เทศกาลสงกรานต์ผ่านพ้นไปแล้วอีกหนึ่งปี ภาพการเล่นน้ำสงกรานต์ตามประเพณีไทยที่สงบร่มเย็นและบ่งบอกถึงวัฒนธรรมที่สวยงาม สูญสลายไปจากสังคมไทยเนิ่นนานนักแล้ว วัดวาอารามสงัดเงียบ มีการก่อเจดีย์ทรายประปรายในชนบทที่ห่างไกลออกไปอยู่บ้าง แต่ก็เป็นการซื้อทรายที่ขนมาโดยรถกระบะบรรทุก ไม่มีภาพชาวบ้านหิ้วถังทรายเข้าวัดให้เห็นเหมือนกาลก่อนแล้ว
การสรงน้ำพระเปลี่ยนสถานที่ไปอยู่ในธนาคารและห้างสรรพสินค้าต่างๆ มีการจัดถนนชื่อข้าวต่างๆ ในภูมิภาคทั่วประเทศ เลียนแบบจากถนนข้าวสารในกรุงเทพฯ และมีการเล่นน้ำสงกรานต์แบบแปลกๆ ตามยุคสมัยใหม่ ด้วยสารพัดปืนฉีดน้ำ ที่ประดิดประดอยเลียนแบบอาวุธสงครามร้ายแรง มีการประแป้งที่ล้วนหยาบโลนลวนลาม มีการเสพสุรายาเมาและเต้นยักย้ายส่ายตัณหาตามเสียงเพลงจังหวะบ้าระห่ำ สลับกับการสาดน้ำใส่กันอย่างรุนแรง หลายพื้นที่มีคนเมามายก่อการวิวาทถึงขั้นบาดเจ็บล้มตายสังเวยการเล่นน้ำสงกรานต์ และการเดินทางในวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ทุกปี รัฐบาลจะกำหนดเป็น “7 วันอันตราย” ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานการบาดเจ็บล้มตายด้วยอุบัติเหตุทางถนนทุกสายทั่วประเทศ ซึ่งทุกปีก็จะมีรายงานจำนวนคนตายนับหลายร้อยคนและบาดเจ็บเป็นจำนวนนับพัน แม้จะมีมาตรการป้องกันร้อยแปดพันประการ ก็ไม่อาจหยุดยั้งจำนวนคนบาดเจ็บล้มตายบนถนนจากการเดินทางไปกลับในช่วงเทศกาลสงกรานต์ได้
นี่คือภาพการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เจริญพัฒนาทางวัตถุ แต่ดิ่งลึกต่ำลงทางจิตใจ
ไม่ต่างไปจากภาพรวมของสังคมโลกและสังคมประเทศไทย ที่จริยธรรมคุณธรรมไต่ระดับต่ำลงจนแทบจะสูญสลายไปสิ้นแล้ว การปกครองในระบอบที่เรียกว่าประชาธิปไตย ที่มาจากการเลือกตั้งฉ้อฉลซื้อขายเสียง โดยทุ่มทุนมหาศาล เพื่อให้ได้นักการเมืองที่ล้วนแล้วแต่เห็นแก่ตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม พวกเขาอาสาเป็นผู้แทนเพียงเพื่อแสวงหาลาภยศ ชื่อเสียง สถานะทางสังคม ทรัพย์สินเงินทอง และความสุขสบายส่วนตัวอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือแทบทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ตราบเท่าที่นักการเมืองยังเล่นการเมืองกันแบบน้ำเน่าตามที่เป็นอยู่
หลากหลายเรื่องราวเลวร้ายที่ก่อตัวในประเทศ จากพฤติกรรมและการก่อกรรมของนักการเมืองไทย ที่เห็นที่เป็นอยู่มากมายจนเกินกว่าจาระไนได้ครบถ้วน และที่เลวร้ายสุดๆ อยู่เบื้องหน้าในขณะนี้ คือการเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนแก่กัมพูชา ตลอดแนวชายแดนนับล้านไร่ รวมทั้งพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่เกิดจากพฤติกรรมเฉไฉฉ้อฉลไม่หวงแหนรักษาอธิปไตยเหนือเขตแดนไทยของนักการเมืองไทยทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่เคยผลัดกันเป็นรัฐบาลมาก่อน
คนไทยรักชาติกลุ่มหนึ่งที่ถูกประณามค่อนแคะว่าคลั่งชาติ ลุกขึ้นมาต่อต้านคัดค้าน แต่ก็มีพลังเพียงน้อยนิด ขณะที่ฝ่ายขัดขวางขบวนการรักชาติของคนไทยเหล่านั้นกลับเป็นทหารไทยเอง ที่หน่วยเหนือชอบอ้างว่าเป็นทหารของรัฐบาล ต้องปฏิบัติตามคำสั่งรัฐบาลเท่านั้น ห้ามคนไทยเข้าไปในเขตแดนที่เป็นพื้นที่ประเทศไทย เพียงเพราะเกรงจะกระทบกระทั่งกับทหารและชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามายึดครองเขตแดนประเทศไทย
และที่น่าเศร้าซ้ำก็คือ คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ ที่จะเรียกว่าพลังเงียบหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็ยังสงบนิ่งเฉยเมย เหมือนเหตุการณ์อีกหลายเหตุการณ์ที่คนไทยบางส่วนรวมตัวกันประท้วงคัดค้านสิ่งที่ไม่ถูกต้องเป็นธรรมและไม่ชอบมาพากลของนักการเมืองไทย คนไทยอีกส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศก็ยังคงเฉยเมย นิ่งดูดายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือเหมือนยอมรับ ยอมจำนนต่อความเลวร้ายสารพัดสารพันของนักการเมืองไทย ที่ผลัดกันครอบครองอำนาจรัฐ เพื่อปู้ยี่ปู้ยำประเทศไทยอย่างต่อเนื่องตลอดมา
คิดแล้วน่าวิเวกวังเวงนะครับพี่น้อง ทำอะไรไม่ได้ก็ขอบ่นดังๆ เป็นบทกวีให้ล่องลอยไปตามสายลมก็แล้วกัน เผื่อมันจะไปกระทบจิตกระทบใจคนไทยบางส่วนบางคนให้สะดุ้งสะเทือนได้บ้าง แก้เบื่อแก้เซ็งกันนะครับ