้ำมันรั่ว ที่อ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ บริษัท PTTGC บริษัทในเครือของ ปตท.ผลปรากฏว่าจนบัดนี้ยังมีปัญหาในเรื่องของการเยียวยาผลกระทบให้กับชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากการดำรงชีวิต ขาดรายได้ นี่ยังไม่นับผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมทั้งบนบกและในทะเล ซึ่งยังไม่มีการพิสูจน์อย่างแน่ชัดว่าเกิดความเสียหายจากคราบน้ำมันดังกล่าวและจากสารเคมีที่ใช้ในการขจัดคราบน้ำมันรวมทั้งต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูนานเท่าใด เนื่องจากที่ผ่านมาดูเหมือนว่า “มีการปิดบังข้อมูล” รวมถึงไม่ได้รับความร่วมมือในการเผยแพร่ข้อมูลตามความเป็นจริง เพราะจนบัดนี้ยังมีความเคลื่อนไหวของชาวบ้านในบริเวณนั้น เช่น กลุ่มประมงพื้นบ้าน ก็ยังไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายอย่างทั่วถึง จนมีการเคลื่อนไหวร้องเรียนอยู่เป็นระยะ
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจาก ข่าว 1-6 ที่ “กลุ่มปตท.”อ้างว่าได้รับผลกระทบ และส่งหนังสือเตือนให้ “ASTV ผู้จัดการ” หยุดการเสนอข่าว รวมทั้งให้ทบทวนการนำเสนอข่าวภายใน 7 วันนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นการ “รายงานข่าวที่ปรากฏในสื่อต่างประเทศ” ที่เห็นถึงความ “ไม่ชอบมาพากล” ในการดำเนินการธุรกิจทั้งสิ้น ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อสงสัยของประชาชนคนไทยที่เริ่มสงสัยมากขึ้นทุกวันว่าแท้จริงแล้ว กลุ่ม ปตท.มี “ธรรมาภิบาล” มีความโปร่งใส ตามที่อ้างจริงหรือไม่ หรือว่าเป็นเพียงบริษัทที่เป็นเครื่องมือของ “กลุ่มทุนสามานย์” ของกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม ที่ร่วมมือกัน “ขูดรีด” ทรัพยากรของคนไทย และกำลังขยายวงออกไปขูดรีดทรัพยาการด้านพลังงานของเพื่อนบ้านตามข่าวที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ใช่หรือไม่
สำหรับ “ASTV ผู้จัดการ” ขอยืนยันว่าไม่ได้หวั่นไหวกับคำขู่คุกคาม หรือหวั่นไหวกับวิธีการที่ใช้มาตรการทางกฎหมายมาปิดปาก โดยเรายืนยันว่าจะทำหน้าที่ขุดคุ้ยหาความจริง นำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่อย่างแน่วแน่ต่อไป และยืนยันว่าที่ผ่านมาเราได้นำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้องครบถ้วนทุกด้าน ยึดหลักประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งหาก ปตท.ยังมีข้อมูลที่เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือ ต้องการชี้แจงเพิ่มเติมก็สามารถทำได้ตลอดเวลา แต่ขณะเดียวกัน กลุ่ม ปตท.ก็ต้องตระหนักด้วยว่า ตัวเองดำเนินธุรกิจที่เกิดผลกระทบกับชาวบ้าน ก็ต้องพร้อมให้เกิดการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ซึ่งวิธีการดังกล่าวที่กำลังดำเนินการอยู่นอกจากไม่ได้เกิดผลในทางบวกแล้ว ตรงกันข้ามยิ่งทำให้เห็นว่าสิ่งที่ ปตท.ได้ประกาศเจตนารมณ์นั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่การ “สร้างภาพบิดเบือน” เท่านั้น
ที่สำคัญวิธีการข่มขู่ ปิดปากแบบนี้ใช้ไม่ได้ผลกับ “ASTV ผู้จัดการ” เป็นอันขาด !!