ส่วนใหญ่แล้วผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายต่างๆของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่เราเป็นนักวิจารณ์สังคม อะไรดีก็ต้องว่าดี อย่างเป็นกลางโดยไม่มีอคติ
สองสามวันผ่านมานี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ออกมาตรการให้ ครม. ขรก. กระทรวงเลิกใส่สูทมาประชุมหรือทำงาน เพื่อประหยัดพลังงาน (ค่าแอร์) เรื่องนี้ขอปรบมือให้ดังๆ
๒๐ กว่าปีที่ผ่านมา ผมเคยเขียนบทความในประเด็นนี้มากหลาย เพื่อช่วยผลักดันให้สังคมไทยเลิกผูกไทใส่สูทกันเสียที แต่ไม่ค่อยเป็นผล ยกเว้น กฟผ. ที่เห็นผล เพราะหน่วยงานนี้เขาเลิกผูกไทใส่สูทกันมานานแล้วพอควร (ไม่ทราบเหมือนกันว่าแต่เมื่อใด แต่อย่างน้อยก็ ๕ ปีมาแล้วแหละ คราวที่ผมไปประชุมร่วมกับพวกเขา)
ว่าไปแล้วหันมาแต่งชุดประจำชาติเบาๆ แบบที่ท่านพลเอกเปรม ท่านนำเสนอ ตามด้วยพลตรีจำลอง ก็คงจะยิ่งดี อ้อ..อาจารย์ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ อีกท่าน
น่านิยมประเทศทางซ้ายของเรา เช่น พม่า อินเดีย ปากีสถาน ที่เขามีชุดประจำชาติเขาเอง ที่น่าภูมิใจแทน ส่วนประเทศทางขวา เช่น ลาว เขมร เวียดนาม ญี่ปุ่น เกาหลี จีน แต่งแบบฝรั่งหมด (เฉพาะผู้ชาย ส่วนผู้หญิงมักเป็นนักอนุรักษ์เสมอ ยกเว้นไทย)
การเลียนแบบสากลนั้นความจริงแล้วก็ “โอ” อยู่ มันเป็นธรรมชาติธรรมดาของมนุษย์ เพียงแต่ว่าเราควร “โม” ให้เข้ากับสภาพสังคมไทยเราด้วย ซึ่งมันทำได้หลากหลาย ดูตัวอย่างพลตรีจำลองน่าจะดีที่สุด ท่านก็ใส่กางเกงฝรั่งนะ แต่เสื้อเป็นแขนสั้น ชั้นเดียว เป็นต้น ใจผมอยากเสนอว่าควรใส่รองเท้าสาน โดยไม่ต้องใส่ถุงเท้าด้วย
ความจริงแล้วฝรั่งเองนั้นเขาเลิกใส่สูทมานานแล้ว ในขณะที่คนไทยกลับเห่อใส่สูทกันมากหลาย
เรื่องจริงไม่อิงนิยายนี้เกิดที่สหรัฐอเมริกาเมื่อ ค.ศ. ๑๙๗๕ ที่เกิดสภาวะน้ำมันแพงอย่างก้าวกระโดด (เรียกกันว่าวิกฤต oil embargo) ดังนั้นองค์การอวกาศฯ (นาซ่า) จึงออกระเบียบไม่บังคับให้พนักงานต้องผูกไทใส่สูทมาทำงานอีกต่อไป โดยเฉพาะในฤดูร้อน (แต่ใครจะแต่งเขาก็ไม่ว่านะ)
๗ ปีที่ผมทำงานที่ศูนย์วิจัยนาซ่าก็ไม่เคยแต่งสูทเลย ส่วนใหญ่ก็กางเกงผ้าฝ้าย เสื้อแขนยาวเปิดคอ ไม่ผูกไท รองเท้าผ้าใบ จู่ๆ ผมก็อยากลองไปทำงานกับบริษัทผลิตเครื่องยนต์เจ็ต เลยลาออกจากนาซ่า ...ได้เรื่องเลยครับ เพราะบริษัทนี้อนุรักษนิยมมาก เขาบังคับว่าต้องผูกไทใส่สูทมาทำงานทุกวัน ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว ต้องลาออกกลับไปนาซ่าเหมือนเดิม ครั้นจะบากหน้าไปที่ศูนย์วิจัยเดิมก็อายเขา เลยเข้าไปอยู่ที่ศูนย์วิจัยอีกศูนย์หนึ่งทางตอนเหนือ (นาซ่ามีศูนย์วิจัยใหญ่เพียงสามศูนย์เท่านั้นที่เหลือเป็นศูนย์ปฏิบัติการ เช่นการส่งยานขึ้นสู่อวกาศ)
ผมทำงานที่ศูนย์วิจัยแห่งนี้อีก ๕ ปี ก็ไม่เคยผูกไทใส่สูทเลย (ยกเว้นตอนไปประชุมวิชาการนอกสถานที่) พนักงานส่วนใหญ่ก็เช่นนั้น ยกเว้นบางคนที่แก่ๆ และอนุรักษ์ (ประมาณ ๒% เห็นจะได้) ที่ยังผูกไทมาทำงาน
การลอกฝรั่งอย่างไม่โมนั้นมีผลเสียมากหลาย เช่น นักวิชาการ วิศวกรไทยก็ไปลอกฝรั่งมาว่า การเปิดแอร์นั้นควรตั้งอุณหภูมิที่ ๒๕ องศา และความชื้นสัมพัทธ์ที่ ๕๐ ซึ่งอุณหภูมิขนาดนี้ทำให้หนาวเกินไป (เปลืองพลังงาน) และความชื้นที่แห้งระดับนี้ก็ทำให้ผิวหนังคนไทยเราคันเสียแล้ว (สองวันก่อนอ่านข่าว รมว.พลังงาน ก็ยังขอร้องคนไทยให้ตั้งแอร์กันที่ ๒๕ องศาอยู่เลย)
ผมได้เขียนบทความเสนอมานานว่าให้ปรับเป็น ๒๗/๗๐ องศาจะพอดีกับระบบสรีระของคนไทย ก็ไม่เป็นผล จึงเสนอผ่านบทความนี้ไปยังรัฐบาลด้วยว่าให้ปรับตามนี้ จะยิ่งช่วยประหยัดพลังงานได้อีกมาก
ส่วนนักวิชาการด้านสุขภาพเราก็ไปลอกฝรั่งมาสอนกันผิดๆ ว่าให้ดื่มน้ำวันละ ๘ แก้ว กินอาหารให้ครบ ๕ หมู่ วันละ ๒,๐๐๐ แคลอรี่ซึ่งเรื่องเหล่านี้ผมได้คำนวณและเขียนบทความเตือนไว้มากหลายแล้วว่า คนไทยเราตัวเล็กกว่า อยู่ในภูมิอากาศร้อนชื้นกว่าฝรั่ง มีน้ำย่อยต่างจากฝรั่ง ระบบสรีระก็ต่างกัน (เช่นความหนาผิวหนัง รูขุมขุน) อาหารของเราสามมื้อก็อุดมด้วยน้ำ (ส่วนอาหารฝรั่งแห้ง..ไม่มีน้ำ)
โดยเฉพาะการหายใจนั้นทำให้ฝรั่งเมืองหนาวเสียความร้อนร่างกายถึงวันละ ๖๐๐ แคลอรี่เข้าไปแล้ว (ปอดระเหยน้ำ เสียความร้อนแฝงมากกว่าเราเพราะอากาศเขาแห้งมาก) ส่วนไทยเสียแค่ ๖๐
ยังความร้อนผ่านผิวหนัง ขนาดตัวที่เล็กกว่า ทำให้คำนวณได้ว่า คนไทยควรดื่มน้ำเพียงวัน ๒ แก้ว กินอาหารเพียงวันละ ๘๐๐ แคลอรี่ ก็จะเป็นการเพียงพอแล้ว หากมากว่านี้ก็มากไป อาจทำให้เกิดโรคได้มาก อย่างน้อยที่สุดก็โรคอ้วน ที่ตอนนี้เห็นคนไทยเป็นกันมากอย่างน่าตกใจ
สำหรับการที่คนไทยผูกไทใส่สูทนั้น ผมเชื่อเหลือเกินว่า จะนำมาซึ่งโรคมากกว่าปกติ เพราะมันทำให้การถ่ายเทความร้อนของร่างกายผิดเพี้ยนไป ก็ทำให้ระบบความร้อนร่างกายไม่สมดุล ปัญหาสุขภาพจะตามมา
อุปมากับรถยนต์เครื่องร้อน จะทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมไวกว่าปกติ แหวนลูกสูบก็จะสึกมากกว่าปกติ ต้องโอเวอร์ฮอลเครื่อง (ผ่าตัดใหญ่) บ่อยกว่าคนอื่น
สองสามวันผ่านมานี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ออกมาตรการให้ ครม. ขรก. กระทรวงเลิกใส่สูทมาประชุมหรือทำงาน เพื่อประหยัดพลังงาน (ค่าแอร์) เรื่องนี้ขอปรบมือให้ดังๆ
๒๐ กว่าปีที่ผ่านมา ผมเคยเขียนบทความในประเด็นนี้มากหลาย เพื่อช่วยผลักดันให้สังคมไทยเลิกผูกไทใส่สูทกันเสียที แต่ไม่ค่อยเป็นผล ยกเว้น กฟผ. ที่เห็นผล เพราะหน่วยงานนี้เขาเลิกผูกไทใส่สูทกันมานานแล้วพอควร (ไม่ทราบเหมือนกันว่าแต่เมื่อใด แต่อย่างน้อยก็ ๕ ปีมาแล้วแหละ คราวที่ผมไปประชุมร่วมกับพวกเขา)
ว่าไปแล้วหันมาแต่งชุดประจำชาติเบาๆ แบบที่ท่านพลเอกเปรม ท่านนำเสนอ ตามด้วยพลตรีจำลอง ก็คงจะยิ่งดี อ้อ..อาจารย์ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ อีกท่าน
น่านิยมประเทศทางซ้ายของเรา เช่น พม่า อินเดีย ปากีสถาน ที่เขามีชุดประจำชาติเขาเอง ที่น่าภูมิใจแทน ส่วนประเทศทางขวา เช่น ลาว เขมร เวียดนาม ญี่ปุ่น เกาหลี จีน แต่งแบบฝรั่งหมด (เฉพาะผู้ชาย ส่วนผู้หญิงมักเป็นนักอนุรักษ์เสมอ ยกเว้นไทย)
การเลียนแบบสากลนั้นความจริงแล้วก็ “โอ” อยู่ มันเป็นธรรมชาติธรรมดาของมนุษย์ เพียงแต่ว่าเราควร “โม” ให้เข้ากับสภาพสังคมไทยเราด้วย ซึ่งมันทำได้หลากหลาย ดูตัวอย่างพลตรีจำลองน่าจะดีที่สุด ท่านก็ใส่กางเกงฝรั่งนะ แต่เสื้อเป็นแขนสั้น ชั้นเดียว เป็นต้น ใจผมอยากเสนอว่าควรใส่รองเท้าสาน โดยไม่ต้องใส่ถุงเท้าด้วย
ความจริงแล้วฝรั่งเองนั้นเขาเลิกใส่สูทมานานแล้ว ในขณะที่คนไทยกลับเห่อใส่สูทกันมากหลาย
เรื่องจริงไม่อิงนิยายนี้เกิดที่สหรัฐอเมริกาเมื่อ ค.ศ. ๑๙๗๕ ที่เกิดสภาวะน้ำมันแพงอย่างก้าวกระโดด (เรียกกันว่าวิกฤต oil embargo) ดังนั้นองค์การอวกาศฯ (นาซ่า) จึงออกระเบียบไม่บังคับให้พนักงานต้องผูกไทใส่สูทมาทำงานอีกต่อไป โดยเฉพาะในฤดูร้อน (แต่ใครจะแต่งเขาก็ไม่ว่านะ)
๗ ปีที่ผมทำงานที่ศูนย์วิจัยนาซ่าก็ไม่เคยแต่งสูทเลย ส่วนใหญ่ก็กางเกงผ้าฝ้าย เสื้อแขนยาวเปิดคอ ไม่ผูกไท รองเท้าผ้าใบ จู่ๆ ผมก็อยากลองไปทำงานกับบริษัทผลิตเครื่องยนต์เจ็ต เลยลาออกจากนาซ่า ...ได้เรื่องเลยครับ เพราะบริษัทนี้อนุรักษนิยมมาก เขาบังคับว่าต้องผูกไทใส่สูทมาทำงานทุกวัน ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว ต้องลาออกกลับไปนาซ่าเหมือนเดิม ครั้นจะบากหน้าไปที่ศูนย์วิจัยเดิมก็อายเขา เลยเข้าไปอยู่ที่ศูนย์วิจัยอีกศูนย์หนึ่งทางตอนเหนือ (นาซ่ามีศูนย์วิจัยใหญ่เพียงสามศูนย์เท่านั้นที่เหลือเป็นศูนย์ปฏิบัติการ เช่นการส่งยานขึ้นสู่อวกาศ)
ผมทำงานที่ศูนย์วิจัยแห่งนี้อีก ๕ ปี ก็ไม่เคยผูกไทใส่สูทเลย (ยกเว้นตอนไปประชุมวิชาการนอกสถานที่) พนักงานส่วนใหญ่ก็เช่นนั้น ยกเว้นบางคนที่แก่ๆ และอนุรักษ์ (ประมาณ ๒% เห็นจะได้) ที่ยังผูกไทมาทำงาน
การลอกฝรั่งอย่างไม่โมนั้นมีผลเสียมากหลาย เช่น นักวิชาการ วิศวกรไทยก็ไปลอกฝรั่งมาว่า การเปิดแอร์นั้นควรตั้งอุณหภูมิที่ ๒๕ องศา และความชื้นสัมพัทธ์ที่ ๕๐ ซึ่งอุณหภูมิขนาดนี้ทำให้หนาวเกินไป (เปลืองพลังงาน) และความชื้นที่แห้งระดับนี้ก็ทำให้ผิวหนังคนไทยเราคันเสียแล้ว (สองวันก่อนอ่านข่าว รมว.พลังงาน ก็ยังขอร้องคนไทยให้ตั้งแอร์กันที่ ๒๕ องศาอยู่เลย)
ผมได้เขียนบทความเสนอมานานว่าให้ปรับเป็น ๒๗/๗๐ องศาจะพอดีกับระบบสรีระของคนไทย ก็ไม่เป็นผล จึงเสนอผ่านบทความนี้ไปยังรัฐบาลด้วยว่าให้ปรับตามนี้ จะยิ่งช่วยประหยัดพลังงานได้อีกมาก
ส่วนนักวิชาการด้านสุขภาพเราก็ไปลอกฝรั่งมาสอนกันผิดๆ ว่าให้ดื่มน้ำวันละ ๘ แก้ว กินอาหารให้ครบ ๕ หมู่ วันละ ๒,๐๐๐ แคลอรี่ซึ่งเรื่องเหล่านี้ผมได้คำนวณและเขียนบทความเตือนไว้มากหลายแล้วว่า คนไทยเราตัวเล็กกว่า อยู่ในภูมิอากาศร้อนชื้นกว่าฝรั่ง มีน้ำย่อยต่างจากฝรั่ง ระบบสรีระก็ต่างกัน (เช่นความหนาผิวหนัง รูขุมขุน) อาหารของเราสามมื้อก็อุดมด้วยน้ำ (ส่วนอาหารฝรั่งแห้ง..ไม่มีน้ำ)
โดยเฉพาะการหายใจนั้นทำให้ฝรั่งเมืองหนาวเสียความร้อนร่างกายถึงวันละ ๖๐๐ แคลอรี่เข้าไปแล้ว (ปอดระเหยน้ำ เสียความร้อนแฝงมากกว่าเราเพราะอากาศเขาแห้งมาก) ส่วนไทยเสียแค่ ๖๐
ยังความร้อนผ่านผิวหนัง ขนาดตัวที่เล็กกว่า ทำให้คำนวณได้ว่า คนไทยควรดื่มน้ำเพียงวัน ๒ แก้ว กินอาหารเพียงวันละ ๘๐๐ แคลอรี่ ก็จะเป็นการเพียงพอแล้ว หากมากว่านี้ก็มากไป อาจทำให้เกิดโรคได้มาก อย่างน้อยที่สุดก็โรคอ้วน ที่ตอนนี้เห็นคนไทยเป็นกันมากอย่างน่าตกใจ
สำหรับการที่คนไทยผูกไทใส่สูทนั้น ผมเชื่อเหลือเกินว่า จะนำมาซึ่งโรคมากกว่าปกติ เพราะมันทำให้การถ่ายเทความร้อนของร่างกายผิดเพี้ยนไป ก็ทำให้ระบบความร้อนร่างกายไม่สมดุล ปัญหาสุขภาพจะตามมา
อุปมากับรถยนต์เครื่องร้อน จะทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมไวกว่าปกติ แหวนลูกสูบก็จะสึกมากกว่าปกติ ต้องโอเวอร์ฮอลเครื่อง (ผ่าตัดใหญ่) บ่อยกว่าคนอื่น