เราได้เขียนย้ำเตือนมาตลอดว่า ประเทศไทยเราตกอยู่ใต้การปกครองเผด็จการรัฐธรรมนูญมา 18 ฉบับ ยาวนานกว่า 81 ปี และขณะนี้กำลังมีกระแสประหาร (Coup d'etat) เกิดขึ้นอีกแล้ว (รัฐประหารต่างจากปฏิวัติ (Revolution) โดยสิ้นเชิง ประเทศไทยไม่เคยมีการปฏิวัติทางการเมืองเลยแม้เพียงสักครั้งเดียว) ก็แน่นอนว่า คู่แฝด คู่เหตุผลแห่งความหายนะสลับกันไปสลับกันมา เป็นเหตุเป็นผลกันระหว่างรัฐบาลพลเรือนกับการรัฐประหาร
หากเราย้อนไปดู นับแต่การรัฐประหารครั้งแรก คณะราษฎรยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 แล้วใช้อำนาจร่างรัฐธรรมนูญปกครองชั่วคราว เป็นต้นมา หลังจากนั้น การปกครองแบบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ก็ได้เริ่มขึ้นนับแต่นั้นมา มอมเมามายาวนานจนนักการเมืองรุ่นหลัง นักวิชาการ ต่างก็เข้าใจผิดตามโดยไม่ได้ฉุกคิด วิเคราะห์ วิจัยว่า รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไปยึดเอาความเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติยิ่งนัก
เพราะความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติ ที่ผู้ปกครองรุ่นแล้วรุ่นเล่า เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญ คือระบอบประชาธิปไตย และเป็นการสร้างวงจรอุบาทว์ “รัฐประหาร-ร่างรัฐธรรมนูญ-รัฐบาลพลเรือน-รัฐประหาร-ร่างรัฐธรรมนูญใหม่” ซ้ำรอยเช่นนี้มา 14 ครั้ง ใช้รัฐธรรมนูญผิดๆ มา 18 ครั้ง
ท่านทั้งหลายจึงเห็นได้ว่า การเมืองเผด็จการรัฐธรรมนูญ ย่อมมีกระแสรัฐประหารเสมอไป เพราะแนวคิดของพวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญคือ คิดได้เพียง 1) รัฐประหาร 2) ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ หรือแก้ไขเพราะการปกครองแบบเผด็จการมันไม่สนองตอบต่อชาติและปวงชนในชาติ แต่มันกลับสร้างความร่ำรวยให้กับนักการเมือง และจะมีแต่นักการเมืองขี้โกงเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มประเทศทุกตำแหน่งที่มีนักการเมือง
อีกด้านหนึ่งประเทศไทยกำลังเข้าสู่การปฏิวัติอย่างสันติ (เปิดเผย) แต่ไม่ใช่รัฐประหาร (ปิดลับสุดยอด) การปฏิวัติเพื่อหยุดวงจรอุบาทว์ทั้งสองทาง คือ รัฐประหาร และร่างรัฐธรรมนูญเผด็จการตัวใหม่ขึ้นมาอีก เราจะเห็นได้ว่ารัฐบาล ทักษิณ ฯลฯ กับ รัฐบาลอภิสิทธิ์รัฐบาลปู ไม่มีอะไรต่างกันเลย เข้ามาแล้วกู้เงินบริหารประเทศ คอร์รัปชันหลายหมื่นล้าน กดขี่ ขูดรีด ยิ่งปกครองประชาชนยิ่งยากจน เหมือนกันทุกรัฐบาล วงจร “อัปรีย์ไป จัญไรมา”
เมื่อสภาพการณ์ความเป็นจริงที่ดำรงอยู่จริงๆ ของประเทศไทยเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ (เพราะใช่กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นจุดศูนย์กลาง หรือเป็นตัวถือดุล) ใช้รูปการปกครองคือระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นรูปการปกครอง จึงเรียกว่า “ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา) นี่คือเหตุแห่งความความหายนะชาติเพราะมันเป็นเหตุของทุกรัฐบาล มันเป็นเหตุของการปกครอง มันเป็นเหตุของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมรวมศูนย์ (ทุนสามานย์) มันจึงเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาฝ่ายพินาศ “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี” เมื่อมีเหตุเลว ย่อมมีผลเลว” ดังนี้
เหตุ คือ ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ
ผล คือ รัฐบาลทุกรัฐบาล เช่น ทักษิณ มาร์ค ปู หรือ เผด็จการรัฐสภา
ผล คือ ระบอบเศรษฐกิจทุนนิยมรวมศูนย์ทุน (ทุนสามานย์)
หากเราตั้งยุทธศาสตร์ หรือจุดหมายของการต่อสู้ ยกคันธนูพุ่งเป้าไปที่ระบอบทักษิณ ระบอบปู มันก็เท่ากับว่า คุณกำลังยิงเงาของระบอบเผด็จการ นั่นเอง แล้วประชาชนจะได้อะไรไหม การนำผิดก็ต้องพ่ายแพ้และเสียเวลาเปล่า
หากคุณโค่นรัฐบาลปูได้แล้ว แล้วจัดให้มีเลือกตั้งใหม่ หรือไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฯลฯ เพื่อกำหนดคุณสมบัติใหม่ของการได้มาของผู้แทน
ระบอบทักษิณ มันก็ยังคงมีอยู่คงเดิม การเมืองมันก็ยังคงเป็นการเมืองของนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียวอยู่เช่นเดิม สู้ไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะเป็นการปลุกระดมต่อสู้ผิดเป้าหมาย ดีไม่ดี เกิดสงครามกลางเมือง คนไทยรบกันเอง
เราบอกให้ท่านทั้งหลายรักชาติ และต้องสู้ ทุกคนต้องสมมติตนเองเป็นพระเจ้าตาก แต่งตั้งตนเองเป็นผู้นำกู้ชาติอย่างมีปัญญา สู้อย่างสันติ เปิดเผย เพื่อชี้ให้เห็นว่า ศัตรูของคนไทย คือระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ คือความเห็นผิดของผู้ปกครอง จึงต้องต่อสู้ด้วยปัญญา ต่อสู้ด้วยการเมืองที่เหนือกว่า และต่อสู้ด้วยความเมตตาอย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดปัญญาร่วมกัน เพื่อคลายความเห็นผิด
ดังนั้น พึงพิจารณาเถิด ในเมื่อความเป็นจริง สภาพเดิมๆ มันเป็นระบอบเผด็จการ ดังนั้น การปฏิรูปในระบอบเผด็จการนั้น มันจะทำให้ความเป็นเผด็จการเข้มข้นมากยิ่งขึ้น นี่คือความจริงที่ประชาชนจะต้องรู้
การปฏิรูป แปลว่า หมุน วน สับเปลี่ยน รูป คือรูปธรรม ดังเช่น การปรับปรุงเก้าอี้ในรัฐสภา อย่างนี้เรียกว่าปฏิรูป การปรับปรุงขบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อลดขั้นตอนในการผลิต เพื่อลดต้นทุน อย่างนี้เรียกว่า การปฏิรูปการผลิต
ส่วนการปฏิรูปทางการเมืองในระบอบเผด็จการ คือ การปรับปรุงตัวบทกฎหมาย เพิ่มโน้นเพิ่มนี่ ป้องกันโน้น ป้องกันนี่ ยิ่งมีกฎหมายมากก็ยิ่งเผด็จการมากขึ้นและไม่ได้ประโยชน์อะไรกับประชาชน จะได้ความภาคภูมิใจของฝ่ายรัฐบาลที่หลงเข้าใจว่าควบคุมประชาชนได้ ง่ายต่อการปกครองอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดพลาดต่อชาติอย่างร้ายแรงยิ่งนัก
ดังนั้น การที่รัฐบาลตั้งสภาปฏิรูปการเมือง ฝ่ายสภาประชาชนปฏิรูป ฯลฯ รับรองได้ว่าลงท้ายก็คือ แก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้ไขกฎหมาย เพราะว่ากรอบความคิดทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายแกนนำภาคประชาชนบางส่วนในขณะนี้ เขาตั้งสมมติฐานเหมือนกันคือ ประเทศเป็นประชาธิปไตยแล้ว แต่ความเป็นจริงเป็นเผด็จการ 100%
เป็นเผด็จการเพราะหลักการปกครองโดยธรรม หรือจุดหมายร่วมของปวงชนยังไม่มี หรือหลักนิติธรรมแห่งชาติหรือหลักความยุติธรรมแห่งชาติยังไม่ได้รับการเปิดเผย หรือหลักความมั่นคงสูงสุดแห่งรัฐยังไม่ได้รับการเปิดเผย และที่สำคัญอำนาจอธิปไตยเป็นของนักการเมืองกลุ่มทุนเพียงหยิบมือเดียว
การปฏิวัติ จึงไม่ใช่รัฐประหาร แต่สังคมไทย สื่อบ้านเราแย่มาก เอาการทำรัฐประหารว่าเป็นการปฏิวัติ เพราะความไม่รู้จริงและล้าหลังของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่เมื่อสื่อเห็นผิด ก็ทำให้ผู้อ่านเห็นผิดไปด้วย
การปฏิวัติ แปลว่า การหมุนไปสู่เนื้อหาใหม่ การก้าวกระโดดไปสู่เนื้อหาใหม่และรูปใหม่ ดังเช่น จากเห็นผิด เป็นความเห็นถูก การปฏิวัติเป็นการเปลี่ยนเนื้อหาเก่า ไปเป็นเนื้อหาใหม่ หรือเป็นการเปลี่ยนสิ่งที่ไร้สาระแก่นสาร เป็นสิ่งที่มีสาระแก่นสาร
การปฏิวัติอุตสาหกรรม คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากการที่ใช้แรงงานคนหรือสัตว์ ไปเป็นการใช้เครื่องจักร นี่คือการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระและรูปจากเก่าไปสู่ใหม่ที่ก้าวหน้ากว่า
การปฏิวัติทางการเมือง ได้แก่
1) การเปลี่ยนระบอบเผด็จการ ไปเป็นระบอบประชาธิปไตยแท้ หรือธรรมาธิปไตย
2) การเปลี่ยนระบอบการเมืองเผด็จการที่มีแต่รัฐธรรมนูญเป็นเหตุ ไปเป็นระบอบการเมืองโดยธรรมที่มีหลักการปกครองโดยธรรมเป็นศูนย์กลางของปวงชน เป็นหลักความยุติธรรมแห่งรัฐและเป็นเหตุที่มาของกฎหมายรัฐธรรมนูญและแม่บทของกฎหมาย ระเบียบอื่นๆ
3) สร้างสัมพันธภาพที่ถูกต้อง “จุดหมายย่อมมาก่อนวิธีการไปสู่จุดหมาย ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย ต้องมาก่อนกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
แต่ผู้ปกครอง และแกนนำพรรคการเมืองต่างๆ ที่เขามีความเชื่อรัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย พวกเขาไม่สามารถเข้าใจประเด็นนี้ได้เลย ดังนั้นพวกเขาจึงเห็นผิดตั้งต้น เมื่อมาเป็นรัฐบาล พวกเขาจึงทำลายชาติและประชาชนให้ตกต่ำลงๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำผิด บริหารผิดซ้ำซาก
สิ่ง หรือเป้าหมาย หรือจุดหมาย ที่เราจะเข้าถึงนั้น เข้าใช้ประโยชน์ได้นั้น สิ่งนั้นจะต้องมีอยู่ก่อน เช่น เราไปวัดพระแก้วได้ ก็เพราะวัดพระแก้วมีอยู่ก่อน เราไปโรงพยาบาลศิริราชได้ ก็เพราะโรงพยาบาลศิริราชมีอยู่ก่อน เราจึงไป ด้วยหลายๆ วิธีการอันแตกต่างหลากหลาย เช่น เดิน จักรยาน มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ เป็นต้น ดุจเดียวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ มีหลายหมวด หลายมาตรา
ดวงอาทิตย์ เป็นเอกภาพของดาวเคราะห์ ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย ย่อมเป็นเอกภาพของปวงชน และกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น
แต่ผู้ปกครองไทยทำผิดมาตลอด เพราะเห็นผิด ตื้นเขินทางปัญญา หรือเพราะว่าอยากจะกดขี่ขูดรีดประชาชนทุกรัฐบาลเช่นนั้นหรือ
ผู้ปกครองทำผิดมาตลอด คือ ไปเอาวิธีการ คือกฎหมายรัฐธรรมนูญมาก่อนจุดหมายเมื่อจุดหมายการปกครองของปวงชนไม่มี ก็แน่นอนว่า จุดหมายของการปกครองเผด็จการมันก็อยู่ที่พรรคผู้ปกครองรัฐบาล เพียงหยิบมือเดียว จึงได้เรียกว่า ระบอบเผด็จการ นี่คือความเห็นถูกต้อง
ดังนั้น การต่อสู้สู่การปฏิวัติสันติ ต้องต่อสู้ด้วยปัญญา ด้วยการเจรจาพูดคุย บรรยายให้ความรู้ที่ถูกต้อง พิสูจน์ได้ ดังได้บรรยายมาแล้วโดยย่อๆ
การตั้งยุทธศาสตร์ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงคือ “ร่วมมือร่วมใจไปสู่เป้าหมายคือโค่นระบอบเผด็จการ สถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย” เปลี่ยนระบอบการเมืองของนักการเมือง มาเป็นระบอบการเมืองของปวงชนด้วยหลักการปกครองธรรมาธิปไตย โดยมีรูปธรรม กล่าวคือ
การปฏิวัติสันติ เป็นการร่วมมือร่วมใจของพสกนิการกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ร่วมใจกันพิจารณาสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 โดยย่อคือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักดุลยภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม
นี่คือความถูกต้องยิ่งใหญ่ก้าวแรกที่จะหยุดยั้งเผด็จการทั้งสอง คือ เผด็จการรัฐประหาร และเผด็จการรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นขบวนการบ่อนทำลายชาติให้ล้าหลังและประชาชนยากจนลงๆ ล้มเลิกมันเสียเถอะพี่น้อง แล้วมาร่วมกันเรียกร้อง “ทรงพระเจริญ ขอพระราชทานหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9”ระบอบทักษิณ มาร์ค ปู ก็จะหายไป
ระบอบเผด็จการ คือความพ่ายแพ้ของชาติและประชาชน
หลักการปกครองธรรมาธิปไตย คือชัยชนะของปวงชน
หากเราย้อนไปดู นับแต่การรัฐประหารครั้งแรก คณะราษฎรยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 แล้วใช้อำนาจร่างรัฐธรรมนูญปกครองชั่วคราว เป็นต้นมา หลังจากนั้น การปกครองแบบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ก็ได้เริ่มขึ้นนับแต่นั้นมา มอมเมามายาวนานจนนักการเมืองรุ่นหลัง นักวิชาการ ต่างก็เข้าใจผิดตามโดยไม่ได้ฉุกคิด วิเคราะห์ วิจัยว่า รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไปยึดเอาความเห็นผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติยิ่งนัก
เพราะความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติ ที่ผู้ปกครองรุ่นแล้วรุ่นเล่า เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญ คือระบอบประชาธิปไตย และเป็นการสร้างวงจรอุบาทว์ “รัฐประหาร-ร่างรัฐธรรมนูญ-รัฐบาลพลเรือน-รัฐประหาร-ร่างรัฐธรรมนูญใหม่” ซ้ำรอยเช่นนี้มา 14 ครั้ง ใช้รัฐธรรมนูญผิดๆ มา 18 ครั้ง
ท่านทั้งหลายจึงเห็นได้ว่า การเมืองเผด็จการรัฐธรรมนูญ ย่อมมีกระแสรัฐประหารเสมอไป เพราะแนวคิดของพวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญคือ คิดได้เพียง 1) รัฐประหาร 2) ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ หรือแก้ไขเพราะการปกครองแบบเผด็จการมันไม่สนองตอบต่อชาติและปวงชนในชาติ แต่มันกลับสร้างความร่ำรวยให้กับนักการเมือง และจะมีแต่นักการเมืองขี้โกงเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มประเทศทุกตำแหน่งที่มีนักการเมือง
อีกด้านหนึ่งประเทศไทยกำลังเข้าสู่การปฏิวัติอย่างสันติ (เปิดเผย) แต่ไม่ใช่รัฐประหาร (ปิดลับสุดยอด) การปฏิวัติเพื่อหยุดวงจรอุบาทว์ทั้งสองทาง คือ รัฐประหาร และร่างรัฐธรรมนูญเผด็จการตัวใหม่ขึ้นมาอีก เราจะเห็นได้ว่ารัฐบาล ทักษิณ ฯลฯ กับ รัฐบาลอภิสิทธิ์รัฐบาลปู ไม่มีอะไรต่างกันเลย เข้ามาแล้วกู้เงินบริหารประเทศ คอร์รัปชันหลายหมื่นล้าน กดขี่ ขูดรีด ยิ่งปกครองประชาชนยิ่งยากจน เหมือนกันทุกรัฐบาล วงจร “อัปรีย์ไป จัญไรมา”
เมื่อสภาพการณ์ความเป็นจริงที่ดำรงอยู่จริงๆ ของประเทศไทยเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ (เพราะใช่กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นจุดศูนย์กลาง หรือเป็นตัวถือดุล) ใช้รูปการปกครองคือระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นรูปการปกครอง จึงเรียกว่า “ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา) นี่คือเหตุแห่งความความหายนะชาติเพราะมันเป็นเหตุของทุกรัฐบาล มันเป็นเหตุของการปกครอง มันเป็นเหตุของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมรวมศูนย์ (ทุนสามานย์) มันจึงเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาฝ่ายพินาศ “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี” เมื่อมีเหตุเลว ย่อมมีผลเลว” ดังนี้
เหตุ คือ ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ
ผล คือ รัฐบาลทุกรัฐบาล เช่น ทักษิณ มาร์ค ปู หรือ เผด็จการรัฐสภา
ผล คือ ระบอบเศรษฐกิจทุนนิยมรวมศูนย์ทุน (ทุนสามานย์)
หากเราตั้งยุทธศาสตร์ หรือจุดหมายของการต่อสู้ ยกคันธนูพุ่งเป้าไปที่ระบอบทักษิณ ระบอบปู มันก็เท่ากับว่า คุณกำลังยิงเงาของระบอบเผด็จการ นั่นเอง แล้วประชาชนจะได้อะไรไหม การนำผิดก็ต้องพ่ายแพ้และเสียเวลาเปล่า
หากคุณโค่นรัฐบาลปูได้แล้ว แล้วจัดให้มีเลือกตั้งใหม่ หรือไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฯลฯ เพื่อกำหนดคุณสมบัติใหม่ของการได้มาของผู้แทน
ระบอบทักษิณ มันก็ยังคงมีอยู่คงเดิม การเมืองมันก็ยังคงเป็นการเมืองของนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียวอยู่เช่นเดิม สู้ไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะเป็นการปลุกระดมต่อสู้ผิดเป้าหมาย ดีไม่ดี เกิดสงครามกลางเมือง คนไทยรบกันเอง
เราบอกให้ท่านทั้งหลายรักชาติ และต้องสู้ ทุกคนต้องสมมติตนเองเป็นพระเจ้าตาก แต่งตั้งตนเองเป็นผู้นำกู้ชาติอย่างมีปัญญา สู้อย่างสันติ เปิดเผย เพื่อชี้ให้เห็นว่า ศัตรูของคนไทย คือระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ คือความเห็นผิดของผู้ปกครอง จึงต้องต่อสู้ด้วยปัญญา ต่อสู้ด้วยการเมืองที่เหนือกว่า และต่อสู้ด้วยความเมตตาอย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดปัญญาร่วมกัน เพื่อคลายความเห็นผิด
ดังนั้น พึงพิจารณาเถิด ในเมื่อความเป็นจริง สภาพเดิมๆ มันเป็นระบอบเผด็จการ ดังนั้น การปฏิรูปในระบอบเผด็จการนั้น มันจะทำให้ความเป็นเผด็จการเข้มข้นมากยิ่งขึ้น นี่คือความจริงที่ประชาชนจะต้องรู้
การปฏิรูป แปลว่า หมุน วน สับเปลี่ยน รูป คือรูปธรรม ดังเช่น การปรับปรุงเก้าอี้ในรัฐสภา อย่างนี้เรียกว่าปฏิรูป การปรับปรุงขบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อลดขั้นตอนในการผลิต เพื่อลดต้นทุน อย่างนี้เรียกว่า การปฏิรูปการผลิต
ส่วนการปฏิรูปทางการเมืองในระบอบเผด็จการ คือ การปรับปรุงตัวบทกฎหมาย เพิ่มโน้นเพิ่มนี่ ป้องกันโน้น ป้องกันนี่ ยิ่งมีกฎหมายมากก็ยิ่งเผด็จการมากขึ้นและไม่ได้ประโยชน์อะไรกับประชาชน จะได้ความภาคภูมิใจของฝ่ายรัฐบาลที่หลงเข้าใจว่าควบคุมประชาชนได้ ง่ายต่อการปกครองอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดพลาดต่อชาติอย่างร้ายแรงยิ่งนัก
ดังนั้น การที่รัฐบาลตั้งสภาปฏิรูปการเมือง ฝ่ายสภาประชาชนปฏิรูป ฯลฯ รับรองได้ว่าลงท้ายก็คือ แก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้ไขกฎหมาย เพราะว่ากรอบความคิดทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายแกนนำภาคประชาชนบางส่วนในขณะนี้ เขาตั้งสมมติฐานเหมือนกันคือ ประเทศเป็นประชาธิปไตยแล้ว แต่ความเป็นจริงเป็นเผด็จการ 100%
เป็นเผด็จการเพราะหลักการปกครองโดยธรรม หรือจุดหมายร่วมของปวงชนยังไม่มี หรือหลักนิติธรรมแห่งชาติหรือหลักความยุติธรรมแห่งชาติยังไม่ได้รับการเปิดเผย หรือหลักความมั่นคงสูงสุดแห่งรัฐยังไม่ได้รับการเปิดเผย และที่สำคัญอำนาจอธิปไตยเป็นของนักการเมืองกลุ่มทุนเพียงหยิบมือเดียว
การปฏิวัติ จึงไม่ใช่รัฐประหาร แต่สังคมไทย สื่อบ้านเราแย่มาก เอาการทำรัฐประหารว่าเป็นการปฏิวัติ เพราะความไม่รู้จริงและล้าหลังของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่เมื่อสื่อเห็นผิด ก็ทำให้ผู้อ่านเห็นผิดไปด้วย
การปฏิวัติ แปลว่า การหมุนไปสู่เนื้อหาใหม่ การก้าวกระโดดไปสู่เนื้อหาใหม่และรูปใหม่ ดังเช่น จากเห็นผิด เป็นความเห็นถูก การปฏิวัติเป็นการเปลี่ยนเนื้อหาเก่า ไปเป็นเนื้อหาใหม่ หรือเป็นการเปลี่ยนสิ่งที่ไร้สาระแก่นสาร เป็นสิ่งที่มีสาระแก่นสาร
การปฏิวัติอุตสาหกรรม คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากการที่ใช้แรงงานคนหรือสัตว์ ไปเป็นการใช้เครื่องจักร นี่คือการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระและรูปจากเก่าไปสู่ใหม่ที่ก้าวหน้ากว่า
การปฏิวัติทางการเมือง ได้แก่
1) การเปลี่ยนระบอบเผด็จการ ไปเป็นระบอบประชาธิปไตยแท้ หรือธรรมาธิปไตย
2) การเปลี่ยนระบอบการเมืองเผด็จการที่มีแต่รัฐธรรมนูญเป็นเหตุ ไปเป็นระบอบการเมืองโดยธรรมที่มีหลักการปกครองโดยธรรมเป็นศูนย์กลางของปวงชน เป็นหลักความยุติธรรมแห่งรัฐและเป็นเหตุที่มาของกฎหมายรัฐธรรมนูญและแม่บทของกฎหมาย ระเบียบอื่นๆ
3) สร้างสัมพันธภาพที่ถูกต้อง “จุดหมายย่อมมาก่อนวิธีการไปสู่จุดหมาย ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย ต้องมาก่อนกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น”
แต่ผู้ปกครอง และแกนนำพรรคการเมืองต่างๆ ที่เขามีความเชื่อรัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย พวกเขาไม่สามารถเข้าใจประเด็นนี้ได้เลย ดังนั้นพวกเขาจึงเห็นผิดตั้งต้น เมื่อมาเป็นรัฐบาล พวกเขาจึงทำลายชาติและประชาชนให้ตกต่ำลงๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำผิด บริหารผิดซ้ำซาก
สิ่ง หรือเป้าหมาย หรือจุดหมาย ที่เราจะเข้าถึงนั้น เข้าใช้ประโยชน์ได้นั้น สิ่งนั้นจะต้องมีอยู่ก่อน เช่น เราไปวัดพระแก้วได้ ก็เพราะวัดพระแก้วมีอยู่ก่อน เราไปโรงพยาบาลศิริราชได้ ก็เพราะโรงพยาบาลศิริราชมีอยู่ก่อน เราจึงไป ด้วยหลายๆ วิธีการอันแตกต่างหลากหลาย เช่น เดิน จักรยาน มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ เป็นต้น ดุจเดียวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ มีหลายหมวด หลายมาตรา
ดวงอาทิตย์ เป็นเอกภาพของดาวเคราะห์ ฉันใด หลักการปกครองธรรมาธิปไตย ย่อมเป็นเอกภาพของปวงชน และกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น
แต่ผู้ปกครองไทยทำผิดมาตลอด เพราะเห็นผิด ตื้นเขินทางปัญญา หรือเพราะว่าอยากจะกดขี่ขูดรีดประชาชนทุกรัฐบาลเช่นนั้นหรือ
ผู้ปกครองทำผิดมาตลอด คือ ไปเอาวิธีการ คือกฎหมายรัฐธรรมนูญมาก่อนจุดหมายเมื่อจุดหมายการปกครองของปวงชนไม่มี ก็แน่นอนว่า จุดหมายของการปกครองเผด็จการมันก็อยู่ที่พรรคผู้ปกครองรัฐบาล เพียงหยิบมือเดียว จึงได้เรียกว่า ระบอบเผด็จการ นี่คือความเห็นถูกต้อง
ดังนั้น การต่อสู้สู่การปฏิวัติสันติ ต้องต่อสู้ด้วยปัญญา ด้วยการเจรจาพูดคุย บรรยายให้ความรู้ที่ถูกต้อง พิสูจน์ได้ ดังได้บรรยายมาแล้วโดยย่อๆ
การตั้งยุทธศาสตร์ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงคือ “ร่วมมือร่วมใจไปสู่เป้าหมายคือโค่นระบอบเผด็จการ สถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย” เปลี่ยนระบอบการเมืองของนักการเมือง มาเป็นระบอบการเมืองของปวงชนด้วยหลักการปกครองธรรมาธิปไตย โดยมีรูปธรรม กล่าวคือ
การปฏิวัติสันติ เป็นการร่วมมือร่วมใจของพสกนิการกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ร่วมใจกันพิจารณาสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 โดยย่อคือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักดุลยภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม
นี่คือความถูกต้องยิ่งใหญ่ก้าวแรกที่จะหยุดยั้งเผด็จการทั้งสอง คือ เผด็จการรัฐประหาร และเผด็จการรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นขบวนการบ่อนทำลายชาติให้ล้าหลังและประชาชนยากจนลงๆ ล้มเลิกมันเสียเถอะพี่น้อง แล้วมาร่วมกันเรียกร้อง “ทรงพระเจริญ ขอพระราชทานหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9”ระบอบทักษิณ มาร์ค ปู ก็จะหายไป
ระบอบเผด็จการ คือความพ่ายแพ้ของชาติและประชาชน
หลักการปกครองธรรมาธิปไตย คือชัยชนะของปวงชน