รถติดทางด่วนหลังขึ้นค่าผ่านทางวันแรก โดยเฉพาะหน้าด่านช่อง Easy Pass ด้านเครื่อข่ายคัดค้านการปรับขึ้นราคาแอลพีจีตั้งโต๊ะล่ารายชื่อไล่ "เพ้ง" ประชาชนทยอยลงชื่อไล่อย่างต่อเนื่อง เหตุเดือดร้อน ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์จวก "รัฐบาลปู" กระซวกค่าครองชีพแก้ปัญหาหน่อมแน้ม ออกนโยบายกระทืบคนจน วอนชะลอขึ้นค่าแก๊สหุงต้ม
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ได้จัดเก็บค่าทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัชและทางพิเศษบูรพาวิถี ในอัตราใหม่ โดยรถยนต์ 4 ล้อ ปรับเป็น 50 บาทมีผลตั้งแต่เวลา 00.01น. ของวันที่ 1 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา ปรากฎว่าเกิดความวุ่นวายหน้าด่านจนมีปัญหารถติด เนื่องจากผู้ใช้ทางด่วนหลายรายยังไม่ทราบราคาใหม่ ประกอบกับในช่องผ่านทางบัตร Easy Pass ยังมีปัญหาการใช้งานอยู่ เนื่องจากกทพ.ยังอยู่ระหว่างการปรับฐานข้อมูลกลางของระบบ (Venter System : CS) เพื่อทำให้การประมวลผลข้อมูลการใช้บัตรแบบ Real Time
นายอัยยณัฐ ถินอภัย ผู้ว่าการ กทพ. ยอมรับว่าหลังจากใช้อัตราค่าผ่านทางใหม่ เมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 1 กันยายน ในส่วนของช่อง Easy Pass ยังมีปัญหาอยู่บ้างเช่น บางรายติดบัตรไม่ถูกต้อง บางรายไม่ติดบัตรแต่ใช้ถือแทน ทำให้การอ่านบัตรไม่ได้ รวมถึงบางรายมีเงินสำรองในบัตรไม่พอกับค่าผ่านทางซึ่งกรณีนี้อาจเป็นผลมาจากการระบบฐานข้อมูลยังอยู่ระหว่างปรับปรุง ทำให้ตัวเลขที่แจ้งยอดคงเหลือหน้าด่านเป็นข้อมูลเดิม แต่ยังไม่ทำให้มีปัญหาการจราจรหน้าด่านเนื่องจากเป็นวันหยุด
"ช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา กทพ.ได้เร่งปรับฐานข้อมูลของระบบที่ค้างซึ่งเสร็จเรียบร้อยภายในวันที่ 1 กันยายน และจะทำให้มูลค่าบัตร Easy Pass ทุกใบเป็นปัจจุบัน ทั้งนี้พบว่า มีบัตรกว่า 3 หมื่นใบที่มียอดเงินสำรองติดลบ ซึ่งหากเจ้าของบัตรไม่เติมเงินสำรองเพิ่มเข้าไปก็จะใช้ผ่านทางไม่ได้ และอาจจะกระทบต่อการจราจรในเช้าวันจันทร์ที่ 2 กันยายนซึ่งเป็นวันเปิดทำงานวันแรกของสัปดาห์"
นายอัยยณัฐกล่าวว่า กทพ.ได้เตรียมแผนเพื่อรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นแล้ว โดยจัดเจ้าหน้าที่ 1-2 คนประจำช่องบัตร Easy Pass ซึ่งปกติไม่มี เพื่ออำนวยความสะดวก และหากพบกรณีที่บัตรมีเงินสำรองติดลบโดยที่เจ้าของบัตรไม่ทราบ เจ้าหน้าที่ จะใช้วิธียิงบาร์โค้ดเพื่อให้รถผ่านไปได้ก่อน พร้อมแจ้งให้เจ้าของบัตรเร่งเติมเงินสำรองในบัตรและได้ประสานกับตำรวจจราจรเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกด้านจราจรอีกด้วย
ผู้ใช้บัตร Easy Pass รายหนึ่งให้ข้อมูลว่า ล่าสุดใช้ทางด่วนเมื่อวันที่ 31 สิงหาคมหลังผ่านทางแล้ว ตัวเลขโชว์เงินสำรองในบัตรเหลือ 235 บาท แต่เมื่อใช้ทางด่วนอีกครั้งเมื่อวันที่ 1 กันยายน มีตัวเลข 55 บาทแสดงที่ช่องค่าผ่านทาง ส่วนช่องเงินคงเหลือไม่แสดงมูลค่า โดยหลังตรวจสอบข้อมูลกับกทพ.พบว่า ตัวเลข 55 บาทคือ เงินคงเหลือในบัตร และมูลค่าในบัตรก่อนหน้านี้มี 105 บาทไม่ใช่235 บาทที่แสดงตอนผ่านทางเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ซึ่งเป็นปัญหามาจากข้อมูลในระบบค้างและเมื่อมีการเคลียร์ข้อมูลใหม่ ยอดเงินจึงเหลือตามที่ใช้จริงซึ่งเป็นคนละตัวเลขที่แสดงให้ผู้ใช้ทางเห็นล่าสุด
***ตั้งโต๊ะล่ารายชื่อไล่ "เพ้ง" คึกคัก
วานนี้ (1 ก.ย.) เครือข่ายคัดค้านการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนได้มีการตั้งโต๊ะเพื่อให้ประชาชนร่วมลงชื่อ 50,000 รายเพื่อตรวจสอบและถอดถอนนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน ปลัดกระทรวงพลังงาน อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นวันแรก พบว่ามีประชาชนทยอยมาลงลายมือชื่อกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้า
การยื่นถอดถอนรายชื่อกลุ่มบุคคลดังกล่าว ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่สำคัญในการกำหนดนโยบาย บริหารจัดการ กำกับดูแลผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมให้เป็นธรรม แต่พบว่าบุคคลดังกล่าวมีพฤติกรรมส่อไปว่าจงใจใช้อำนาจไปทางมิชอบ เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนจนก่อให้เกิดการผูกขาดตัดตอนในธุรกิจพลังงาน
การให้ข้อมูลเท็จว่าการใช้แอลพีจีในยานยนต์เป็นการใช้ผิดประเภท รวมทั้งเลือกปฏิบัติในการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากกลุ่มอุตฯปิโตรเคมีเพียง 1 บาท/กิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าภาคอุตสาหกรรมอื่นที่จ่ายอยู่ 12 บาท/กิโลกรัม ทั้งๆที่ปิโตรเคมีมีการใช้ก๊าซแอลพีจีสูงเกือบ 3 พันล้านกิโลกรัม/ปี สร้างความไม่เป็นธรรมระหว่างภาคอุตสาหกรรมด้วยกันเอง และยังเป็นการผลักภาระการจ่ายเงินเข้ากองทุนฯให้แก่ประชาชนผู้ใช้น้ำมันด้วย
นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนเจ้าของพลังงานไทย กล่าวว่า ในวันที่ 1 ก.ย.นี้มีประชาชนคนชั้นกลางและทั่วไปมาร่วมลงลายมือที่หน้าป้ายรถเมล์หน้าสำนักงานใหญ่ปตท.อย่างต่อเนื่องทั้งที่เป็นวันหยุดประมาณ 400ราย ขณะเดียวกันก็มีการตั้งโต๊ะลงชื่อที่สวนลุม และตามจังหวัดต่างๆโดยมีเครือข่ายผู้บริโภคประสานงานร่วมกัน เพื่อให้ได้รายชื่อครบ 50,000 รายชื่อตามเป้าหมายเพื่อยื่นต่อรัฐสภา และผู้ตรวจราชการแผ่นดินต่อไป
ทั้งนี้ ทางเครือข่ายฯจะตั้งโต๊ะให้ประชาชนมาลงชื่อที่ป้ายรถเมล์หน้า สนง.ใหญ่ปตท.ในวันนี้จนถึงวันที่ 8 ก.ย.นี้ และในวันที่ 9 ก.ย.จะนัดชุมนุมใหญ่หน้าสำนักงานใหญ่ปตท.ตั้งแต่เวลา 09.09 -19.00 น. เพื่อแสดงพลังภาคประชาชนในการคัดค้านและให้ยุติการปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีครัวเรือนที่เริ่มขยับขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.ในอัตรากิโลกรัมละ 0.50 บาท
ด้านนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน กล่าวว่า ในวันที่ 1 ก.ย.นี้ แม้จะเป็นวันแรกของการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคครัวเรือน แต่ไม่กังวลเรื่องการขอใช้สิทธิของประชาชน สามารถมาขอขึ้นทะเบียนได้ต่อเนื่อง เพราะไม่ได้กำหนดระยะเวลาและไม่มีวันหมดเขต ซึ่งจะเห็นได้ว่าวันนี้ยังมีคนได้รับสิทธิทยอยเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
"ยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนแน่นอน เพราะรัฐบาลช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยให้ใช้แอลพีจีราคาเดิมต่อไป ส่วนผู้มีรายได้มากจะไม่มีผลกระทบต่อราคาอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน เพราะราคาก๊าซที่ปรับขึ้นครั้งนี้จะสะท้อนต้นทุนเพียง 2 สตางค์เท่านั้น หากร้านค้าใดที่ฉวยโอกาสปรับราคาเกินความเป็นจริงขอให้ประชาชนแจ้งกระทรวงพาณิชย์ได้ทันที"
***ปชป. จวกปูกระซวกค่าครองชีพ
วานนี้ ( 1ก.ย.) คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย นายสรรเสริญ สมะลาภา นายชนินทร์ รุ่งแสง และ นายอรรถวิช สุวรรณภักดี ร่วมกันแถลงเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ และค่าครองชีพ โดยนายสรรเสริญ กล่าวว่า ตัวเลขเศรษกิจติดลบหมด มีเพียงแค่ภาคการท่องเที่ยวเท่านั้นที่ไม่ติดลบ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจยังไม่ถึงจุดต่ำสุด หมายถึงว่า อีก 1-2 เดือน อาจลงต่ำกว่านี้ เพราะมีแรงส่งด้านลบสูงมาก ทั้งการบริโภค ลงทุน และการส่งออก เนื่องจากประชาชนชะลอการบริโภค เพราะหนี้ครัวเรือนมาก ในขณะที่รัฐบาลไม่มีมาตรการแก้ไข มีแค่การชะลอการจ่ายเงินต้น และลดดอกเบี้ย ร้อยละ 3 ให้กับหนี้ดีของ ธ.ก.ส. แต่ไม่แก้หนี้นอกระบบ เพราะฉะนั้นการบริโภคที่ซบเซา จะดำเนินต่อไป อีกทั้งงบลงทุนไม่ออก เพราะรัฐบาลดื้อดึงในเรื่องเงินกู้ 3.5 แสนล้าน ไม่ใส่ในงบประมาณ มีปัญหาด้านกฎหมาย ทำให้ใช้เงินส่วนนี้ไม่ได้
นอกจากนี้ การส่งออกทั้งเกษตร และอุตสาหกรรมนั้น แม้ว่าอุตสาหกรรมจะพอไปได้ แต่ภาคเกษตรติดลบ โดยเหตุผลหลักมาจากการส่งออกข้าวเพราะความผิดพลาดในเรื่องการจำนำข้าว ถ้ารัฐบาลยังไม่เลิกนโยบายนี้ ก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่จุดต่ำสุดของเศรษฐกิจ ถ้ารัฐบาลไม่แก้ไขปีนี้ เศรษฐกิจจะลงไปเรื่อย พึ่งได้แค่อย่างเดียวคือ ส่งออกอุตสาหกรรม แต่จีนมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ จะกระทบการลงทุน และการส่งออกไทยไปจีน ลดคิวอีของสหรัฐฯหลายคนมองเป็นสัญญาณที่ดีว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มดีขึ้น แต่มีผลกระทบทางอ้อม เพราะมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนไทยติดลบเงินไหลกลับไป แต่ถ้าสหรัฐฯฟื้นตัว ก็ถือว่ารัฐบาลโชคดี
นายสรรเสริฐ กล่าวว่า ขอเรียกร้องรัฐบาลหยุดพฤติกรรมการใช้ปากบริหารเศรษฐกิจ ที่ผ่านมารัฐบาลมีแต่ข้ออ้าง และข้อโต้แย้ง ต้องหยุดใช้ปากบริหารเศรษฐกิจ แล้วหันมาทำงาน ไม่ใช่บอกว่าของแพง เพราะประชาชนคิดไปเอง เศรษฐกิจไม่ดี เพราะมีวันหยุดเยอะ หนี้ครัวเรือนสูง เพราะแบงก์ชาติใช้นิยามคำนวณผิด รัฐบาลต้องหยุดเรื่องเหล่านี้ เพราะเป็นการบริหารที่หน่อมแน้ม และมีแต่การสร้างภาพ ความมั่นใจที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง พูดนั้น ไม่ได้มาจากการสร้างภาพแต่ต้องเกิดจากการปฏิบัติ
1 .ของแพง หลังจากปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อนมาร่วมปี สร้างวาทกรรมว่า แพงเพราะประชาชนคิดไปเอง แต่วันที่ 12 ก.ค.56 รัฐบาลก็จัดเวิร์กชอป แก้ปัญหาของแพง ออก 6 มาตรการ แสดงว่ายอมรับแล้วว่า สินค้าแพงจริง โดยบอกจะดูต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ พร้อมกับจะประชุมต่อเนื่องทุกเดือน อยากถามว่า ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว ทั้งนี้รัฐบาลไม่มีความจริงใจ เอาแต่สร้างภาพอย่างเดียว ควรเลิกพูดดูแลต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำได้แล้ว เพราะไม่มีผลในทางปฏิบัติ สินค้าด้านอาหารแพงขึ้น ประมาณ ร้อยละ7
2. หลังมีข่าวว่าเศรษฐกิจหดตัว รัฐบาลก็กระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีมติครม. 6 ส.ค.56 สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เรียกได้อย่างไรเพราะมาตรการที่ออกมา เป็นการช่วยเหลือรายภาค และขนาดการช่วยเหลือน้อยมาก เช่น สนับสนุนการจัดสัมมนาในประเทศ ให้นำค่าใช้จ่ายไปคำนวณหักภาษีเงินได้ สนับสนุนเครื่องไฟฟ้าประหยัดพลังงาน จัดมหกรรม "สิ่งเหล่านี้เป็นการช่วยเหลือรายภาค ที่ต้องเรียกว่า “หน่อมแน้ม” มีเพียงเรื่องเดียวที่เข้าข่ายคือ การเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณ ปัญหาปัจจุบันคือ งบฯลงทุนไม่ออก การเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณ เป็นมาตรการที่เหมาะสม แต่ถ้ารัฐบาลทำตามที่พรรคประชาธิปัตย์พูดตั้งแต่แรกว่าให้นำเงินกู้ 3.5 แสนล้านบา ไปใส่ในงบประมาณปกติ ป้านนี้งบลงทุนออกมาแล้ว และเศรษฐกิจคงไม่ซบเซาขนาดนี้ ถ้าไม่มีการแก้ไขเศรษฐกิจจะดิ่งเหวลงไปเรื่อย ๆ จึงขอแนะนำให้ถอน พ.ร.ก. เงินกู้ 3.5 แสนล้าน และ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน มาใส่ในงบประมาณปกติ คือจัดในงบกลางปี ซึ่งเป็นช่องทางตามปกติ " นายสรรเสริญ กล่าว
ด้านนายอรรถวิช กล่าวถึงราคาสินค้า ค่าครองชีพ และปัญหาหนี้ครัวเรือน ว่า เป็นยุคหนี้พุ่ง ของแพง โดยวันนี้เป็นวันโชคร้าย ที่สินค้าจะขึ้นราคา คือ แก๊สหุงต้มกิโลกรัมละ 50 สตางค์ ถังแก๊ส 15 ก.ก. ขึ้นเดือนละ 7.50 บาท เป็นเวลา 12 เดือน ทำให้ราคาจะไปอยู่ที่ 380 บาท จากราคา 290 บาทในปัจจุบัน มีการขึ้นค่าเอฟทีไฟฟ้า หน่วยละ 7 สตางค์ ครอบครัวคนชั้นกลางมีตู้เย็น เปิดทีวี แอร์ ปกติใช้ประมาณ 700 หน่วยต่อเดือน จะต้องจ่ายเพิ่ม 50 บาทต่อเดือน จากการปรับค่าเอฟที ดังกล่าว
ส่วนการขึ้นค่าทางด่วน 5-10 บาทนั้น สี่ล้อจาก 45 บาท เป็น 50 บาท นี่คือการกระชากค่าครองชีพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในขณะที่หนี้พุ่งโดยแบงก์ชาติ แถลงไปแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นนับตั้งแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์รับตำแหน่งนายกฯ ทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ จากนโยบายผิดพลาดในเรื่องรถยนต์คันแรก 1 ล้านคัน ใช้ภาษี 9 หมื่นล้านบาท ทำให้หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น ในขณะที่หนี้สาธารณะปี 2554 อยู่ที่ 4.245 ล้านล้านบาท ล่าสุดตัวเลขจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะไตรมาสที่สองของปี 2556 อยู่ที่ 5.224 ล้านล้านบาท เท่ากับหนี้สาธารณะพุ่งขึ้นถึง 1 ล้านล้านบาท ยังไม่รวมหนี้เงินกู้ 2 ล้านล้าน.
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ได้จัดเก็บค่าทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัชและทางพิเศษบูรพาวิถี ในอัตราใหม่ โดยรถยนต์ 4 ล้อ ปรับเป็น 50 บาทมีผลตั้งแต่เวลา 00.01น. ของวันที่ 1 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา ปรากฎว่าเกิดความวุ่นวายหน้าด่านจนมีปัญหารถติด เนื่องจากผู้ใช้ทางด่วนหลายรายยังไม่ทราบราคาใหม่ ประกอบกับในช่องผ่านทางบัตร Easy Pass ยังมีปัญหาการใช้งานอยู่ เนื่องจากกทพ.ยังอยู่ระหว่างการปรับฐานข้อมูลกลางของระบบ (Venter System : CS) เพื่อทำให้การประมวลผลข้อมูลการใช้บัตรแบบ Real Time
นายอัยยณัฐ ถินอภัย ผู้ว่าการ กทพ. ยอมรับว่าหลังจากใช้อัตราค่าผ่านทางใหม่ เมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 1 กันยายน ในส่วนของช่อง Easy Pass ยังมีปัญหาอยู่บ้างเช่น บางรายติดบัตรไม่ถูกต้อง บางรายไม่ติดบัตรแต่ใช้ถือแทน ทำให้การอ่านบัตรไม่ได้ รวมถึงบางรายมีเงินสำรองในบัตรไม่พอกับค่าผ่านทางซึ่งกรณีนี้อาจเป็นผลมาจากการระบบฐานข้อมูลยังอยู่ระหว่างปรับปรุง ทำให้ตัวเลขที่แจ้งยอดคงเหลือหน้าด่านเป็นข้อมูลเดิม แต่ยังไม่ทำให้มีปัญหาการจราจรหน้าด่านเนื่องจากเป็นวันหยุด
"ช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา กทพ.ได้เร่งปรับฐานข้อมูลของระบบที่ค้างซึ่งเสร็จเรียบร้อยภายในวันที่ 1 กันยายน และจะทำให้มูลค่าบัตร Easy Pass ทุกใบเป็นปัจจุบัน ทั้งนี้พบว่า มีบัตรกว่า 3 หมื่นใบที่มียอดเงินสำรองติดลบ ซึ่งหากเจ้าของบัตรไม่เติมเงินสำรองเพิ่มเข้าไปก็จะใช้ผ่านทางไม่ได้ และอาจจะกระทบต่อการจราจรในเช้าวันจันทร์ที่ 2 กันยายนซึ่งเป็นวันเปิดทำงานวันแรกของสัปดาห์"
นายอัยยณัฐกล่าวว่า กทพ.ได้เตรียมแผนเพื่อรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นแล้ว โดยจัดเจ้าหน้าที่ 1-2 คนประจำช่องบัตร Easy Pass ซึ่งปกติไม่มี เพื่ออำนวยความสะดวก และหากพบกรณีที่บัตรมีเงินสำรองติดลบโดยที่เจ้าของบัตรไม่ทราบ เจ้าหน้าที่ จะใช้วิธียิงบาร์โค้ดเพื่อให้รถผ่านไปได้ก่อน พร้อมแจ้งให้เจ้าของบัตรเร่งเติมเงินสำรองในบัตรและได้ประสานกับตำรวจจราจรเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกด้านจราจรอีกด้วย
ผู้ใช้บัตร Easy Pass รายหนึ่งให้ข้อมูลว่า ล่าสุดใช้ทางด่วนเมื่อวันที่ 31 สิงหาคมหลังผ่านทางแล้ว ตัวเลขโชว์เงินสำรองในบัตรเหลือ 235 บาท แต่เมื่อใช้ทางด่วนอีกครั้งเมื่อวันที่ 1 กันยายน มีตัวเลข 55 บาทแสดงที่ช่องค่าผ่านทาง ส่วนช่องเงินคงเหลือไม่แสดงมูลค่า โดยหลังตรวจสอบข้อมูลกับกทพ.พบว่า ตัวเลข 55 บาทคือ เงินคงเหลือในบัตร และมูลค่าในบัตรก่อนหน้านี้มี 105 บาทไม่ใช่235 บาทที่แสดงตอนผ่านทางเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ซึ่งเป็นปัญหามาจากข้อมูลในระบบค้างและเมื่อมีการเคลียร์ข้อมูลใหม่ ยอดเงินจึงเหลือตามที่ใช้จริงซึ่งเป็นคนละตัวเลขที่แสดงให้ผู้ใช้ทางเห็นล่าสุด
***ตั้งโต๊ะล่ารายชื่อไล่ "เพ้ง" คึกคัก
วานนี้ (1 ก.ย.) เครือข่ายคัดค้านการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนได้มีการตั้งโต๊ะเพื่อให้ประชาชนร่วมลงชื่อ 50,000 รายเพื่อตรวจสอบและถอดถอนนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน ปลัดกระทรวงพลังงาน อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นวันแรก พบว่ามีประชาชนทยอยมาลงลายมือชื่อกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้า
การยื่นถอดถอนรายชื่อกลุ่มบุคคลดังกล่าว ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่สำคัญในการกำหนดนโยบาย บริหารจัดการ กำกับดูแลผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมให้เป็นธรรม แต่พบว่าบุคคลดังกล่าวมีพฤติกรรมส่อไปว่าจงใจใช้อำนาจไปทางมิชอบ เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนจนก่อให้เกิดการผูกขาดตัดตอนในธุรกิจพลังงาน
การให้ข้อมูลเท็จว่าการใช้แอลพีจีในยานยนต์เป็นการใช้ผิดประเภท รวมทั้งเลือกปฏิบัติในการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากกลุ่มอุตฯปิโตรเคมีเพียง 1 บาท/กิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าภาคอุตสาหกรรมอื่นที่จ่ายอยู่ 12 บาท/กิโลกรัม ทั้งๆที่ปิโตรเคมีมีการใช้ก๊าซแอลพีจีสูงเกือบ 3 พันล้านกิโลกรัม/ปี สร้างความไม่เป็นธรรมระหว่างภาคอุตสาหกรรมด้วยกันเอง และยังเป็นการผลักภาระการจ่ายเงินเข้ากองทุนฯให้แก่ประชาชนผู้ใช้น้ำมันด้วย
นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนเจ้าของพลังงานไทย กล่าวว่า ในวันที่ 1 ก.ย.นี้มีประชาชนคนชั้นกลางและทั่วไปมาร่วมลงลายมือที่หน้าป้ายรถเมล์หน้าสำนักงานใหญ่ปตท.อย่างต่อเนื่องทั้งที่เป็นวันหยุดประมาณ 400ราย ขณะเดียวกันก็มีการตั้งโต๊ะลงชื่อที่สวนลุม และตามจังหวัดต่างๆโดยมีเครือข่ายผู้บริโภคประสานงานร่วมกัน เพื่อให้ได้รายชื่อครบ 50,000 รายชื่อตามเป้าหมายเพื่อยื่นต่อรัฐสภา และผู้ตรวจราชการแผ่นดินต่อไป
ทั้งนี้ ทางเครือข่ายฯจะตั้งโต๊ะให้ประชาชนมาลงชื่อที่ป้ายรถเมล์หน้า สนง.ใหญ่ปตท.ในวันนี้จนถึงวันที่ 8 ก.ย.นี้ และในวันที่ 9 ก.ย.จะนัดชุมนุมใหญ่หน้าสำนักงานใหญ่ปตท.ตั้งแต่เวลา 09.09 -19.00 น. เพื่อแสดงพลังภาคประชาชนในการคัดค้านและให้ยุติการปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีครัวเรือนที่เริ่มขยับขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.ในอัตรากิโลกรัมละ 0.50 บาท
ด้านนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน กล่าวว่า ในวันที่ 1 ก.ย.นี้ แม้จะเป็นวันแรกของการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคครัวเรือน แต่ไม่กังวลเรื่องการขอใช้สิทธิของประชาชน สามารถมาขอขึ้นทะเบียนได้ต่อเนื่อง เพราะไม่ได้กำหนดระยะเวลาและไม่มีวันหมดเขต ซึ่งจะเห็นได้ว่าวันนี้ยังมีคนได้รับสิทธิทยอยเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
"ยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนแน่นอน เพราะรัฐบาลช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยให้ใช้แอลพีจีราคาเดิมต่อไป ส่วนผู้มีรายได้มากจะไม่มีผลกระทบต่อราคาอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน เพราะราคาก๊าซที่ปรับขึ้นครั้งนี้จะสะท้อนต้นทุนเพียง 2 สตางค์เท่านั้น หากร้านค้าใดที่ฉวยโอกาสปรับราคาเกินความเป็นจริงขอให้ประชาชนแจ้งกระทรวงพาณิชย์ได้ทันที"
***ปชป. จวกปูกระซวกค่าครองชีพ
วานนี้ ( 1ก.ย.) คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย นายสรรเสริญ สมะลาภา นายชนินทร์ รุ่งแสง และ นายอรรถวิช สุวรรณภักดี ร่วมกันแถลงเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ และค่าครองชีพ โดยนายสรรเสริญ กล่าวว่า ตัวเลขเศรษกิจติดลบหมด มีเพียงแค่ภาคการท่องเที่ยวเท่านั้นที่ไม่ติดลบ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจยังไม่ถึงจุดต่ำสุด หมายถึงว่า อีก 1-2 เดือน อาจลงต่ำกว่านี้ เพราะมีแรงส่งด้านลบสูงมาก ทั้งการบริโภค ลงทุน และการส่งออก เนื่องจากประชาชนชะลอการบริโภค เพราะหนี้ครัวเรือนมาก ในขณะที่รัฐบาลไม่มีมาตรการแก้ไข มีแค่การชะลอการจ่ายเงินต้น และลดดอกเบี้ย ร้อยละ 3 ให้กับหนี้ดีของ ธ.ก.ส. แต่ไม่แก้หนี้นอกระบบ เพราะฉะนั้นการบริโภคที่ซบเซา จะดำเนินต่อไป อีกทั้งงบลงทุนไม่ออก เพราะรัฐบาลดื้อดึงในเรื่องเงินกู้ 3.5 แสนล้าน ไม่ใส่ในงบประมาณ มีปัญหาด้านกฎหมาย ทำให้ใช้เงินส่วนนี้ไม่ได้
นอกจากนี้ การส่งออกทั้งเกษตร และอุตสาหกรรมนั้น แม้ว่าอุตสาหกรรมจะพอไปได้ แต่ภาคเกษตรติดลบ โดยเหตุผลหลักมาจากการส่งออกข้าวเพราะความผิดพลาดในเรื่องการจำนำข้าว ถ้ารัฐบาลยังไม่เลิกนโยบายนี้ ก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่จุดต่ำสุดของเศรษฐกิจ ถ้ารัฐบาลไม่แก้ไขปีนี้ เศรษฐกิจจะลงไปเรื่อย พึ่งได้แค่อย่างเดียวคือ ส่งออกอุตสาหกรรม แต่จีนมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ จะกระทบการลงทุน และการส่งออกไทยไปจีน ลดคิวอีของสหรัฐฯหลายคนมองเป็นสัญญาณที่ดีว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มดีขึ้น แต่มีผลกระทบทางอ้อม เพราะมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนไทยติดลบเงินไหลกลับไป แต่ถ้าสหรัฐฯฟื้นตัว ก็ถือว่ารัฐบาลโชคดี
นายสรรเสริฐ กล่าวว่า ขอเรียกร้องรัฐบาลหยุดพฤติกรรมการใช้ปากบริหารเศรษฐกิจ ที่ผ่านมารัฐบาลมีแต่ข้ออ้าง และข้อโต้แย้ง ต้องหยุดใช้ปากบริหารเศรษฐกิจ แล้วหันมาทำงาน ไม่ใช่บอกว่าของแพง เพราะประชาชนคิดไปเอง เศรษฐกิจไม่ดี เพราะมีวันหยุดเยอะ หนี้ครัวเรือนสูง เพราะแบงก์ชาติใช้นิยามคำนวณผิด รัฐบาลต้องหยุดเรื่องเหล่านี้ เพราะเป็นการบริหารที่หน่อมแน้ม และมีแต่การสร้างภาพ ความมั่นใจที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง พูดนั้น ไม่ได้มาจากการสร้างภาพแต่ต้องเกิดจากการปฏิบัติ
1 .ของแพง หลังจากปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อนมาร่วมปี สร้างวาทกรรมว่า แพงเพราะประชาชนคิดไปเอง แต่วันที่ 12 ก.ค.56 รัฐบาลก็จัดเวิร์กชอป แก้ปัญหาของแพง ออก 6 มาตรการ แสดงว่ายอมรับแล้วว่า สินค้าแพงจริง โดยบอกจะดูต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ พร้อมกับจะประชุมต่อเนื่องทุกเดือน อยากถามว่า ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว ทั้งนี้รัฐบาลไม่มีความจริงใจ เอาแต่สร้างภาพอย่างเดียว ควรเลิกพูดดูแลต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำได้แล้ว เพราะไม่มีผลในทางปฏิบัติ สินค้าด้านอาหารแพงขึ้น ประมาณ ร้อยละ7
2. หลังมีข่าวว่าเศรษฐกิจหดตัว รัฐบาลก็กระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีมติครม. 6 ส.ค.56 สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เรียกได้อย่างไรเพราะมาตรการที่ออกมา เป็นการช่วยเหลือรายภาค และขนาดการช่วยเหลือน้อยมาก เช่น สนับสนุนการจัดสัมมนาในประเทศ ให้นำค่าใช้จ่ายไปคำนวณหักภาษีเงินได้ สนับสนุนเครื่องไฟฟ้าประหยัดพลังงาน จัดมหกรรม "สิ่งเหล่านี้เป็นการช่วยเหลือรายภาค ที่ต้องเรียกว่า “หน่อมแน้ม” มีเพียงเรื่องเดียวที่เข้าข่ายคือ การเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณ ปัญหาปัจจุบันคือ งบฯลงทุนไม่ออก การเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณ เป็นมาตรการที่เหมาะสม แต่ถ้ารัฐบาลทำตามที่พรรคประชาธิปัตย์พูดตั้งแต่แรกว่าให้นำเงินกู้ 3.5 แสนล้านบา ไปใส่ในงบประมาณปกติ ป้านนี้งบลงทุนออกมาแล้ว และเศรษฐกิจคงไม่ซบเซาขนาดนี้ ถ้าไม่มีการแก้ไขเศรษฐกิจจะดิ่งเหวลงไปเรื่อย ๆ จึงขอแนะนำให้ถอน พ.ร.ก. เงินกู้ 3.5 แสนล้าน และ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน มาใส่ในงบประมาณปกติ คือจัดในงบกลางปี ซึ่งเป็นช่องทางตามปกติ " นายสรรเสริญ กล่าว
ด้านนายอรรถวิช กล่าวถึงราคาสินค้า ค่าครองชีพ และปัญหาหนี้ครัวเรือน ว่า เป็นยุคหนี้พุ่ง ของแพง โดยวันนี้เป็นวันโชคร้าย ที่สินค้าจะขึ้นราคา คือ แก๊สหุงต้มกิโลกรัมละ 50 สตางค์ ถังแก๊ส 15 ก.ก. ขึ้นเดือนละ 7.50 บาท เป็นเวลา 12 เดือน ทำให้ราคาจะไปอยู่ที่ 380 บาท จากราคา 290 บาทในปัจจุบัน มีการขึ้นค่าเอฟทีไฟฟ้า หน่วยละ 7 สตางค์ ครอบครัวคนชั้นกลางมีตู้เย็น เปิดทีวี แอร์ ปกติใช้ประมาณ 700 หน่วยต่อเดือน จะต้องจ่ายเพิ่ม 50 บาทต่อเดือน จากการปรับค่าเอฟที ดังกล่าว
ส่วนการขึ้นค่าทางด่วน 5-10 บาทนั้น สี่ล้อจาก 45 บาท เป็น 50 บาท นี่คือการกระชากค่าครองชีพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในขณะที่หนี้พุ่งโดยแบงก์ชาติ แถลงไปแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นนับตั้งแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์รับตำแหน่งนายกฯ ทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ จากนโยบายผิดพลาดในเรื่องรถยนต์คันแรก 1 ล้านคัน ใช้ภาษี 9 หมื่นล้านบาท ทำให้หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น ในขณะที่หนี้สาธารณะปี 2554 อยู่ที่ 4.245 ล้านล้านบาท ล่าสุดตัวเลขจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะไตรมาสที่สองของปี 2556 อยู่ที่ 5.224 ล้านล้านบาท เท่ากับหนี้สาธารณะพุ่งขึ้นถึง 1 ล้านล้านบาท ยังไม่รวมหนี้เงินกู้ 2 ล้านล้าน.