ASTVผู้จัดการรายวัน - ดีเอสไอเตรียมส่งผลสอบทุจริตระบายข้าวยุคอภิสิทธิ์ให้ป.ป.ช.ไต่สวนเพิ่ม หลังพบไตรรงค์-พรทิวา ส่อผิดฮั้วประมูล เจตนาเอื้อประโยชน์เอกชนแค่ 9 ราย พร้อมเสนอรัฐเรียกค่าปรับเอกชนกว่า 2,700 ล้านบาท “ไตรรงค์”อัด DSI กล่าวหาทุจริตข้าว หวังตีปี๊บเบนความสนใจเรื่องกู้เงิน2ลล.ชี้เรื่องยังอยู่ในปปช.
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบการทุจริตการระบายข้าวในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตามที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ร้องขอให้ดีเอสไอตรวจสอบพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางไม่สุจริตว่า จากการตรวจสอบพบว่าการที่นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ(กขช.)กำหนดให้ระบายสต๊อกข้าวโดยไม่ประกาศเชิญชวนเป็นการทั่วไปตามที่กระทรวงพาณิชย์ใช้มาตลอดเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้ส่งออกข้าวเพียง 9 รายและการระบายข้าวเก่าค้างสต๊อกเป็นอาหารสัตว์ก็เป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายอื่น ซึ่งถือเป็นการเจตนาไม่ให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม เข้าข่ายความผิดพ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ(ฮั้วประมูล) ซึงดีเอสไอเคยรับเรื่องดังกล่าวไว้ตรวจสอบและส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ไต่สวนแล้ว หลังจากนี้จะได้รวบรวมข้อมูลส่งให้ป.ป.ช.เพิ่มเติมภายในสัปดาห์หน้า
สำหรับการตรวจสอบพบรายละเอียดว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ มีโครงการระบายข้าวออกจากสต๊อกของรัฐบาลโดยเลือกวิธีให้ผู้ส่งออกที่มีคำสั่งซื้อข้าวในปริมาณมากเสนอซื้อข้าวในสต๊อกรัฐบาลเพื่อส่งมอบตามสัญญาซื้อขายซึ่งวิธีการดังกล่าว ต้องมีการประมูลหรือแข่งขันราคาอย่างเปิดเผย ต่อมามีการประกาศยกเลิกเนื่องจากมีการเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางมาก หากขายข้าวจะทำให้รัฐขาดทุนสูง นายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เสนอให้นางพรทิวา นาคาศัย อดีตรมว.พาณิชย์ และนายไตรรงค์ ให้เปลี่ยนวิธีจากการประมูลมาเป็นให้ผู้ส่งออกที่มีคำสั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศในปริมาณมาก ยื่นคำเสนอขอซื้อ โดยไม่ต้องออกประกาศเชิญชวนเป็นการทั่วไปการซื้อขายจะใช้วิธีเจรจากับผู้ส่งออกเป็นรายไป โดยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ซื้อต้องนำข้าวออกนอกราชอาณาจักรภายใน 45 วัน
นายธาริต กล่าวอีกว่า ระหว่างเดือน ก.ค.-ธ.ค. 2553 มีการเจรจาทำสัญญาขายข้าวกับเอกชน 9 ราย จากบัญชีผู้ประกอบการค้าข้าวจำนวน 199 ราย โดยมีการระบายข้าวออกจากสต๊อก 3.4 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 44,000 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าบริษัทเอกชนคู่สัญญาหลายรายไม่นำข้าวออกไปจำหน่ายนอกราชอาณาจักรคิดเป็นปริมาณมากกว่า 9 แสนตัน หรือร้อยละ 25 ของปริมาณข้าวในโครงการระบายข้าว สันนิษฐานว่ามีการนำข้าวกลับมาขายในประเทศทำให้ราคาข้าวในประเทศตกต่ำ รัฐบาลควรได้รับค่าปรับจากการผิดสัญญาไม่ร้อยกว่า 2,700 ล้านบาท แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดบังคับเอาค่าปรับกับเอกชน
**“ ไตรรงค์”อัด DSI หวังกลบกู้เงิน2ลล.
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนการสืบสวนสอบสวนของคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีนายกล้าณรงค์ จันทิก เป็นหัวหน้าคณะอนุกรรมการ และตนเคยเข้าให้ข้อมูลรวมถึงมอบเอกสารในการประมูลให้กับ DSI ครบถ้วนแล้ว
"ที่ DSI ออกมาให้ข่าวในลักษณะนี้ เชื่อว่า เป็นการพยายามดึงความสนใจและเบี่ยงเบนประเด็น เพื่อให้ประชาชนสับสน ในขณะที่รัฐบาลพยายามผลักดันพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ผมไม่ได้สนใจกับท่าทีของDSI เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ทำงานแบบมีวัตถุประสงค์ในการตีข่าวให้เกิดผลลบกับพรรคฝ่านค้าน ทั้งที่ DSI ไม่มีอำนาจ ดังนั้น จึงขอให้รอฟังผลการสอบสวนของ ป.ป.ช. ซึ่งมีอำนาจเต็มในการสอบสวนเรื่องดังกล่าว"นายไตรรงค์กล่าว
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบการทุจริตการระบายข้าวในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตามที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ร้องขอให้ดีเอสไอตรวจสอบพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางไม่สุจริตว่า จากการตรวจสอบพบว่าการที่นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ(กขช.)กำหนดให้ระบายสต๊อกข้าวโดยไม่ประกาศเชิญชวนเป็นการทั่วไปตามที่กระทรวงพาณิชย์ใช้มาตลอดเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้ส่งออกข้าวเพียง 9 รายและการระบายข้าวเก่าค้างสต๊อกเป็นอาหารสัตว์ก็เป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายอื่น ซึ่งถือเป็นการเจตนาไม่ให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม เข้าข่ายความผิดพ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ(ฮั้วประมูล) ซึงดีเอสไอเคยรับเรื่องดังกล่าวไว้ตรวจสอบและส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ไต่สวนแล้ว หลังจากนี้จะได้รวบรวมข้อมูลส่งให้ป.ป.ช.เพิ่มเติมภายในสัปดาห์หน้า
สำหรับการตรวจสอบพบรายละเอียดว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ มีโครงการระบายข้าวออกจากสต๊อกของรัฐบาลโดยเลือกวิธีให้ผู้ส่งออกที่มีคำสั่งซื้อข้าวในปริมาณมากเสนอซื้อข้าวในสต๊อกรัฐบาลเพื่อส่งมอบตามสัญญาซื้อขายซึ่งวิธีการดังกล่าว ต้องมีการประมูลหรือแข่งขันราคาอย่างเปิดเผย ต่อมามีการประกาศยกเลิกเนื่องจากมีการเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางมาก หากขายข้าวจะทำให้รัฐขาดทุนสูง นายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เสนอให้นางพรทิวา นาคาศัย อดีตรมว.พาณิชย์ และนายไตรรงค์ ให้เปลี่ยนวิธีจากการประมูลมาเป็นให้ผู้ส่งออกที่มีคำสั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศในปริมาณมาก ยื่นคำเสนอขอซื้อ โดยไม่ต้องออกประกาศเชิญชวนเป็นการทั่วไปการซื้อขายจะใช้วิธีเจรจากับผู้ส่งออกเป็นรายไป โดยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ซื้อต้องนำข้าวออกนอกราชอาณาจักรภายใน 45 วัน
นายธาริต กล่าวอีกว่า ระหว่างเดือน ก.ค.-ธ.ค. 2553 มีการเจรจาทำสัญญาขายข้าวกับเอกชน 9 ราย จากบัญชีผู้ประกอบการค้าข้าวจำนวน 199 ราย โดยมีการระบายข้าวออกจากสต๊อก 3.4 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 44,000 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าบริษัทเอกชนคู่สัญญาหลายรายไม่นำข้าวออกไปจำหน่ายนอกราชอาณาจักรคิดเป็นปริมาณมากกว่า 9 แสนตัน หรือร้อยละ 25 ของปริมาณข้าวในโครงการระบายข้าว สันนิษฐานว่ามีการนำข้าวกลับมาขายในประเทศทำให้ราคาข้าวในประเทศตกต่ำ รัฐบาลควรได้รับค่าปรับจากการผิดสัญญาไม่ร้อยกว่า 2,700 ล้านบาท แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดบังคับเอาค่าปรับกับเอกชน
**“ ไตรรงค์”อัด DSI หวังกลบกู้เงิน2ลล.
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนการสืบสวนสอบสวนของคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีนายกล้าณรงค์ จันทิก เป็นหัวหน้าคณะอนุกรรมการ และตนเคยเข้าให้ข้อมูลรวมถึงมอบเอกสารในการประมูลให้กับ DSI ครบถ้วนแล้ว
"ที่ DSI ออกมาให้ข่าวในลักษณะนี้ เชื่อว่า เป็นการพยายามดึงความสนใจและเบี่ยงเบนประเด็น เพื่อให้ประชาชนสับสน ในขณะที่รัฐบาลพยายามผลักดันพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ผมไม่ได้สนใจกับท่าทีของDSI เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ทำงานแบบมีวัตถุประสงค์ในการตีข่าวให้เกิดผลลบกับพรรคฝ่านค้าน ทั้งที่ DSI ไม่มีอำนาจ ดังนั้น จึงขอให้รอฟังผลการสอบสวนของ ป.ป.ช. ซึ่งมีอำนาจเต็มในการสอบสวนเรื่องดังกล่าว"นายไตรรงค์กล่าว
