ASTVผู้จัดการรายวัน - เผยซีทีเอชโขกราคาแพกเกจสปอนเซอร์พรีเมียร์ลีกแพงกว่าทรูวิชั่นส์ 3 เท่าตัว สูงสุดราคา 15 ล้านเหรียญยูเอสรวม3ฤดูกาล หรือราว 450 ล้านบาท ยันลูกค้าตบเท้าเรียงหน้าเข้าซื้อร่วม 10 ราย มีรายได้แล้วไม่ต่ำกว่า 3,700 ล้านบาท ลุ้นคุ้มทุนในสิ้นปี ส่วนแพกเกจสมาชิกสูงสุดที่ 899 บาทต่อเดือน ฟากทรูวิชั่นส์ชี้สปอนเซอร์หลักที่เคยซื้อยังคงอยู่เหตุยังมีพ่วงสปอนเซอร์ลีกอื่นด้วย
"พรีเมียร์ลีก" กลายมาเป็นเกมแห่งศักดิ์ศรีไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะผู้ที่เสียลิขสิทธิ์ไปอย่าง บริษัท ทรูวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TRUEก็ถูกจับตาว่าจะแก้เกมอย่างไร ขณะที่ผู้ได้สิทธิ์มาอย่างบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) ก็ถูกค่อนขอดว่า งานนี้บ้าหรือเปล่า จะสามารถบริหารจัดการคอนเท้นท์ลูกหนังลูกนี้ได้แบบไม่เจ็บตัวไปได้แค่ไหน ในราคาต้นทุนที่ได้มานั้นสูงกว่าครั้งก่อนถึง 3 เท่าตัว หรือที่คาดการณ์กันไว้ว่าสูงถึง ประมาณ 10,000 ล้านบาท
ดังนั้นจึงถือเป็นโจทย์ที่หินสุดๆสำหรับCTH ว่าจะต้องเดิมเกมอย่างไร ให้ถูกตาคอบอล และต้องใจสปอนเซอร์ได้ ทั้งแพกเกจสปอนเซอร์และแพกเกจสมาชิก แม้จะดูยากลำบาก แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าเดิมที่มีข่าวออกมาว่าซีทีเอชอาจจะยอมปล่อยให้แพลทฟอร์มอื่นยื่นมือเข้ามาร่วมถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกนั้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการหารายได้
ล่าสุดนายสุรพล ซีประเสริฐ ประธานกรรมการ บริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) หรือเดิม คือ บริษัท เคเบิลไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวย้ำชัดเจนว่า ซีทีเอชจะยังคงเป็นรายเดียวที่จะถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลอังกฤษพรีเมียร์ลีกที่ได้ลิขสิทธิ์มา และจะไม่มีการขายต่อให้แพลทฟอร์มอื่นนำไปถ่ายทอดสดต่อ โดยเฉพาะกับ ทรูวิชั่นส์ ที่มีข่าวออกไปยิ่งเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเป็นข้อตกลงของทางต้นสังกัดเจ้าของลิขสิทธิ์ของพรีเมียร์ลีกที่ไม่อนุญาติให้นำคอนเท้นท์ไปให้ผู้เข้าร่วมแข่งขันประมูลด้วยกันไปถ่ายทอดสดต่อ
มูลเหตุนี้เองที่ทำให้ทางซีทีเอชจำเป็นจะต้องทำงานหนักในการหารายได้จากพรีเมียร์ลีกออกมาให้ดีที่สุด ส่งผลถึงราคาแพกเกจสปอนเซอร์ที่ว่ากันว่าแพงหูฉี่จนผู้ที่สนใจซื้อหลายรายสั่นหน้าถอยหลังกลับไป ...แต่ท้ายสุดเมื่อคอนเท้นท์มันดีฉันใด ก็ย่อมมีผู้ที่พร้อมจะเทเงินร่วมสนับสนุนฉันนั้น
***แพกเกจสปอนเซอร์สูงสุด 450 ล.
แหล่งข่าวจากเอเจนซี่ ระบุข้อมูลว่า ซีทีเอชได้ตั้งราคาแพกเกจสปอนเซอร์พรีเมียร์ลีก 2013/2014-2015/2016 ครั้งนี้ ไว้ 3 แพกเกจ คือ 1. แพกเกจราคา 15 ล้านยูเอส หรือราว 450 ล้านบาท 2. แพกเกจราคา 10 ล้านยูเอส หรือราว 300 ล้านบาท และ 3. แพกเกจราคา 5 ล้านยูเอส หรือประมาณ 150 ล้านบาท
โดยทุกแพกเกจจะสามารถทำคอมเมอร์เชียลสปอร์ตโฆษณาได้ตลอด 3 ฤดูกาล
ขณะที่แพกเกจราคาสูงสุดจะได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติมอีก 5 ข้อ ได้แก่ 1. คอมเมอร์เชียลสปอตโฆษณาใน 5 ช่องที่รองรับคอนเท้นท์พรีเมียร์ลีก 2.โฆษณาบนฟรีทีวีได้ 1 นาที/แมทช์ จากทั้งหมด 17 แมทช์/ฤดูกาล 3.ได้ลงโลโก้สปอนเซอร์ในโปรโมชันนอล โปรแกรมส์, สเปเชียล โปรแกรมส์, LED, รีรัน และรีวิว เป็นต้น 4.เอ็กซ์คลูซีฟ ลันช์/ดินเนอร์ และ 5.เอ็กซ์คลูซีฟ EPL ทัวร์ เป็นต้น
**ขณะนี้พบว่า มีผู้ที่สนใจซื้อแพกเกจสปอนเซอร์แล้วกว่า 10 ราย เช่น การบินไทย สิงห์ และเอไอเอส เป็นต้น หรือหากประเมินตัวเลขเบื้องต้นเชื่อได้ว่าขณะนี้ซีทีเอชสามารถขายแพกเกจสปอนเซอร์ได้แล้วไม่ต่ำกว่า 3,500 - 3,700 ล้านบาท ซึ่งยังคงเปิดโอกาสให้กับผู้ที่สนใจซื้อสปอนเซอร์ต่อไปอีก
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า บรรดาสินค้าต่างๆที่ซีทีเอชเดินเข้าไปขายนั้น ต่างก็ส่ายหัวและขอเวลาพิจารณาก่อน เพราะว่า ราคาแพกเกจนั้น สูงลิบลิ่ว เหลือเกิน**
อย่างไรก็ตาม นายกฤษณัน งามผาติพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) ก็กล่าวว่า ขณะนี้สามารถขายแพกเกจสปอนเซอร์พรีเมียร์ลีกได้ตามแผนงานแล้ว
หากมองตามนี้ มีความเป็นไปได้ที่ภายในสิ้นปีนี้ เฉพาะการหารายได้จากสปอนเซอร์โฆษณาก็น่าจะทำได้กว่าครึ่ง หรือราว 5,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับราคาทุนที่ซื้อพรีเมียร์ลีกมา เพราะอย่าลืมว่าซีทีเอชยังได้สิทธิ์ขายคอนเท้นท์นี้ให้กับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว และเขมร อีกส่วนหนึ่งด้วย และขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงการเจรจาราคาซื้อกันอยู่
ที่เหลืออยู่ที่กลยุทธ์การขายแพกเกจการรับชมให้กับสมาชิกเคเบิลท้องถิ่นที่มีฐานอยู่ราว 2.5 ล้านคนในมือเท่านั้น รวมถึงการดึงฐานลูกค้าใหม่เข้ามาเสริมรายได้ให้มากที่สุด
**สำหรับราคาค่าสมาชิกผู้ชมนั้น ทางซีทีเอชได้มีการกำหนดออกมาแล้วเช่นกัน แต่ยังปิดเงียบรอการเปิดตัวเป็นทางการพร้อมกับเปิดตัวสปนอนซอร์ในวันพุธที่ 29 พฤษภาคมนี้**
เบื้องต้นว่ากันว่า เบื้องต้นลูกค้าที่ต้องการรับชมช่องรายการแบบมาตรฐานปกติจำนวน 120 ช่อง จะเสียค่าบริการที่ 399 บาทต่อเดือน พร้อมรับชมพรีเมียร์ลีกได้อย่างน้อย 1 คู่ต่อสัปดาห์
ส่วนแพกเกจที่จัดทำขึ้นเพื่อรองรับคอนเทนต์พรีเมียร์ลีกนั้น จะมีอยู่ 2-3 แพกเกจ สำหรับผู้ที่ต้องการรับชมแบบน้อยไปหามาก โดยราคาสูงสุดของแพกเกจพรีเมียร์ลีก แบบเบ็ดเสร็จ คือ 899 บาทต่อเดือน (รวม VAT แล้ว) สามารถรับชมพรีเมียร์ลีกได้ครบทุกคู่พร้อมช่องรายการทั่วไปอีก 120 ช่อง โดยกว่า 30 ช่องนั้นเป็นเอชดี
ขณะที่งบการตลาดสำหรับพรีเมียร์ลีกจะใช้ 200 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมาเป็นต้นไป ภายหลังจากคู่การแข่งขันพรีเมียร์ลีกคู่สุดท้ายของฤดูกาลแข่งจบลงในคืนวันอาทิตย์ที่ 19 พ.ค.นี้
โดยช่องรายการที่เกี่ยวข้องกับพรีเมียร์ลีก จะมีทั้งหมด 5 ช่อง ประกอบด้วย 1. EPL Live (+Rerun) 2.EPL Inter Sport 3. EPL Thai Sport 4. EPL TV, Fan, Lifestyle และ5. EPL Inside (+News)
**ทรูฯชี้รายได้สปอนเซอร์กีฬายังคงอยู่
ด้านทรูวิชั่นส์ โดยนายองอาจ ประภากมล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายคอมเมอร์เชียล บริษัท ทรู วิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปกติราคาแพกเกจสปอนเซอร์พรีเมียร์ลีกของทางทรูวิชั่นส์ในครั้งล่าสุดหรือฤดูกาลที่ผ่านมา จะมีราคาสูงสุดที่ 150 ล้านบาทรวม 3 ฤดูกาล ในลักษณะขายเป็นแพ็กฟุตบอลแพ็กใหญ่ที่มีหลากหลายลีกชั้นนำของโลก เช่น PL ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ยูโรป้ากัลโช่ โปรตุกิส เมเจอร์ ซอกเกอร์ลีก อเมริกา และTPL
ดังนั้นถึงแม้ปลายปีนี้จะไม่มีพรีเมียร์ลีกแล้วก็ตาม แต่สปอนเซอร์หลักอย่างไทยเบฟ และยามาฮ่า ก็ยังคงอยู่กับทางทรูวิชั่นส์
อย่างไรก็ตามในการแข่งขันพรีเมียร์ลีก ประจำปี 2012/2013 ที่ผ่านมา ทรูวิชั่นส์ มีการขายแพเกจสปอนเซอร์หลักในราคา 60 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 สปอนเซอร์หลัก คือ รถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า, เครื่องดื่มช้าง และ ยูโร่ คัสตาร์ดเค้ก และยังมีสปอนเซอร์ร่วมอีกราว 5 ราย คือ ทรูมูฟเอช 3G, บราเวีย โซนี่, ลอรีอัล เม็น เอกซ์เพิร์ท และ เครื่องดื่มโค้ก
รวมแล้วต่อปีทรูวิชั่นส์มีรายได้โฆษณาจากพรีเมียร์ลีกประมาณ 180-250 ล้านบาท หรือตลอด 3 ฤดูกาล น่าจะมีรายได้กว่า 500-700 ล้านบาท จากมูลค่าการซื้อพรีเมียร์ลีกครั้งนี้ 2,000 ล้านบาท
**ถึงตรงนี้แล้ว หากเปรียบเทียบราคาแพกเกจสปอนเซอร์ของทั้ง 2 ค่ายกับทุนที่ซื้อมาแล้ว จะพบว่าซีทีเอชมุ่งหารายได้จากโฆษณาเป็นหลัก หรือกว่าครึ่งของทุนที่ซื้อมา**
ส่วนทางทรูวิชั่นส์ มีรายได้จากโฆษณาเพียง 25-30% เท่านั้น แต่ก็นั่นแหละจากการที่ซีทีเอชรู้ตัวเองดีว่า ตัวเลขจริงที่ซื้อมาแพงกว่าเดิมตั้ง 3 เท่าตัวและนั่นก็ย่อมเป็นโจทย์ที่ยากกว่าเดิมอย่างน้อย 3 เท่าด้วยเช่นกัน ที่จะทำให้สปอนเซอร์และคอบอลยอมเปิดกระเป๋า ควักเงินซื้อพรีเมียร์ลีกหมื่นล้านในครั้งนี้
"พรีเมียร์ลีก" กลายมาเป็นเกมแห่งศักดิ์ศรีไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะผู้ที่เสียลิขสิทธิ์ไปอย่าง บริษัท ทรูวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TRUEก็ถูกจับตาว่าจะแก้เกมอย่างไร ขณะที่ผู้ได้สิทธิ์มาอย่างบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) ก็ถูกค่อนขอดว่า งานนี้บ้าหรือเปล่า จะสามารถบริหารจัดการคอนเท้นท์ลูกหนังลูกนี้ได้แบบไม่เจ็บตัวไปได้แค่ไหน ในราคาต้นทุนที่ได้มานั้นสูงกว่าครั้งก่อนถึง 3 เท่าตัว หรือที่คาดการณ์กันไว้ว่าสูงถึง ประมาณ 10,000 ล้านบาท
ดังนั้นจึงถือเป็นโจทย์ที่หินสุดๆสำหรับCTH ว่าจะต้องเดิมเกมอย่างไร ให้ถูกตาคอบอล และต้องใจสปอนเซอร์ได้ ทั้งแพกเกจสปอนเซอร์และแพกเกจสมาชิก แม้จะดูยากลำบาก แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าเดิมที่มีข่าวออกมาว่าซีทีเอชอาจจะยอมปล่อยให้แพลทฟอร์มอื่นยื่นมือเข้ามาร่วมถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกนั้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการหารายได้
ล่าสุดนายสุรพล ซีประเสริฐ ประธานกรรมการ บริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) หรือเดิม คือ บริษัท เคเบิลไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวย้ำชัดเจนว่า ซีทีเอชจะยังคงเป็นรายเดียวที่จะถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลอังกฤษพรีเมียร์ลีกที่ได้ลิขสิทธิ์มา และจะไม่มีการขายต่อให้แพลทฟอร์มอื่นนำไปถ่ายทอดสดต่อ โดยเฉพาะกับ ทรูวิชั่นส์ ที่มีข่าวออกไปยิ่งเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเป็นข้อตกลงของทางต้นสังกัดเจ้าของลิขสิทธิ์ของพรีเมียร์ลีกที่ไม่อนุญาติให้นำคอนเท้นท์ไปให้ผู้เข้าร่วมแข่งขันประมูลด้วยกันไปถ่ายทอดสดต่อ
มูลเหตุนี้เองที่ทำให้ทางซีทีเอชจำเป็นจะต้องทำงานหนักในการหารายได้จากพรีเมียร์ลีกออกมาให้ดีที่สุด ส่งผลถึงราคาแพกเกจสปอนเซอร์ที่ว่ากันว่าแพงหูฉี่จนผู้ที่สนใจซื้อหลายรายสั่นหน้าถอยหลังกลับไป ...แต่ท้ายสุดเมื่อคอนเท้นท์มันดีฉันใด ก็ย่อมมีผู้ที่พร้อมจะเทเงินร่วมสนับสนุนฉันนั้น
***แพกเกจสปอนเซอร์สูงสุด 450 ล.
แหล่งข่าวจากเอเจนซี่ ระบุข้อมูลว่า ซีทีเอชได้ตั้งราคาแพกเกจสปอนเซอร์พรีเมียร์ลีก 2013/2014-2015/2016 ครั้งนี้ ไว้ 3 แพกเกจ คือ 1. แพกเกจราคา 15 ล้านยูเอส หรือราว 450 ล้านบาท 2. แพกเกจราคา 10 ล้านยูเอส หรือราว 300 ล้านบาท และ 3. แพกเกจราคา 5 ล้านยูเอส หรือประมาณ 150 ล้านบาท
โดยทุกแพกเกจจะสามารถทำคอมเมอร์เชียลสปอร์ตโฆษณาได้ตลอด 3 ฤดูกาล
ขณะที่แพกเกจราคาสูงสุดจะได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติมอีก 5 ข้อ ได้แก่ 1. คอมเมอร์เชียลสปอตโฆษณาใน 5 ช่องที่รองรับคอนเท้นท์พรีเมียร์ลีก 2.โฆษณาบนฟรีทีวีได้ 1 นาที/แมทช์ จากทั้งหมด 17 แมทช์/ฤดูกาล 3.ได้ลงโลโก้สปอนเซอร์ในโปรโมชันนอล โปรแกรมส์, สเปเชียล โปรแกรมส์, LED, รีรัน และรีวิว เป็นต้น 4.เอ็กซ์คลูซีฟ ลันช์/ดินเนอร์ และ 5.เอ็กซ์คลูซีฟ EPL ทัวร์ เป็นต้น
**ขณะนี้พบว่า มีผู้ที่สนใจซื้อแพกเกจสปอนเซอร์แล้วกว่า 10 ราย เช่น การบินไทย สิงห์ และเอไอเอส เป็นต้น หรือหากประเมินตัวเลขเบื้องต้นเชื่อได้ว่าขณะนี้ซีทีเอชสามารถขายแพกเกจสปอนเซอร์ได้แล้วไม่ต่ำกว่า 3,500 - 3,700 ล้านบาท ซึ่งยังคงเปิดโอกาสให้กับผู้ที่สนใจซื้อสปอนเซอร์ต่อไปอีก
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า บรรดาสินค้าต่างๆที่ซีทีเอชเดินเข้าไปขายนั้น ต่างก็ส่ายหัวและขอเวลาพิจารณาก่อน เพราะว่า ราคาแพกเกจนั้น สูงลิบลิ่ว เหลือเกิน**
อย่างไรก็ตาม นายกฤษณัน งามผาติพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) ก็กล่าวว่า ขณะนี้สามารถขายแพกเกจสปอนเซอร์พรีเมียร์ลีกได้ตามแผนงานแล้ว
หากมองตามนี้ มีความเป็นไปได้ที่ภายในสิ้นปีนี้ เฉพาะการหารายได้จากสปอนเซอร์โฆษณาก็น่าจะทำได้กว่าครึ่ง หรือราว 5,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับราคาทุนที่ซื้อพรีเมียร์ลีกมา เพราะอย่าลืมว่าซีทีเอชยังได้สิทธิ์ขายคอนเท้นท์นี้ให้กับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว และเขมร อีกส่วนหนึ่งด้วย และขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงการเจรจาราคาซื้อกันอยู่
ที่เหลืออยู่ที่กลยุทธ์การขายแพกเกจการรับชมให้กับสมาชิกเคเบิลท้องถิ่นที่มีฐานอยู่ราว 2.5 ล้านคนในมือเท่านั้น รวมถึงการดึงฐานลูกค้าใหม่เข้ามาเสริมรายได้ให้มากที่สุด
**สำหรับราคาค่าสมาชิกผู้ชมนั้น ทางซีทีเอชได้มีการกำหนดออกมาแล้วเช่นกัน แต่ยังปิดเงียบรอการเปิดตัวเป็นทางการพร้อมกับเปิดตัวสปนอนซอร์ในวันพุธที่ 29 พฤษภาคมนี้**
เบื้องต้นว่ากันว่า เบื้องต้นลูกค้าที่ต้องการรับชมช่องรายการแบบมาตรฐานปกติจำนวน 120 ช่อง จะเสียค่าบริการที่ 399 บาทต่อเดือน พร้อมรับชมพรีเมียร์ลีกได้อย่างน้อย 1 คู่ต่อสัปดาห์
ส่วนแพกเกจที่จัดทำขึ้นเพื่อรองรับคอนเทนต์พรีเมียร์ลีกนั้น จะมีอยู่ 2-3 แพกเกจ สำหรับผู้ที่ต้องการรับชมแบบน้อยไปหามาก โดยราคาสูงสุดของแพกเกจพรีเมียร์ลีก แบบเบ็ดเสร็จ คือ 899 บาทต่อเดือน (รวม VAT แล้ว) สามารถรับชมพรีเมียร์ลีกได้ครบทุกคู่พร้อมช่องรายการทั่วไปอีก 120 ช่อง โดยกว่า 30 ช่องนั้นเป็นเอชดี
ขณะที่งบการตลาดสำหรับพรีเมียร์ลีกจะใช้ 200 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมาเป็นต้นไป ภายหลังจากคู่การแข่งขันพรีเมียร์ลีกคู่สุดท้ายของฤดูกาลแข่งจบลงในคืนวันอาทิตย์ที่ 19 พ.ค.นี้
โดยช่องรายการที่เกี่ยวข้องกับพรีเมียร์ลีก จะมีทั้งหมด 5 ช่อง ประกอบด้วย 1. EPL Live (+Rerun) 2.EPL Inter Sport 3. EPL Thai Sport 4. EPL TV, Fan, Lifestyle และ5. EPL Inside (+News)
**ทรูฯชี้รายได้สปอนเซอร์กีฬายังคงอยู่
ด้านทรูวิชั่นส์ โดยนายองอาจ ประภากมล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายคอมเมอร์เชียล บริษัท ทรู วิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปกติราคาแพกเกจสปอนเซอร์พรีเมียร์ลีกของทางทรูวิชั่นส์ในครั้งล่าสุดหรือฤดูกาลที่ผ่านมา จะมีราคาสูงสุดที่ 150 ล้านบาทรวม 3 ฤดูกาล ในลักษณะขายเป็นแพ็กฟุตบอลแพ็กใหญ่ที่มีหลากหลายลีกชั้นนำของโลก เช่น PL ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ยูโรป้ากัลโช่ โปรตุกิส เมเจอร์ ซอกเกอร์ลีก อเมริกา และTPL
ดังนั้นถึงแม้ปลายปีนี้จะไม่มีพรีเมียร์ลีกแล้วก็ตาม แต่สปอนเซอร์หลักอย่างไทยเบฟ และยามาฮ่า ก็ยังคงอยู่กับทางทรูวิชั่นส์
อย่างไรก็ตามในการแข่งขันพรีเมียร์ลีก ประจำปี 2012/2013 ที่ผ่านมา ทรูวิชั่นส์ มีการขายแพเกจสปอนเซอร์หลักในราคา 60 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 สปอนเซอร์หลัก คือ รถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า, เครื่องดื่มช้าง และ ยูโร่ คัสตาร์ดเค้ก และยังมีสปอนเซอร์ร่วมอีกราว 5 ราย คือ ทรูมูฟเอช 3G, บราเวีย โซนี่, ลอรีอัล เม็น เอกซ์เพิร์ท และ เครื่องดื่มโค้ก
รวมแล้วต่อปีทรูวิชั่นส์มีรายได้โฆษณาจากพรีเมียร์ลีกประมาณ 180-250 ล้านบาท หรือตลอด 3 ฤดูกาล น่าจะมีรายได้กว่า 500-700 ล้านบาท จากมูลค่าการซื้อพรีเมียร์ลีกครั้งนี้ 2,000 ล้านบาท
**ถึงตรงนี้แล้ว หากเปรียบเทียบราคาแพกเกจสปอนเซอร์ของทั้ง 2 ค่ายกับทุนที่ซื้อมาแล้ว จะพบว่าซีทีเอชมุ่งหารายได้จากโฆษณาเป็นหลัก หรือกว่าครึ่งของทุนที่ซื้อมา**
ส่วนทางทรูวิชั่นส์ มีรายได้จากโฆษณาเพียง 25-30% เท่านั้น แต่ก็นั่นแหละจากการที่ซีทีเอชรู้ตัวเองดีว่า ตัวเลขจริงที่ซื้อมาแพงกว่าเดิมตั้ง 3 เท่าตัวและนั่นก็ย่อมเป็นโจทย์ที่ยากกว่าเดิมอย่างน้อย 3 เท่าด้วยเช่นกัน ที่จะทำให้สปอนเซอร์และคอบอลยอมเปิดกระเป๋า ควักเงินซื้อพรีเมียร์ลีกหมื่นล้านในครั้งนี้