ASTVผู้จัดการรายวัน - 3ผู้บริหารพีซีซี เข้าพบ'ดีเอสไอ'ปมโกงโรงพัก ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาฐานฉ้อโกง- ฮั้วประมูล ซัดสตช.ต้นตอทำให้งานก่อสร้างล่าช้าเสร็จไม่ทันกำหนด “ธาริต” สงสัยพิรุธเบิกเงิน สั่งอายัด 400 ล้าน ในบัญชีสั่งสอบเส้นทางเงินธนาคารออมสิน เชียงใหม่ ด้านปปช.นัดถก 12 มี.ค.นี้ พิจารณาจะรับคดีโรงพักหรือไม่
วานนี้ (7 มี.ค.2556) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายพิบูลย์ อุดมสิทธิกุล นายจาตุรงค์ อุดมสิทธิกุล และนายวิศณุ วิเศษสิงห์ ผู้บริหารบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในคดีโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) จำนวน 396 แห่ง ใน 2 ข้อหาคือฉ้อโกงผู้รับเหมาและความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ(ฮั้วประมูล) ด้วยการเสนอราคาต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อกีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรม โดยได้นำเอกสารหลักฐานเข้าชี้แจงรวม 14 รายการ ทั้งงบดุลของบริษัทและผลการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มโครงการ ซึ่งมีพ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านคดีพิเศษในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนเป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหา
นายพิบูลย์ เปิดเผยภายหลังเข้าให้ปากคำนานกว่า 3 ชั่วโมง ระบุว่าได้รับทราบข้อกล่าวหาทั้ง 2 ข้อ แต่ยังมีเอกสารบางส่วนที่ต้องนำมาชี้แจงเพิ่มเติม โดยเฉพาะประเด็นการฮั้วประมูลซึ่งไม่ได้เตรียมเอกสารชี้แจงมาด้วย ซึ่งการก่อสร้างที่ล่าช้าไม่แล้วเสร็จตามสัญญาเกิดจากปัญหาของผู้ว่าจ้างที่ไม่ให้ความร่วมมือ ทั้งเรื่องการส่งมอบงาน การควบคุมงาน การตรวจรับงานซึ่งใช้เวลานาน เนื่องจากเป็นงานของทางราชการ จึงมีขั้นตอนมากกว่าการรับงานของเอกชน ส่วนกรณีที่บริษัทขาดสภาพคล่องจนไม่มีเงินไปจ่ายเป็นค่าแรงงานให้ผู้รับรับเหมาก่อสร้างนั้น เนื่องจากในช่วงเดือนก.ย.ที่ผ่านมา บริษัทไม่สามารถเบิกเงินค่างวดงานจากสตช.ได้ เพราะอยู่ในช่วงแต่งตั้งโยกย้าย จึงยืนยันว่าไม่มีการฉ้อโกงค่าแรงงาน
ในส่วนของการจ้างช่วงนั้น ยืนยันว่าไม่ใช่การจ้างช่วง แต่การบริหารแรงงาน เป็นเพียงการจ้างแรงงานซึ่งไม่ถือว่าผิดเงื่อนไข ซึ่งที่ผ่านมาได้แจ้งให้ผู้ว่าจ้างรับทราบ ซึ่งการจ้างช่วงสามารถกระทำได้หากคู่สัญญายินยอม มีการแจ้งให้สตช.รับทราบ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่การจ้างช่วง แต่เป็นเพียงการแรงงาน โดยบริษัทเป็นผู้รับผิดชอบจัดส่งวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้าง รวมถึงเสาเข็ม และเป็นผู้ทำบัญชีเสียภาษีให้กับแรงงานด้วย
"หากเรื่องนี้ศาลตัดสินว่าบริษัทมีความผิด หรือทำผิดสัญญา สตช.จะไม่ได้รับความเสียหาย เพราะบริษัทวางเงินค้ำประกันสัญญาไว้กว่า 300 ล้านบาท และยังมีหนังสือค้ำประกันสัญญากับธนาคาร (แอลจี) อยู่อีก 877 ล้านบาท ดังนั้นหากมีข้อผิดพลาด สตช.จะได้รับเงินคืนเต็มจำนวน สำหรับเงินที่เบิกล่วงหน้ามาทำงานกว่า 1,500 ล้านบาทนั้น ได้แบ่งฝากไว้ในธนาคารจำนวน 400 ล้านบาท ส่วนที่เหลือนำไปใช้ก่อสร้างโรงพักทดแทน หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงจะทราบว่า แทบไม่เพียงพอกับเงินที่ต้องนำไปลงทุน โดยเฉพาะงานตอกเสาเข็มซึ่งเป็นฐานรากอาคาร"นายพิบูลย์ กล่าว
พ.ต.ท.ถวัล กล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาครบทั้ง 2 ข้อกล่าว คือ การฉ้อโกงผู้รับเหมาช่วงและความผิดตามพ.ร.บ.ฮั้วประมูล ซึ่งผู้บริหารบริษัท พีซีซีฯรับทราบข้อกล่าวหา แต่ปฎิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด ซึ่งเอกสารที่นำมาชี้แจงค่อนข้างละเอียด เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการชี้แจงสาเหตุความล่าช้าในการก่อสร้าง โดยอธิบายว่าภายหลังการทำสัญญากับสตช.จนถึงปัจจุบัน สตช.ส่งมอบพื้นที่ให้ก่อสร้างโรงพักเพียงกว่า 100 แห่ง อีกประมาณ 200 แห่งยังติดขัดไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯก็ไม่สามารถชี้แจงได้ว่าเหตุใดสถานีตำรวจที่ส่งมอบพื้นที่แล้ว การก่อสร้างจึงยังไม่แล้วเสร็จเช่นกัน
พ.ต.ท.ถวัล กล่าวอีกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทพีซีซีฯยักย้ายถ่ายโอนเงินที่อยู่ในธนาคาร ในวันนี้(7 มี.ค.)จะเสนอให้อธิบดีดีเอสไอเซ็นคำสั่งอายัดเงินจำนวน 400 ล้านบาท รวมดอกเบี้ยในบัญชีธนาคารออมสิน สาขาประตูช้างเผือก จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นจำนวนเงินครึ่งหนึ่งที่ทางธนาคารออมสินหักจากเงินล่วงหน้า 15 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเป็นหลักค้ำประกันของการทำสัญญากับทาง ตช. ส่วนการที่ผู้บริหารของบริษัท พีซีซีฯออกมาระบุว่า สาเหตุที่ทำให้การก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทนเกิดความล่าช้า ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจของสตช.จึงทำให้งานสะดุดและไม่มีการเบิกจ่ายเงินส่งให้บริษัท พีซีซีฯนั้น ยอมรับเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น แต่ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า จากการสอบสวนในส่วนของเงินที่มีการเบิกจ่ายให้บริษัท พีซีซีฯ โดยได้มอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินไปตรวจสอบที่ธนาคารออมสิน สาขาช้างเผือก เบื้องต้นพบมีข้อพิรุธ เนื่องจากมีการเบิกเงินแต่ไม่ได้นำไปใช้บริหารจัดการเกี่ยวกับการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน แต่นำไปใช้ในงานส่วนอื่นของบริษัท ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบลงรายละเอียดให้ชัดเจนอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและนัดส่งเอกสารเพิ่มเติมตามที่ดีเอสไอร้องขอภายใน 7 วัน
**ปปช.ไม่หนักใจ นัด 12 มี.ค.นี้ ถกคดี
นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) กล่าวถึงคดีที่ ดีเอสไอ ได้สรุปสำนวนส่งให้ ปปช. เป็นผู้ชี้มูลว่า ทางกรรมการ ปปช. ได้นัดพิจารณาว่าจะมีการรับเรื่องนี้หรือไม่ ในวันที่ 12 มี.ค. เวลา 10.00 น. โดยคณะกรรมการจะพิจารณาสำนวนที่ดีเอสไอส่งมาว่าจะเข้าข้อกฎหมายที่ ปปช. มีอำนาจในการชี้มูลหรือไม่ สำนวนครบถ้วนหรือไม่ สำหรับประเด็นที่ ดีเอสไอ มีความเห็นในสำนวนว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพเทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นั้น ผิดกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีการปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง ต้องขอดูข้อมูลก่อน ส่วนจะเรียกทั้ง 2 คน มาชี้แจงหรือไม่นั้น ต้องผ่านขั้นตอนการรับเรื่องก่อน จึงจะสามารถบอกได้เพราะหลังจากนั้นจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาความผิด
"ไม่หนักใจที่ต้องมาพิจารณาคดีที่หลายฝ่ายมองว่า เกี่ยวข้องกับการเมือง ปปช. มีหน้าที่เหมือน หมอ ที่ต้องดูแลคนไข้ไม่ว่าจะป่วยหนัก หรือเบา" นายปรีชา กล่าว
**ตร.เดินสายโอนเงินให้โรงพัก1-3 แสนบาท
ที่ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 3 ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ฝ่ายความมั่นคง) กล่าวว่า ขณะนี้รอให้ครบสัญญาในวันที่ 14 มี.ค. 2556 จากนั้นทางทีมกฎหมายของตำรวจที่กำลังรวบรวมพยานหลักฐานจะได้ดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญากับคู่สัญญา ส่วนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่แจ้งความเองโดยไม่รอทางตำรวจก็สามารถดำเนินการได้
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ตำรวจภูธรภาคทุกภาค เร่งดำเนินการสำรวจความคืบหน้าการก่อสร้างโดยให้วิศวกรเข้าไปประเมินความแข็งแรงของสิ่งก่อสร้างที่ดำเนินการไปแล้วว่าใช้งานได้หรือไม่ จากนั้นให้รีบส่งขึ้นไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อจะได้สรุปรายละเอียดซึ่งคงต้องสรุปเป็นแต่ละรายไป เพราะในแต่ละโรงพักไม่เหมือนกัน จึงต้องเป็นความเห็นของแต่ละแห่งไป ใครเสร็จก่อนก็ดำเนินการประมูลไปก่อนเลย
สำหรับการดำเนินการแก้ปัญหากรณีโรงพักที่ถูกรื้ออาคารเดิมทิ้งให้สามารถบริการประชาชนได้นั้น พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า โรงพักแต่ละแห่งดำเนินการได้ดี งบประมาณช่วยเหลือเบื้องต้นสำหรับโรงพักที่ถูกรื้อทั้งหมด แห่งละ 3 แสนบาท และที่เหลือโรงพักละ 1 แสนบาท ได้โอนลงไปช่วยเหลือทั้งหมดแล้ว
วานนี้ (7 มี.ค.2556) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายพิบูลย์ อุดมสิทธิกุล นายจาตุรงค์ อุดมสิทธิกุล และนายวิศณุ วิเศษสิงห์ ผู้บริหารบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในคดีโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) จำนวน 396 แห่ง ใน 2 ข้อหาคือฉ้อโกงผู้รับเหมาและความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ(ฮั้วประมูล) ด้วยการเสนอราคาต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อกีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรม โดยได้นำเอกสารหลักฐานเข้าชี้แจงรวม 14 รายการ ทั้งงบดุลของบริษัทและผลการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มโครงการ ซึ่งมีพ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านคดีพิเศษในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนเป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหา
นายพิบูลย์ เปิดเผยภายหลังเข้าให้ปากคำนานกว่า 3 ชั่วโมง ระบุว่าได้รับทราบข้อกล่าวหาทั้ง 2 ข้อ แต่ยังมีเอกสารบางส่วนที่ต้องนำมาชี้แจงเพิ่มเติม โดยเฉพาะประเด็นการฮั้วประมูลซึ่งไม่ได้เตรียมเอกสารชี้แจงมาด้วย ซึ่งการก่อสร้างที่ล่าช้าไม่แล้วเสร็จตามสัญญาเกิดจากปัญหาของผู้ว่าจ้างที่ไม่ให้ความร่วมมือ ทั้งเรื่องการส่งมอบงาน การควบคุมงาน การตรวจรับงานซึ่งใช้เวลานาน เนื่องจากเป็นงานของทางราชการ จึงมีขั้นตอนมากกว่าการรับงานของเอกชน ส่วนกรณีที่บริษัทขาดสภาพคล่องจนไม่มีเงินไปจ่ายเป็นค่าแรงงานให้ผู้รับรับเหมาก่อสร้างนั้น เนื่องจากในช่วงเดือนก.ย.ที่ผ่านมา บริษัทไม่สามารถเบิกเงินค่างวดงานจากสตช.ได้ เพราะอยู่ในช่วงแต่งตั้งโยกย้าย จึงยืนยันว่าไม่มีการฉ้อโกงค่าแรงงาน
ในส่วนของการจ้างช่วงนั้น ยืนยันว่าไม่ใช่การจ้างช่วง แต่การบริหารแรงงาน เป็นเพียงการจ้างแรงงานซึ่งไม่ถือว่าผิดเงื่อนไข ซึ่งที่ผ่านมาได้แจ้งให้ผู้ว่าจ้างรับทราบ ซึ่งการจ้างช่วงสามารถกระทำได้หากคู่สัญญายินยอม มีการแจ้งให้สตช.รับทราบ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่การจ้างช่วง แต่เป็นเพียงการแรงงาน โดยบริษัทเป็นผู้รับผิดชอบจัดส่งวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้าง รวมถึงเสาเข็ม และเป็นผู้ทำบัญชีเสียภาษีให้กับแรงงานด้วย
"หากเรื่องนี้ศาลตัดสินว่าบริษัทมีความผิด หรือทำผิดสัญญา สตช.จะไม่ได้รับความเสียหาย เพราะบริษัทวางเงินค้ำประกันสัญญาไว้กว่า 300 ล้านบาท และยังมีหนังสือค้ำประกันสัญญากับธนาคาร (แอลจี) อยู่อีก 877 ล้านบาท ดังนั้นหากมีข้อผิดพลาด สตช.จะได้รับเงินคืนเต็มจำนวน สำหรับเงินที่เบิกล่วงหน้ามาทำงานกว่า 1,500 ล้านบาทนั้น ได้แบ่งฝากไว้ในธนาคารจำนวน 400 ล้านบาท ส่วนที่เหลือนำไปใช้ก่อสร้างโรงพักทดแทน หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงจะทราบว่า แทบไม่เพียงพอกับเงินที่ต้องนำไปลงทุน โดยเฉพาะงานตอกเสาเข็มซึ่งเป็นฐานรากอาคาร"นายพิบูลย์ กล่าว
พ.ต.ท.ถวัล กล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาครบทั้ง 2 ข้อกล่าว คือ การฉ้อโกงผู้รับเหมาช่วงและความผิดตามพ.ร.บ.ฮั้วประมูล ซึ่งผู้บริหารบริษัท พีซีซีฯรับทราบข้อกล่าวหา แต่ปฎิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด ซึ่งเอกสารที่นำมาชี้แจงค่อนข้างละเอียด เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการชี้แจงสาเหตุความล่าช้าในการก่อสร้าง โดยอธิบายว่าภายหลังการทำสัญญากับสตช.จนถึงปัจจุบัน สตช.ส่งมอบพื้นที่ให้ก่อสร้างโรงพักเพียงกว่า 100 แห่ง อีกประมาณ 200 แห่งยังติดขัดไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯก็ไม่สามารถชี้แจงได้ว่าเหตุใดสถานีตำรวจที่ส่งมอบพื้นที่แล้ว การก่อสร้างจึงยังไม่แล้วเสร็จเช่นกัน
พ.ต.ท.ถวัล กล่าวอีกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทพีซีซีฯยักย้ายถ่ายโอนเงินที่อยู่ในธนาคาร ในวันนี้(7 มี.ค.)จะเสนอให้อธิบดีดีเอสไอเซ็นคำสั่งอายัดเงินจำนวน 400 ล้านบาท รวมดอกเบี้ยในบัญชีธนาคารออมสิน สาขาประตูช้างเผือก จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นจำนวนเงินครึ่งหนึ่งที่ทางธนาคารออมสินหักจากเงินล่วงหน้า 15 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเป็นหลักค้ำประกันของการทำสัญญากับทาง ตช. ส่วนการที่ผู้บริหารของบริษัท พีซีซีฯออกมาระบุว่า สาเหตุที่ทำให้การก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทนเกิดความล่าช้า ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจของสตช.จึงทำให้งานสะดุดและไม่มีการเบิกจ่ายเงินส่งให้บริษัท พีซีซีฯนั้น ยอมรับเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น แต่ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า จากการสอบสวนในส่วนของเงินที่มีการเบิกจ่ายให้บริษัท พีซีซีฯ โดยได้มอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินไปตรวจสอบที่ธนาคารออมสิน สาขาช้างเผือก เบื้องต้นพบมีข้อพิรุธ เนื่องจากมีการเบิกเงินแต่ไม่ได้นำไปใช้บริหารจัดการเกี่ยวกับการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน แต่นำไปใช้ในงานส่วนอื่นของบริษัท ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบลงรายละเอียดให้ชัดเจนอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและนัดส่งเอกสารเพิ่มเติมตามที่ดีเอสไอร้องขอภายใน 7 วัน
**ปปช.ไม่หนักใจ นัด 12 มี.ค.นี้ ถกคดี
นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) กล่าวถึงคดีที่ ดีเอสไอ ได้สรุปสำนวนส่งให้ ปปช. เป็นผู้ชี้มูลว่า ทางกรรมการ ปปช. ได้นัดพิจารณาว่าจะมีการรับเรื่องนี้หรือไม่ ในวันที่ 12 มี.ค. เวลา 10.00 น. โดยคณะกรรมการจะพิจารณาสำนวนที่ดีเอสไอส่งมาว่าจะเข้าข้อกฎหมายที่ ปปช. มีอำนาจในการชี้มูลหรือไม่ สำนวนครบถ้วนหรือไม่ สำหรับประเด็นที่ ดีเอสไอ มีความเห็นในสำนวนว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพเทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นั้น ผิดกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีการปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง ต้องขอดูข้อมูลก่อน ส่วนจะเรียกทั้ง 2 คน มาชี้แจงหรือไม่นั้น ต้องผ่านขั้นตอนการรับเรื่องก่อน จึงจะสามารถบอกได้เพราะหลังจากนั้นจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาความผิด
"ไม่หนักใจที่ต้องมาพิจารณาคดีที่หลายฝ่ายมองว่า เกี่ยวข้องกับการเมือง ปปช. มีหน้าที่เหมือน หมอ ที่ต้องดูแลคนไข้ไม่ว่าจะป่วยหนัก หรือเบา" นายปรีชา กล่าว
**ตร.เดินสายโอนเงินให้โรงพัก1-3 แสนบาท
ที่ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 3 ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ฝ่ายความมั่นคง) กล่าวว่า ขณะนี้รอให้ครบสัญญาในวันที่ 14 มี.ค. 2556 จากนั้นทางทีมกฎหมายของตำรวจที่กำลังรวบรวมพยานหลักฐานจะได้ดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญากับคู่สัญญา ส่วนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่แจ้งความเองโดยไม่รอทางตำรวจก็สามารถดำเนินการได้
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ตำรวจภูธรภาคทุกภาค เร่งดำเนินการสำรวจความคืบหน้าการก่อสร้างโดยให้วิศวกรเข้าไปประเมินความแข็งแรงของสิ่งก่อสร้างที่ดำเนินการไปแล้วว่าใช้งานได้หรือไม่ จากนั้นให้รีบส่งขึ้นไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อจะได้สรุปรายละเอียดซึ่งคงต้องสรุปเป็นแต่ละรายไป เพราะในแต่ละโรงพักไม่เหมือนกัน จึงต้องเป็นความเห็นของแต่ละแห่งไป ใครเสร็จก่อนก็ดำเนินการประมูลไปก่อนเลย
สำหรับการดำเนินการแก้ปัญหากรณีโรงพักที่ถูกรื้ออาคารเดิมทิ้งให้สามารถบริการประชาชนได้นั้น พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า โรงพักแต่ละแห่งดำเนินการได้ดี งบประมาณช่วยเหลือเบื้องต้นสำหรับโรงพักที่ถูกรื้อทั้งหมด แห่งละ 3 แสนบาท และที่เหลือโรงพักละ 1 แสนบาท ได้โอนลงไปช่วยเหลือทั้งหมดแล้ว