ASTVผู้จัดการรายวัน - แบงก์ชาติออกประกาศปรามสถาบันการเงินไม่นำส่งเงินหรือนำส่งเงินไม่ครบ ถ้า ธปท.ตรวจพบจะถูกเรียกเก็บเงินเพิ่มเติมเข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายกองทุนฟื้นฟูฯ เดือนละ 1%ของจำนวนเงินที่ไม่นำส่งหรือนำส่งไม่ครบ ชี้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนมากกว่าใช้ดุลพินิจเหมือนอดีต หวังให้สถาบันการเงินรอบคอบในการคำนวณเงินนำส่งฯ
นางนวอร เดชสุวรรณ์ ผู้อำนวยการอาสุโส ฝ่ายวิเคราะห์และติดตามฐานะ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ลงนามในประกาศถึงสถาบันการเงินทุกแห่งเรื่องการกำหนดอัตราในการนำส่งเงินเพิ่มเข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(กองทุนฟื้นฟูฯ)ในกรณีธปท.ตรวจพบ
โดยสาระสำคัญของประกาศดังกล่าวกำหนดอัตราในการนำส่งเงินเพิ่มเข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนฟื้นฟูฯ ในกรณีสถาบันการเงินไม่นำส่งเงินหรือนำส่งเงินไม่ครบแล้วตรวจพบโดยธปท.จะมีการเรียกเก็บเงินเพิ่มจากสถาบันการเงินเดือนละ 1%ของจำนวนเงินที่ไม่นำส่งหรือนำส่งไม่ครบ ซึ่งคำนวณตั้งแต่วันถัดจากวันที่ครบกำหนดจนถึงวันที่นำส่งครบถ้วน
นางพวงทิพย์ ปรมาพจน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายจัดการกองทุน ธปท.และในฐานะผู้จัดการกองทุนฟื้นฟูฯ กล่าวว่า เงินนำส่งให้กองทุนฟื้นฟูฯ เพื่อเข้าบัญชีสะสมฯ ยังคงดำเนินการเหมือนกับการนำเงินส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ดีพีเอ) แต่เหตุผลที่ออกประกาศนี้ออกมา เพราะเดิมทีไม่เคยมีหลักเกณฑ์กำหนดว่าต้องจ่ายอัตราเท่าไร โดยเมื่อ ธปท.ตรวจพบ สถาบันการเงินรายนั้นจ่ายไม่ครบจำนวนเงินนำส่งก็ต้องเสียค่าเบี้ยปรับหรือเงินนำส่งส่วนที่เหลือ ซึ่งเป็นการใช้ดุลพินิจมากกว่า แต่ประกาศนี้จะช่วยทำให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยเมื่อธปท.ตรวจเจอก็ต้องเสียค่าเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นในอัตรา 1%ของจำนวนเงินนำส่งไม่ครบ
อย่างไรก็ตาม การส่งเงินสถาบันการเงินต้องคำนวณเอง เพราะต้องเฉลี่ยเป็นรายวันและการดำเนินการอย่างนี้ช่วยให้สถาบันการเงินระมัดระวัง คำนวนให้ถูกต้อง และในปัจจุบัน สถาบันการเงินจะนำส่งเงินปีละ 2 ครั้ง คือ สิ้นเดือน ก.ค.และเดือนม.ค.ของทุกปี ซึ่งการนำส่งเงินก็ยังมีทั้งจ่ายวงเงินเกินวงเงินนำส่งหรือบางแห่งก็คำนวณพลาดก็มีความเป็นไปได้ ทั้งนี้ กองทุนฟื้นฟูฯ คาดว่าจะไม่มีปัญหาในการหาเงินมาชดใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ในระยะต่อไป.
นางนวอร เดชสุวรรณ์ ผู้อำนวยการอาสุโส ฝ่ายวิเคราะห์และติดตามฐานะ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ลงนามในประกาศถึงสถาบันการเงินทุกแห่งเรื่องการกำหนดอัตราในการนำส่งเงินเพิ่มเข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(กองทุนฟื้นฟูฯ)ในกรณีธปท.ตรวจพบ
โดยสาระสำคัญของประกาศดังกล่าวกำหนดอัตราในการนำส่งเงินเพิ่มเข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนฟื้นฟูฯ ในกรณีสถาบันการเงินไม่นำส่งเงินหรือนำส่งเงินไม่ครบแล้วตรวจพบโดยธปท.จะมีการเรียกเก็บเงินเพิ่มจากสถาบันการเงินเดือนละ 1%ของจำนวนเงินที่ไม่นำส่งหรือนำส่งไม่ครบ ซึ่งคำนวณตั้งแต่วันถัดจากวันที่ครบกำหนดจนถึงวันที่นำส่งครบถ้วน
นางพวงทิพย์ ปรมาพจน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายจัดการกองทุน ธปท.และในฐานะผู้จัดการกองทุนฟื้นฟูฯ กล่าวว่า เงินนำส่งให้กองทุนฟื้นฟูฯ เพื่อเข้าบัญชีสะสมฯ ยังคงดำเนินการเหมือนกับการนำเงินส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ดีพีเอ) แต่เหตุผลที่ออกประกาศนี้ออกมา เพราะเดิมทีไม่เคยมีหลักเกณฑ์กำหนดว่าต้องจ่ายอัตราเท่าไร โดยเมื่อ ธปท.ตรวจพบ สถาบันการเงินรายนั้นจ่ายไม่ครบจำนวนเงินนำส่งก็ต้องเสียค่าเบี้ยปรับหรือเงินนำส่งส่วนที่เหลือ ซึ่งเป็นการใช้ดุลพินิจมากกว่า แต่ประกาศนี้จะช่วยทำให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยเมื่อธปท.ตรวจเจอก็ต้องเสียค่าเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นในอัตรา 1%ของจำนวนเงินนำส่งไม่ครบ
อย่างไรก็ตาม การส่งเงินสถาบันการเงินต้องคำนวณเอง เพราะต้องเฉลี่ยเป็นรายวันและการดำเนินการอย่างนี้ช่วยให้สถาบันการเงินระมัดระวัง คำนวนให้ถูกต้อง และในปัจจุบัน สถาบันการเงินจะนำส่งเงินปีละ 2 ครั้ง คือ สิ้นเดือน ก.ค.และเดือนม.ค.ของทุกปี ซึ่งการนำส่งเงินก็ยังมีทั้งจ่ายวงเงินเกินวงเงินนำส่งหรือบางแห่งก็คำนวณพลาดก็มีความเป็นไปได้ ทั้งนี้ กองทุนฟื้นฟูฯ คาดว่าจะไม่มีปัญหาในการหาเงินมาชดใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ในระยะต่อไป.