ASTVผู้จัดการรายวัน- ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แถลงผลตรวจดีเอ็นเอเด็กชายวัย 11 ปี ของหญิงที่อ้างมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ “สมีคำ” จนมีลูกด้วยกัน ยืนยันชัดเจนมีความสัมพันธ์พ่อลูก เตรียมแถลงข่าวชี้แจง 23 ส.ค.นี้"ทนายสมีคำ"อ้างกระทำชำเราขาดอายุความแล้ว มั่นใจหากได้ว่าความโอกาสชนะคดีสูง
เมื่อเวลา 15.00 น.วานนี้ (22 ส.ค.) ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วย พ.ท.นพ.เอนก ยมจินดา ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แถลงผลการพิสูจน์ดีเอ็นเอของนายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระวิรพล ฉัตติโก (หลวงปู่เณรคำ) กับหญิงที่อ้างว่ามีความสัมพันธ์กับอดีตเณรคำ และเด็กชาย 11 ปีที่เป็นลูกชาย
โดยพ.ท.นพ.เอนก กล่าวว่า สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้รายงานผลตรวจวัตถุพยานทั้งเส้นผม ชานหมากวัตถุมงคลปลุกเสก และซิการ์ที่สูบแล้วของอดีตพระเณรคำ ที่นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ส่งมาให้ดีเอสไอตรวจสอบเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของอดีตเณรคำมามอบให้พนักงานสอบสวนของดีเอสไอเพื่อส่งต่อให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ เพื่อเชื่อมโยงหาความเป็นพ่อแม่ลูกกันนั้น
“ซิการ์ใบจากที่อดีตเณรคำเคยสูบแล้วมอบให้ลูกศิษย์นำไปบูชา เนื่องจากมีเซลล์กระพุ้งแก้มติดอยู่ และเมื่อนำไปตรวจเทียบกับดีเอ็นเอที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์เคยตรวจสอบความเป็นแม่ลูกของหญิงสาวและเด็กชาย 11 ปีแล้วปรากฏว่าดีเอ็นเอของอดีตเณรคำตรงกับเด็กชาย 16 จุด ซึ่งถือว่ามีความแม่นยำและเชื่อถือได้ว่าบุคคลดังกล่าวมีความสัมพันธ์เป็นพ่อ แม่ ลูกกันแน่นอน เนื่องจากเป็นการตรวจที่ละเอียดกว่าการตรวจดีเอ็นเอของเอฟบีไอที่ตรวจเพียง 13 จุดเท่านั้น ทั้งนี้ ยืนยันว่าผลตรวจทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถปลอมแปลงขึ้นได้”
ทั้งนี้ ในน้ำลายจะมีเซลล์กระพุ้งแก้ม ซึ่งมีนิวเคลียสหรือไข่แดงที่เป็นโปรตีนของดีเอ็นเออยู่ และผลการตรวจพิสูจน์ด้วยวิธีดังกล่าวเชื่อถือได้ถึง 99.99 เปอร์เซ็นต์ จึงค่อนข้างชัดเจนว่าอดีตเณรคํามีความสัมพันธ์หญิงดังกล่าวจริง และถือเป็นพ่อลูกกับเด็กชายคนดังกล่าว
ด้านนายธาริต กล่าวว่า พยานหลักฐานที่นำมาใช้ตรวจสอบมีความน่าเชื่อถือ โดยพนักงานสอบสวนได้มาจากพยานรายหนึ่งที่อาศัยอยู่พื้นที่สาขาของสำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม โดยพยานรายดังกล่าวเคยเป็นผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาอดีตเณรคำ หลังได้ซิการ์แล้วนำไปเก็บรักษาใส่ถุงไว้อย่างดีเพื่อเก็บไว้บูชา เมื่อทราบข่าวว่าดีเอสไอรับดำเนินคดีความผิดของอดีตเณรคำจึงตัดสินใจนำวัตถุพยานมามอบให้ดีเอสไอ
อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าสำนวนคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีมีสำนวนสมบูรณ์แล้วพร้อมเตรียมส่งสำนวนฟ้องอัยการในสัปดาห์หน้า หลังจากนั้นจะประสานขอความร่วมมืออัยการสั่งฟ้องอย่างเร่งด่วนเพื่อเดินหน้าการขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป นอกจากนี้ดีเอสไออยู่ระหว่างรวบรวมสำนวนดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่นคดีฉ้อโกงที่ขณะนี้มีผู้เสียหายประมาณ 50 คน ทยอยเข้าให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
นายสุกิจ พูนศรีเกษม ผู้ประสานงานอดีตพระเณรคำ ในฐานะนักกฎหมาย กล่าวว่า ตามหลักกฎหมายพนักงานสอบสวนมีหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริง พยานหลักฐานที่ได้มาดังกล่าวมีคนนำมาให้ แต่ที่ผ่านมามีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาเคยวิจนิจฉัยไว้ว่าความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ศาลต้องรับฟังเสมอไป ขณะนี้ดีเอสไอระบุว่าคราบน้ำลายที่ซิการ์ ซึ่งจะพิสูจน์อย่างไรว่าเป็นของอดีตพระเณรคำ ถ้าซิการ์ได้มาจากพี่น้องของเด็กตรวจดีเอ็นเอก็ออกมาเหมือนกันตามหลักกรรมพันธ์หรือเผ่าพันธ์ จึงถือว่าเป็นการพิสูจน์ฝ่ายเดียว การแถลงอย่างนี้อันตรายมาก เพราะหากวันหนึ่งอดีตพระเณรคำมามอบตัวแล้วถุยน้ำลายให้ดีเอสไอนำไปตรวจสอบดีเอ็นเอ หากผลออกมาไม่ใช่ใครจะรับผิดชอบ
เรื่องที่เกิดขึ้นผ่านมากว่า 10 ปี ไม่มีร่องรอยที่จะใช้พิสูจน์ แม้จะอ้างว่ามีดีเอ็นเอจากซิการ์ก็ต้องดูว่าอดีตพระเณรคำสูบบุหรี่หรือไม่ เท่าที่ตนรู้มาอดีตพระเณรคำไม่สูบบุหรี่ มีแต่กินชานหมาก ซึ่งน้ำลายจากชานหมากมีอายุอยู่ไม่ใช่ผ่านมา 10 ปี น้ำลายยังอยู่อย่างนั้นต้องไปเขียนตำรากันใหม่ จากข้อมูลที่ตนทราบขณะนี้มั่นใจว่าคดีนี้ไม่ยาก โดยอยากให้จับตามองการไต่สวนของศาลจังหวัดอุบลราชธานี ในวันที่ 9 ก.ย.ซึ่งทางฝ่ายผู้หญิงคู่กรณีมีการไปยื่นฟ้องคดีกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ข้อกล่าวหาเดียวกับที่ดีเอสไอดำเนินคดีในขณะนี้ว่า คดีมีมูลพอที่ศาลจะรับฟ้องหรือไม่ ซึ่งตนเห็นว่าคดีจะไม่มีมูลสูงมาก เพราะผ่านมากว่า 10 ปี ร่องรอยการถูกข่มขืนไม่มี
ตนตั้งข้อสังเกตุว่าเรื่องนี้น่าจะขาดอายุความ เพราะขณะเกิดเรื่องประมวลกฎหมายอาญา กำหนดอายุความของคดีกระทำชำเราไว้ที่ 10 ปี แต่ต่อมามีการแก้ไขกฎหมายเพิ่มโทษคดีกระทำชำเราให้หนักขึ้นถึงจำคุก 20 ปี พร้อมมีการเพิ่มระยะเวลาการหมดอายุความเป็น 15 ปี เมื่อปี 50 ซึ่งกฎหมายเขียนให้ใช้เรื่องอายุความขณะกระทำผิด ตนจึงเห็นว่าคดีกระทำชำเราฯ น่าจะขาดอายุความแต่ไม่อยากเปิดเผยรายละเอียดมาก ขณะนี้สังคมได้พิพากษาอดีตพระเณรคำไปแล้ว แต่ตนในฐานะนักกฎหมายอยากจะขอความเป็นธรรมให้กับอดีตพระเณรคำด้วย ส่วนเรื่องการจะเข้ามอบตัวของอดีตพระเณรคำหากข่าวออกมาอย่างนี้ไม่รู้ลูกศิษย์จะไปแนะนำอย่างไรอีก ซึ่งจะมีการยืนยันคำตอบว่าจะเข้ามอบตัวหรือไม่มายังตนในเช้าวันที่ 23 ส.ค.
เมื่อเวลา 15.00 น.วานนี้ (22 ส.ค.) ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วย พ.ท.นพ.เอนก ยมจินดา ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แถลงผลการพิสูจน์ดีเอ็นเอของนายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระวิรพล ฉัตติโก (หลวงปู่เณรคำ) กับหญิงที่อ้างว่ามีความสัมพันธ์กับอดีตเณรคำ และเด็กชาย 11 ปีที่เป็นลูกชาย
โดยพ.ท.นพ.เอนก กล่าวว่า สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้รายงานผลตรวจวัตถุพยานทั้งเส้นผม ชานหมากวัตถุมงคลปลุกเสก และซิการ์ที่สูบแล้วของอดีตพระเณรคำ ที่นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ส่งมาให้ดีเอสไอตรวจสอบเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของอดีตเณรคำมามอบให้พนักงานสอบสวนของดีเอสไอเพื่อส่งต่อให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ เพื่อเชื่อมโยงหาความเป็นพ่อแม่ลูกกันนั้น
“ซิการ์ใบจากที่อดีตเณรคำเคยสูบแล้วมอบให้ลูกศิษย์นำไปบูชา เนื่องจากมีเซลล์กระพุ้งแก้มติดอยู่ และเมื่อนำไปตรวจเทียบกับดีเอ็นเอที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์เคยตรวจสอบความเป็นแม่ลูกของหญิงสาวและเด็กชาย 11 ปีแล้วปรากฏว่าดีเอ็นเอของอดีตเณรคำตรงกับเด็กชาย 16 จุด ซึ่งถือว่ามีความแม่นยำและเชื่อถือได้ว่าบุคคลดังกล่าวมีความสัมพันธ์เป็นพ่อ แม่ ลูกกันแน่นอน เนื่องจากเป็นการตรวจที่ละเอียดกว่าการตรวจดีเอ็นเอของเอฟบีไอที่ตรวจเพียง 13 จุดเท่านั้น ทั้งนี้ ยืนยันว่าผลตรวจทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถปลอมแปลงขึ้นได้”
ทั้งนี้ ในน้ำลายจะมีเซลล์กระพุ้งแก้ม ซึ่งมีนิวเคลียสหรือไข่แดงที่เป็นโปรตีนของดีเอ็นเออยู่ และผลการตรวจพิสูจน์ด้วยวิธีดังกล่าวเชื่อถือได้ถึง 99.99 เปอร์เซ็นต์ จึงค่อนข้างชัดเจนว่าอดีตเณรคํามีความสัมพันธ์หญิงดังกล่าวจริง และถือเป็นพ่อลูกกับเด็กชายคนดังกล่าว
ด้านนายธาริต กล่าวว่า พยานหลักฐานที่นำมาใช้ตรวจสอบมีความน่าเชื่อถือ โดยพนักงานสอบสวนได้มาจากพยานรายหนึ่งที่อาศัยอยู่พื้นที่สาขาของสำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม โดยพยานรายดังกล่าวเคยเป็นผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาอดีตเณรคำ หลังได้ซิการ์แล้วนำไปเก็บรักษาใส่ถุงไว้อย่างดีเพื่อเก็บไว้บูชา เมื่อทราบข่าวว่าดีเอสไอรับดำเนินคดีความผิดของอดีตเณรคำจึงตัดสินใจนำวัตถุพยานมามอบให้ดีเอสไอ
อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าสำนวนคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีมีสำนวนสมบูรณ์แล้วพร้อมเตรียมส่งสำนวนฟ้องอัยการในสัปดาห์หน้า หลังจากนั้นจะประสานขอความร่วมมืออัยการสั่งฟ้องอย่างเร่งด่วนเพื่อเดินหน้าการขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป นอกจากนี้ดีเอสไออยู่ระหว่างรวบรวมสำนวนดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่นคดีฉ้อโกงที่ขณะนี้มีผู้เสียหายประมาณ 50 คน ทยอยเข้าให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
นายสุกิจ พูนศรีเกษม ผู้ประสานงานอดีตพระเณรคำ ในฐานะนักกฎหมาย กล่าวว่า ตามหลักกฎหมายพนักงานสอบสวนมีหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริง พยานหลักฐานที่ได้มาดังกล่าวมีคนนำมาให้ แต่ที่ผ่านมามีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาเคยวิจนิจฉัยไว้ว่าความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ศาลต้องรับฟังเสมอไป ขณะนี้ดีเอสไอระบุว่าคราบน้ำลายที่ซิการ์ ซึ่งจะพิสูจน์อย่างไรว่าเป็นของอดีตพระเณรคำ ถ้าซิการ์ได้มาจากพี่น้องของเด็กตรวจดีเอ็นเอก็ออกมาเหมือนกันตามหลักกรรมพันธ์หรือเผ่าพันธ์ จึงถือว่าเป็นการพิสูจน์ฝ่ายเดียว การแถลงอย่างนี้อันตรายมาก เพราะหากวันหนึ่งอดีตพระเณรคำมามอบตัวแล้วถุยน้ำลายให้ดีเอสไอนำไปตรวจสอบดีเอ็นเอ หากผลออกมาไม่ใช่ใครจะรับผิดชอบ
เรื่องที่เกิดขึ้นผ่านมากว่า 10 ปี ไม่มีร่องรอยที่จะใช้พิสูจน์ แม้จะอ้างว่ามีดีเอ็นเอจากซิการ์ก็ต้องดูว่าอดีตพระเณรคำสูบบุหรี่หรือไม่ เท่าที่ตนรู้มาอดีตพระเณรคำไม่สูบบุหรี่ มีแต่กินชานหมาก ซึ่งน้ำลายจากชานหมากมีอายุอยู่ไม่ใช่ผ่านมา 10 ปี น้ำลายยังอยู่อย่างนั้นต้องไปเขียนตำรากันใหม่ จากข้อมูลที่ตนทราบขณะนี้มั่นใจว่าคดีนี้ไม่ยาก โดยอยากให้จับตามองการไต่สวนของศาลจังหวัดอุบลราชธานี ในวันที่ 9 ก.ย.ซึ่งทางฝ่ายผู้หญิงคู่กรณีมีการไปยื่นฟ้องคดีกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ข้อกล่าวหาเดียวกับที่ดีเอสไอดำเนินคดีในขณะนี้ว่า คดีมีมูลพอที่ศาลจะรับฟ้องหรือไม่ ซึ่งตนเห็นว่าคดีจะไม่มีมูลสูงมาก เพราะผ่านมากว่า 10 ปี ร่องรอยการถูกข่มขืนไม่มี
ตนตั้งข้อสังเกตุว่าเรื่องนี้น่าจะขาดอายุความ เพราะขณะเกิดเรื่องประมวลกฎหมายอาญา กำหนดอายุความของคดีกระทำชำเราไว้ที่ 10 ปี แต่ต่อมามีการแก้ไขกฎหมายเพิ่มโทษคดีกระทำชำเราให้หนักขึ้นถึงจำคุก 20 ปี พร้อมมีการเพิ่มระยะเวลาการหมดอายุความเป็น 15 ปี เมื่อปี 50 ซึ่งกฎหมายเขียนให้ใช้เรื่องอายุความขณะกระทำผิด ตนจึงเห็นว่าคดีกระทำชำเราฯ น่าจะขาดอายุความแต่ไม่อยากเปิดเผยรายละเอียดมาก ขณะนี้สังคมได้พิพากษาอดีตพระเณรคำไปแล้ว แต่ตนในฐานะนักกฎหมายอยากจะขอความเป็นธรรมให้กับอดีตพระเณรคำด้วย ส่วนเรื่องการจะเข้ามอบตัวของอดีตพระเณรคำหากข่าวออกมาอย่างนี้ไม่รู้ลูกศิษย์จะไปแนะนำอย่างไรอีก ซึ่งจะมีการยืนยันคำตอบว่าจะเข้ามอบตัวหรือไม่มายังตนในเช้าวันที่ 23 ส.ค.