**กี่ครั้งกี่หนที่มีเสียงซุบซิบนินทา วิพากษ์วิจารณ์ถึงนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่แม้ว่าจะได้ชื่อเป็นผู้นำประเทศที่เป็นผู้หญิงคนแรก สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ แต่อีกด้านหนึ่งภาพที่ออกมาเธอเป็นได้แค่ “หุ่นเชิด” เพื่อมารักษาผลประโยชน์ของครอบครัว ที่พี่ชายคือ ทักษิณ ชินวัตร ส่งเข้ามาเท่านั้น
ทั้งในเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน ก็มักถูกจับตามองด้วยความระแวงว่ามีแต่ผลประโยชน์ของคนในครอบครัวเข้ามาแบ่ง มากินหัวคิว ไม่เคยมีสักเรื่องเดียวที่โปร่งใส ถ้าเอาเฉพาะเท่าที่หลักๆ มีเรื่องอื้อฉาวพูดกันมาก เช่น จำนำข้าว ที่ “เจ๊” ชักหัวคิว โกงกันแบบไปกลับ รวยกันพุงปลิ้น หน้าบานกลายเป็น “ซาลาเปา” ไปแล้ว
นี่ว่ากันเฉพาะที่เป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นโครงการที่กำลังสร้างความฉิบหายในวงการค้าข้าว การพัฒนาคุณภาพข้าวไทย และในที่สุดได้สูบเอาเงินงบประมาณจำนวนมหาศาล และเชื่อว่าอีกไม่นาน เราจะได้เห็น “สถานะ” ที่แท้จริงของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.)ในอีกไม่นานข้างหน้า เพราะในที่สุด ไม่ว่าจะปิดบังอย่างไร ความจริงก็จะปรากฏออกมา
แทบทุกโครงการ มีแต่ข้อเคลือบแคลงน่าสงสัย ขณะเดียวกันถ้าถามว่า การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ ภายใต้การนำของ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผ่านมาเกือบสองปี มีอะไรโดดเด่นน่าประทับใจบ้าง เพราะถ้าพิจารณาจากราคาคุย ผลงานมันต้องไม่ธรรมดา พื้นๆแบบนี้ แต่นี่กลายเป็นว่ามันก็ไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาลอำมาตย์ในอดีตอย่างที่พรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดงที่เป็นลูกน้องของตัวเองเคยปรามาสกล่าวหาเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งที่มีปัจจัยทุกอย่างพร้อมกว่าทุกด้าน แต่ผลที่ออกมามันก็แสนจะ “ธรรมดา” หรือห่วยกว่า ด้วยซ้ำไป
ลองไปถามชาวบ้านหาเช้ากินค่ำทั่วไป ถ้าไม่โกหกก็ต้องบอกว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่ม “ของแพง” แบบกระฉูด แม้จะอ้างว่ามีค่าแรงเพิ่มวันละ 300 บาท แต่ถามสักคำว่า ค่าใช้จ่ายพุ่งขึ้นไปรับล่วงหน้าแล้ว อีกทั้งโรงงานที่จ่ายเพิ่มหลายแห่งปรับตัวไม่ทัน รับภาระไม่ไหว ก็ต้องปิดตัวเลิกจ้างก็ไม่น้อย
หากพิจารณากันเฉพาะเรื่องความไม่น่าไว้วางใจกับรัฐบาล โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรี และคนในครอบครัวว่ามีวาระซ่อนเร้น ถามว่านอกเหนือจากเรื่องนโยบายหลักๆ แล้วการเดินทางไปเยือนต่างประเทศแต่ละครั้งของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ รวมไปถึงรัฐมนตรีคนสำคัญ เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ล้วนแล้วแต่มีเรื่องไม่ชอบมาพากลมาให้วิจารณ์ทั้งสิ้น กลายเป็นว่าทุกครั้ง จะเป็นเรื่องใช้ตำแหน่งแห่งที่เอื้อธุรกิจให้กับ ทักษิณ ชินวัตร พ่วงเข้าไปด้วย หรือไม่ก็ผลประโยชน์ส่วนตัวล้วนๆ เป็นต้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับธุรกิจพลังงานที่เชื่อมโยงกับมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา แลกกับการขอใช้สนามบินอู่ตะเภา พัวพันไปถึงทะเลอ่าวไทย ผลประโยชน์ใต้โต๊ะกับ ฮุนเซน ที่เป็นเจ้าของเขมรอยู่เต็มร้อย หรือแม้แต่สัมปทานในพม่า ทั้งในทะเลและบนบก รวมไปถึงอภิมหาโปรเจกต์อย่าง “เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย” ที่กำลังปลุกปั้นกันอย่างเต็มที่ มีการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่เป็นคนใกล้ชิดอย่าง นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งฐานะไม่ต่างจาก “เด็กในบ้าน” ทำหน้าที่เป็นประธานคณะประสานงาน เร่งรัดให้งานเดินหน้า
นี่ว่ากันเฉพาะตัวอย่างที่พอนึกขึ้นได้ในเฉพาะหน้าเท่านั้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ เที่ยวนี้ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่ามีภารกิจที่กำหนดเอาไว้ว่าจะไปร่วมเป็นเกียรติในพิธีสาบานตัวรับตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนใหม่ก็ตาม
** แต่ในระหว่างทางนี่สิกลับแวะฮ่องกง ซึ่งแน่นอนว่า ตรงนี้เองที่กลายเป็นจุดที่น่าสงสัย ว่าเธอมีกำหนดการไปพบกับ ทักษิณ ชินวัตร ที่นั่น เพื่อหารือ “หลายเรื่อง” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ “จูนเครื่อง” เพื่อให้เข้าใจตรงกัน กับภารกิจสำคัญที่จะต้องเดินไปข้างหน้า ทั้งเฉพาะหน้าในเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ล่าสุดในโค้งสุดท้าย พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ คนดีของ ทักษิณ กระแสทำท่าพลิกกลับ กำลังถูกฝ่ายตรงข้ามไล่จี้ติดก้น อาจ “ยึดเมืองหลวง” ล้มเหลว ก็เป็นไปได้สูง
หรือไม่ก็มีเรื่องใหญ่ที่รออยู่ ทั้งในเรื่องการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ที่ก่อนหน้านี้ ทักษิณ ชินวัตร ได้เรียก เจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนฯ ที่ได้รับคำสั่งเป็น “นายหน้า” คนใหม่มาพบถึงบาเรนห์ เมื่อสัปดาห์ก่อน รวมไปถึงร่างพระราชบัญญัติกู้เงินจำนวน 2.2 ล้านบาท ทุกเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องใหญ่ และสำคัญอย่างยิ่งยวด แม้ว่าที่ผ่านมาจะใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียสื่อสารกันแบบเห็นตัวกันได้ไม่ยากตามปกติอยู่แล้ว
แต่เพื่อป้องกันความผิดพลาด ก็ต้องเรียกมากำชับกำชากันอย่างเคร่งเครียด อย่างน้อยก็ต้องเตือนกันถึงเรื่อง “อย่ารู้มาก” อะไรประมาณนี้ หรือเปล่า เพราะระยะหลังเริ่มมีข่าวไปฟังคนรอบข้างคิด “สร้างบาง” ส่วนตัว จึงเรียกมาคุยให้เข้าใจ
**แน่นอนว่าความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจริง ไม่จริง ไม่รู้ แต่รับรองว่าต้องมีการปฏิเสธเสียงแข็งไว้ก่อน แต่ขณะเดียวกัน มันก็ช่วยไม่ได้ที่ทำให้ชาวบ้านสงสัยไปทุกเรื่อง เพราะที่ผ่านมามันไว้ใจไม่ได้จริงๆ เอาเป็นว่าแค่เรื่องสถานการณ์ฉุกเฉิน เรื่องไฟฟ้าตกในเดือนเมษายน ก็ยังมีคนเชื่อว่าเป็น “แผนชั่ว” เพื่อหาเรื่อง “สร้างเขื่อน” และ “สร้างโรงไฟฟ้า” เท่านั้น โดยใช้ความเดือดร้อนของชาวบ้านมาเป็นข้อต่อรอง
ดังนั้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องน่าอนาถอย่างยิ่ง ที่ผู้นำประเทศขยับตัวไปไหน มีโครงการอะไรออกมา หรือแม้แต่การเดินทางไปเยือนต่างประเทศครั้งใด ก็มักมีเรื่องสงสัยว่ามีวาระซ่อนเร้น มีผลประโยชน์ส่วนตัว และครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้อง
**และที่น่าเจ็บปวดก็คือ คนที่เข้ามาพัวพันผลประโยชน์ก็ไม่ใช่คนปกติทั่วไป แต่เป็นคนที่เป็นภัยร้ายต่อบ้านเมือง มีพฤติกรรมไม่ต่างกับโจรไม่มีผิด !!
ทั้งในเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน ก็มักถูกจับตามองด้วยความระแวงว่ามีแต่ผลประโยชน์ของคนในครอบครัวเข้ามาแบ่ง มากินหัวคิว ไม่เคยมีสักเรื่องเดียวที่โปร่งใส ถ้าเอาเฉพาะเท่าที่หลักๆ มีเรื่องอื้อฉาวพูดกันมาก เช่น จำนำข้าว ที่ “เจ๊” ชักหัวคิว โกงกันแบบไปกลับ รวยกันพุงปลิ้น หน้าบานกลายเป็น “ซาลาเปา” ไปแล้ว
นี่ว่ากันเฉพาะที่เป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นโครงการที่กำลังสร้างความฉิบหายในวงการค้าข้าว การพัฒนาคุณภาพข้าวไทย และในที่สุดได้สูบเอาเงินงบประมาณจำนวนมหาศาล และเชื่อว่าอีกไม่นาน เราจะได้เห็น “สถานะ” ที่แท้จริงของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.)ในอีกไม่นานข้างหน้า เพราะในที่สุด ไม่ว่าจะปิดบังอย่างไร ความจริงก็จะปรากฏออกมา
แทบทุกโครงการ มีแต่ข้อเคลือบแคลงน่าสงสัย ขณะเดียวกันถ้าถามว่า การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ ภายใต้การนำของ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผ่านมาเกือบสองปี มีอะไรโดดเด่นน่าประทับใจบ้าง เพราะถ้าพิจารณาจากราคาคุย ผลงานมันต้องไม่ธรรมดา พื้นๆแบบนี้ แต่นี่กลายเป็นว่ามันก็ไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาลอำมาตย์ในอดีตอย่างที่พรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดงที่เป็นลูกน้องของตัวเองเคยปรามาสกล่าวหาเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งที่มีปัจจัยทุกอย่างพร้อมกว่าทุกด้าน แต่ผลที่ออกมามันก็แสนจะ “ธรรมดา” หรือห่วยกว่า ด้วยซ้ำไป
ลองไปถามชาวบ้านหาเช้ากินค่ำทั่วไป ถ้าไม่โกหกก็ต้องบอกว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่ม “ของแพง” แบบกระฉูด แม้จะอ้างว่ามีค่าแรงเพิ่มวันละ 300 บาท แต่ถามสักคำว่า ค่าใช้จ่ายพุ่งขึ้นไปรับล่วงหน้าแล้ว อีกทั้งโรงงานที่จ่ายเพิ่มหลายแห่งปรับตัวไม่ทัน รับภาระไม่ไหว ก็ต้องปิดตัวเลิกจ้างก็ไม่น้อย
หากพิจารณากันเฉพาะเรื่องความไม่น่าไว้วางใจกับรัฐบาล โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรี และคนในครอบครัวว่ามีวาระซ่อนเร้น ถามว่านอกเหนือจากเรื่องนโยบายหลักๆ แล้วการเดินทางไปเยือนต่างประเทศแต่ละครั้งของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ รวมไปถึงรัฐมนตรีคนสำคัญ เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ล้วนแล้วแต่มีเรื่องไม่ชอบมาพากลมาให้วิจารณ์ทั้งสิ้น กลายเป็นว่าทุกครั้ง จะเป็นเรื่องใช้ตำแหน่งแห่งที่เอื้อธุรกิจให้กับ ทักษิณ ชินวัตร พ่วงเข้าไปด้วย หรือไม่ก็ผลประโยชน์ส่วนตัวล้วนๆ เป็นต้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับธุรกิจพลังงานที่เชื่อมโยงกับมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา แลกกับการขอใช้สนามบินอู่ตะเภา พัวพันไปถึงทะเลอ่าวไทย ผลประโยชน์ใต้โต๊ะกับ ฮุนเซน ที่เป็นเจ้าของเขมรอยู่เต็มร้อย หรือแม้แต่สัมปทานในพม่า ทั้งในทะเลและบนบก รวมไปถึงอภิมหาโปรเจกต์อย่าง “เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย” ที่กำลังปลุกปั้นกันอย่างเต็มที่ มีการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่เป็นคนใกล้ชิดอย่าง นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งฐานะไม่ต่างจาก “เด็กในบ้าน” ทำหน้าที่เป็นประธานคณะประสานงาน เร่งรัดให้งานเดินหน้า
นี่ว่ากันเฉพาะตัวอย่างที่พอนึกขึ้นได้ในเฉพาะหน้าเท่านั้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ เที่ยวนี้ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่ามีภารกิจที่กำหนดเอาไว้ว่าจะไปร่วมเป็นเกียรติในพิธีสาบานตัวรับตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนใหม่ก็ตาม
** แต่ในระหว่างทางนี่สิกลับแวะฮ่องกง ซึ่งแน่นอนว่า ตรงนี้เองที่กลายเป็นจุดที่น่าสงสัย ว่าเธอมีกำหนดการไปพบกับ ทักษิณ ชินวัตร ที่นั่น เพื่อหารือ “หลายเรื่อง” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ “จูนเครื่อง” เพื่อให้เข้าใจตรงกัน กับภารกิจสำคัญที่จะต้องเดินไปข้างหน้า ทั้งเฉพาะหน้าในเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ล่าสุดในโค้งสุดท้าย พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ คนดีของ ทักษิณ กระแสทำท่าพลิกกลับ กำลังถูกฝ่ายตรงข้ามไล่จี้ติดก้น อาจ “ยึดเมืองหลวง” ล้มเหลว ก็เป็นไปได้สูง
หรือไม่ก็มีเรื่องใหญ่ที่รออยู่ ทั้งในเรื่องการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ที่ก่อนหน้านี้ ทักษิณ ชินวัตร ได้เรียก เจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนฯ ที่ได้รับคำสั่งเป็น “นายหน้า” คนใหม่มาพบถึงบาเรนห์ เมื่อสัปดาห์ก่อน รวมไปถึงร่างพระราชบัญญัติกู้เงินจำนวน 2.2 ล้านบาท ทุกเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องใหญ่ และสำคัญอย่างยิ่งยวด แม้ว่าที่ผ่านมาจะใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียสื่อสารกันแบบเห็นตัวกันได้ไม่ยากตามปกติอยู่แล้ว
แต่เพื่อป้องกันความผิดพลาด ก็ต้องเรียกมากำชับกำชากันอย่างเคร่งเครียด อย่างน้อยก็ต้องเตือนกันถึงเรื่อง “อย่ารู้มาก” อะไรประมาณนี้ หรือเปล่า เพราะระยะหลังเริ่มมีข่าวไปฟังคนรอบข้างคิด “สร้างบาง” ส่วนตัว จึงเรียกมาคุยให้เข้าใจ
**แน่นอนว่าความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจริง ไม่จริง ไม่รู้ แต่รับรองว่าต้องมีการปฏิเสธเสียงแข็งไว้ก่อน แต่ขณะเดียวกัน มันก็ช่วยไม่ได้ที่ทำให้ชาวบ้านสงสัยไปทุกเรื่อง เพราะที่ผ่านมามันไว้ใจไม่ได้จริงๆ เอาเป็นว่าแค่เรื่องสถานการณ์ฉุกเฉิน เรื่องไฟฟ้าตกในเดือนเมษายน ก็ยังมีคนเชื่อว่าเป็น “แผนชั่ว” เพื่อหาเรื่อง “สร้างเขื่อน” และ “สร้างโรงไฟฟ้า” เท่านั้น โดยใช้ความเดือดร้อนของชาวบ้านมาเป็นข้อต่อรอง
ดังนั้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องน่าอนาถอย่างยิ่ง ที่ผู้นำประเทศขยับตัวไปไหน มีโครงการอะไรออกมา หรือแม้แต่การเดินทางไปเยือนต่างประเทศครั้งใด ก็มักมีเรื่องสงสัยว่ามีวาระซ่อนเร้น มีผลประโยชน์ส่วนตัว และครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้อง
**และที่น่าเจ็บปวดก็คือ คนที่เข้ามาพัวพันผลประโยชน์ก็ไม่ใช่คนปกติทั่วไป แต่เป็นคนที่เป็นภัยร้ายต่อบ้านเมือง มีพฤติกรรมไม่ต่างกับโจรไม่มีผิด !!