“รู้สึกเบื่อ (พวกคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน) หากประชาชนไม่ต้องการจนสร้างไม่ได้ ก็จะไม่สร้างเช่นกัน หากภาคใต้เกิดปัญหาไฟฟ้าดับก็เป็นเรื่อง (ที่คนภาคใต้) ต้องรับผิดชอบกันเอาเอง” เป็นคำพูดของท่านรัฐมนตรีพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2556 ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับทั่วภาคใต้ในคืนวันที่ 21 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ผมอยู่ในเหตุการณ์ของความมืดมิดที่เกิดขึ้นในเมืองหาดใหญ่ เมืองที่ตกอยู่ในภาวะหวาดกลัวหวาดระแวงของผู้คนจากเหตุการณ์ผลกระทบที่ต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์ของความรุนแรงจากพื้นที่ 3 จังหวัดในค่ำคืนนั้น เสียงพ่อแม่เรียกลูกหลานให้วิ่งกลับเข้าบ้าน เสียงปิดประตูหน้าต่างโครมคราม เสียงตะโกนโหวกเหวกของผู้คนว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ไหน อย่างไร และเมื่อแสงเทียนเริ่มกระจายแสงขึ้นทีละหย่อมบ้าน มาพร้อมๆ กับข่าวลือปากต่อปากที่แพร่สะพัดอย่างรวดเร็ว “มีการระเบิดโรงไฟฟ้าที่จะนะ”... “มีการระเบิดเขื่อนบางลาง”..ฯลฯ
เป็นความโชคดีที่ระบบโทรศัพท์ทุกระบบยังใช้การได้ ทำให้ข่าวลืออันน่าสะพรึงกลัวเลือนหายไปในเวลาไม่นานนัก ข่าวสารไฟฟ้าดับจังหวัดโน้นจังหวัดนั้นทยอยรับรู้กันในหมู่ประชาชน เมื่อแสงไฟฟ้าปรากฏขึ้นอีกครั้ง ข่าวสาร “ภาคใต้” ใช้ไฟฟ้ามากเกินไป สายส่งไฟฟ้าจากภาคกลางที่ส่งลงมาให้ภาคใต้มีปัญหา ทำให้ไฟดับไปทั้งภาค สำนึกแรกที่เกิดขึ้นก็คือพวกผมเป็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าองค์กรพัฒนาเอกชนหรือกลุ่ม NGOs ที่สังคมวงกว้างรับรู้กัน เป็นกลุ่มคนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาคัดค้านและไม่เห็นด้วยกับแผนงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตหรือรัฐบาลที่จะนำถ่านหินมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ไม่ว่าในพื้นที่กระบี่ นครศรีธรรมราช ที่ทางฝ่ายรัฐบาลและ กฟผ.ได้พยายามผลักดันอย่างเอาจริงเอาจัง เหตุผลที่สำคัญของการคัดค้านคือผลกระทบต่อชีวิตผู้คนอันเกิดจากถ่านหินและการกระทบต่อขบวนการต่างๆ ของโครงการนำพลังงานจากถ่านหินเข้ามาใช้ ไม่ว่าผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ ผลกระทบต่อชุมชนชายฝั่ง การสร้างท่าเรือ การขนส่ง การสร้างที่กักเก็บ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นความกังวล เพราะบทเรียนที่ผ่านมาผลกระทบต่างๆ ต่อประชาชนคนเล็กคนน้อยหาผู้รับผิดชอบไม่ได้ พวกเราจึงไม่เห็นด้วยและลุกกันขึ้นมาคัดค้าน ข่าวการกล่าวโทษจากคนระดับรัฐมนตรีและปรากฏการณ์ความเดือดร้อนของพี่น้องร่วมภาคต่อกรณีไฟฟ้าดับ ลึกๆ ก็สร้างความเจ็บปวดลึกๆ อยู่ในจิตใจของพวกเรา
พวกเราไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่ไม่เห็นด้วยกับการนำถ่านหินเข้ามาใช้ในการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. เหตุการณ์ผ่านไป 4-5 วันข้อมูลที่แท้จริงจากนักวิชาการด้านพลังงาน ที่เป็นกลางในทางการเมืองและเกาะติดปัญหาพลังงานในประเทศที่กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้ไฟฟ้าดับทั่วภาคใต้ก็เริ่มปรากฎในหลายๆ ปัจจัย ข้อมูลหนึ่งที่สำคัญก็คือว่าในภาคใต้ของเรา มีแหล่งผลิตไฟฟ้าที่เราสามารถใช้อย่างพอเพียง รวมไปถึงกำลังมีการขยายโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ที่ไม่ต้องใช้ถ่านหินในการใช้เป็นพลังงานในอีก 4-5 ปีข้างหน้า ไม่ว่าการขยายโรงไฟฟ้าที่จะนะโรงที่ 2 อีก 800 เมกะวัตต์ ที่ขนอมอีก 900 เมกะวัตต์ โจทย์จึงมีว่าการนำพลังงานถ่านหินมาใช้ และการโฆษณาว่าภาคใต้ใช้ไฟฟ้ามาก ไม่เพียงพอทำให้ต้องไปดึงไฟฟ้าจากภาคกลางมาใช้ เป็นการกล่าวหาที่ให้ภาคใต้ตกเป็นจำเลยของประเทศเพื่ออะไร และมาขู่กันด้วยคำพูดที่ว่าจะต้องรับผิดชอบกันเอาเองถ้าไฟดับเพราะอะไรกันแน่ (ดูข้อมูลการผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันจากภาพด้านล่างและข้อมูลการใช้ไฟฟ้าของภาคใต้เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ)
ซึ่งจริงๆ แล้วภาคใต้ของเราใช้ไฟฟ้าแค่ 8% ภาคเหนือแค่ 10% ภาคอีสาน 10 % กรุงเทพและปริมณฑล 41% ภาคตะวันออก 31% และเมื่อมาดูข้อมูลของการใช้ไฟฟ้าในประเทศเราก็พบว่าภาคอุตสาหกรรมใช้ไฟฟ้าถึง 45% ภาคธุรกิจต่างๆ 25% ภาคการเกษตร 9% และที่อยู่อาศัยของประชนทั่วประเทศเพียง 21% เท่านั้น วันนี้ภาคการเมืองยืนอยู่ฝ่ายภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม สังคมไทยจึงตกเป็นจำเลยของพวกเขาในทุกๆ เรื่อง รวมทั้งเรื่องการใช้พลังงานไฟฟ้า
นอกจากภาคใต้จะตกเป็นจำเลยของประเทศจากปากของนักการเมืองเหล่านี้แล้ว ภาคใต้ยังมีความโชคร้ายเสียเหลือเกิน แม้มีพื้นที่เพียงน้อยนิดเมื่อเปรียบเทียบกับภาคอื่นๆ ของประเทศ แต่ก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรที่ทำให้พอจะอยู่กันได้สบายๆ แต่พื้นที่ของภาคใต้ก็ช่างมีความเหมาะสมที่จะเป็นแหล่งพัฒนาอุตสาหกรรม มีทะเลที่จะเป็นที่บำบัดน้ำเสียให้กับพวกอุตสาหกรรม มีชายฝั่งที่เหมาะสมที่จะสร้างท่าเรือให้พวกเขาขนส่งสินค้าเข้าออกที่สะดวกและราคาถูกให้กับพวกเขา ที่ผ่านมาการประกอบการของธุรกิจในภาคใต้เราก็มีอุตสาหกรรมที่ขึ้นอยู่กับฐานทรัพยากรในพื้นที่และกระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่ ไม่ได้เป็นอุตสาหกรรมใหญ่ๆ แบบรวมศูนย์ที่มีเจ้าของเพียงกลุ่มเดียว แต่มันกระจายความมั่งคั่งสมบูรณ์ไปอย่างกว้างขวาง (ดูข้อมูล)
จากแผนภาพสรุปข้อมูลธุรกิจของภาคใต้และภาพข้อมูลการกระจายตัวในการจ้างงานในภาคใต้ จะพบว่ามีการกระจายตัวอย่างกว้างขวาง ไม่มีการรวมศูนย์และที่สำคัญเป็นอุตสาหกรรมและธุรกิจที่สัมพันธ์กับฐานทรัพยากรที่เรามีอยู่ในพื้นที่ หรือการพัฒนาให้เป็นไปในแนวทางนี้มันไปขัดลาภขัดความมั่งคั่งเฉพาะกลุ่มของพวกอุตสาหกรรมใช่ไหม ที่พวกคุณพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะให้ภาคใต้ตกเป็นจำเลยของสังคมประเทศนี้แล้วให้สยบยอมแก่พวกคุณ อย่างว่านอนสอนง่ายน่ะ...ฝันไปเถอะ.