จันทร์เสี้ยวในคืนข้างขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3 ให้แสงส่องสว่างแก่พื้นที่สวนยางพาราบนแผนดินสุดปลายด้ามขวานของไทยได้เพียงเล็กน้อย แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคต่อปฏิบัติการกลางท่ามกลางความมือสลัวในดื่นดึก เนื่องเพราะมีการเตรียมความพร้อมไว้อย่างเสร็จสรรพทุกขึ้นตอน
แม้ไม่มีการบันทึกเป็นภาพไว้ในห้วงเวลาปฏิบัติการไว้ให้ดูชม แต่ตามเสียงบอกเล่านั้นประมาณว่า ไม่ต่างจากฉากในหนังฮอลลีวูดเท่าใดนัก
เริ่มจากเวลาประมาณ 01.30 น.ของคืนวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา กลุ่มคนราว 50 คนแต่งกายด้วยชุดลายพรางทหาร สวมเสื้อเกาะรัดกุม อาวุธปืนสงครามครบมือ ได้ร่วมกันบุกกรูกันเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการทหารร้อยปืนเล็กที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 ซึ่งตั้งอยู่บริเวณบ้านยือลอ ม.3 ต.บาเร๊ะเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส แล้วเกิดการปะทะกันนับชั่วโมง สุดท้ายฝ่ายรุกกลับต้องกระเจิงล่าถอยกลับไป โดยทิ้งร่างผู้ร่วมขบวนการไว้ให้ดูต่างหน้า 16 ศพ
โดยระหว่างหลบหนีกลุ่มคนร้ายได้ตัดต้นไม้ขวางถนนและโปรยตะปูเรือใบ รวมถึงวางกับดักที่เป็นระเบิดแสวงเครื่องประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สหุงต้มหนัก 50 ก.ก.จุดชนวนด้วยแบตเตอรี่แบบลากสายไฟยาวไปในป่ารกทึบริมทางไว้ด้วย เพื่อสกัดกั้นไม่ให้เจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าสนับสนุนและรุกไล่ติดตาม โดยเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าไปเสริมกำลังและให้การช่วยเหลือต้องใช้เวลาเคลียร์จุดต่างๆ นานนับชั่วโมง จึงสามารถเข้าไปยังฐานปฏิบัติการทหารที่เกิดเหตุได้
ช่วงเช้ามีการเข้าเคลียร์ที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นสวนยางพารา พบศพคนร้ายนอนกระจายเกลือดกราดรวม 16 ศพ ซึ่งแต่ละศพสวมหมวกไหมพรม มีอาวุธปืนอาก้าหรือไม่ก็เอ็ม 16 ประจำกาย สวมเสื้อเกราะ โดยส่วนใหญ่บนร่างกายมีร่องรอยลักษณะรูพรุนไปทั่ว จากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า ผู้เสียชีวิตเป็นระดับแกนนำกองกำลังติดอาวุธ หรือ RKK ที่เคลื่อนไหวก่อเหตุร้ายในพื้นที่ อ.บาเจาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส และ อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี
โดยในเบื้องต้น 3 ในจำนวน 16 ศพถูกระบุว่า คือ 1.นายมะรอโซ จันทราวดี ผู้ต้องหาตามหมาย ป.วิอาญา ในคดีความมั่นคง 11 หมาย และเป็นผู้ต้องสงสัยตามหมาย พ.ร.ก.อีก 3 หมาย เคยร่วมก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง และเป็นผู้สั่งการบุกสังหารครูชลธี เจริญชล ครู คศ.2 โรงเรียนบ้านตันหยง ต.บาเร๊ะใต้ อ.บาเจาะ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา 2.นายซาอูดี อาลี และ 3.นายซาบีรี โลตาเซะ ส่วนศพที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่
ห่างจากถนนทางเข้าฐานปฏิบัติการประมาณ 50 ม. เจ้าหน้าที่พบรถยนต์กระบะยี่ห้อ โตโยต้า สีบรอนซ์ ทะเบียน บค 7968 ยะลา ซึ่งเป็นของคนร้ายจอดอยู่ในสภาพถูกกระสุนปืนพรุนไปทั้งคัน และในกระบะหลังพบเป้สนาม 8 ใบ ภายในบรรจุอาวุธปืนพกสั้น ระเบิดแสวงเครื่องชนิดขว้าง โทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้าและเครื่องยังชีพในป่าของคนร้าย โดยสรุปสิ่งของที่เจ้าหน้าที่ยึดได้ ประกอบด้วย ปืน M.16 12 กระบอก ปืน AK-47 3 กระบอก ปืนพก 3 กระบอก ลูกระเบิดแสวงเครื่อง 6 ลูก เลื่อยโซ่ยนต์ 1 เครื่อง รถยนต์กระบะ 1 คัน และรถจักรยานยนต์ 2 คัน
ข้างต้น คือ ภาพที่มีรายงานผ่านสื่อต่างๆ ไปแล้ว แต่ยังมีเรื่องราวเล่าขานของคนวงในเพิ่มเติมด้วยว่า เหตุที่ผู้รุกรานปฏิบัติการไม่สำเร็จ เป็นเพราะนาวิกโยธินที่ประจำอยู่ในฐานปฏิบัติการดังกล่าวรู้ข่าวการจะถูกบุกโจมตีมาก่อน จึงจัดหนักไว้รองรับแขกผู้มาเยือนในยามวิกาลแบบสาสม และต้องจัดว่าครบเครื่องทุกกระบวนความ โดยเฉพาะการวางกับดักไว้ต้อนรับด้วยระเบิดเคโม (Claymore) พร้อมวางกำลังประจำจุดต่างๆ ไว้อย่างเสร็จสรรพ
จากคำบอกเล่าที่เจือไปด้วยข้อสังเกตมีว่า ท่าทางของกลุ่มผู้ไปเยือนทุกคนเหมือนมากมายไปด้วยความเชื่อมั่น ซึ่งไม่ต่างอะไรกับปฏิบัติการเมื่อครั้งเหตุปล้นปืนค่ายปิเหล็งใน จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547 อันเป็นเหตุการณ์ที่ถูกกำหนดให้เป็นยุคไฟใต้ปะทุขึ้นระลอกใหม่ หรือเหตุการณ์ 106 ศพกรือเซะ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2547 ที่ว่ากันว่ามีการนำผู้เข้าร่วมปฏิบัติการไปผ่านพิธีซุมเปาะห์มาก่อน ซึ่งสังเกตได้จากการเข้าโจมตีเป็นไปแบบฮึกเหิม แล้วเดินเรียงหน้ากระดานเข้าไปหาฐานปฏิบัติการณ์ทหารแบบไม่หวั่นไหว จนดูเหมือนจะคิดไปว่าไม่มีใครมองเห็นเรืองร่างของตนเองก็เป็นได้
ทั้งนี้ ปฏิบัติการในคืนข้างขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3 จึงเป็นที่ฉงนสนเทศของผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศ และไม่เพียงเท่านั้นยังเป็นที่กังขาสำหรับชาวต่างชาติที่สนใจติดตามข่าวสารบนแผ่นดินชายแดนใต้ด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนบทสรุปของปฏิบัติการจะเป็นที่พออกพอใจของผู้คน และในทางตรงกันข้ามก็มีกระแสเสียงระบุว่า เป็นไปตามประสงค์ของฝ่ายที่ต้องการให้เกิดความสูญเสียด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเป็นความประสงค์ของกลุ่มคนที่อยู่หลังฉากคอยชักใยให้เกิดไฟใต้ระลอกใหม่ขึ้นมา
ทำไมจึงเป็นเช่นกัน ณ วันนี้อาจจะยังไม่มีคำตอบที่แจ้งชัด แต่หากประมวนจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงข้อมูลข่าวสารในด้านความมั่นคง อย่างน้อยก็น่าจะทำให้เข้าใจได้ในระดับหนึ่ง
โดยเหตุผลที่ทำให้ฝ่ายทหารเตรียมตัวตั้งรับการโจมตีในครั้งนี้ไว้เป็นอย่างดีนั้น ประเด็นหนึ่งมีการเปิดเผยว่าเป็นผลจากภายหลังการวิสามัญ นายสุไฮดี ตะเห อายุ 31 ปี หนึ่งในคนร้ายที่ก่อเหตุบุกยิงครูชลธีเสียชีวิต เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดแผนผังและเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับการวางแผนบุกโจมตีฐานปฏิบัติการทหารได้ ทำให้สามารถวางแผนรับมือการแก้แค้นให้แก่นายสุไฮดีได้
แต่ในทางการข่าวก็มีการระบุด้วยว่า หนึ่งในลูกศิษย์ครูชลธีที่เป็นแนวร่วมได้กลับใจนำข่าวการวางแผนโจมตีไปบอกกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งสาเหตุที่ครูชลธีถูกยิงเสียชีวิตกลางโรงเรียนก็เพราะ พยายามดึงบรรดาศิษย์ที่หลงผิดทั้งไปติดยาเสพติดและร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน ให้หวนกลับมามีชีวิตปกติด้วยกีฬาหรือกิจกรรมต่างๆ การกระทำเช่นกันจึงเป็นเหมือนการย้อนศรระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับขบวนการนั่นเอง
ทว่านั่นยังไม่น่าสนใจเท่าในทางการข่าวของหน่วยข่าวกรองระบุว่า ช่วงก่อนตรุษจีนแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนระดับสั่งการ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงเรียนปอเนาะแห่งหนึ่ง ได้เรียกสมาชิกระดับแกนนำ RKK ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 12 คนประชุมที่บ้านสมาชิกคนหนึ่งย่านตลาดเก่า เขตเทศบาลนครยะลา และได้สั่งการให้ RKK ที่รับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ก่อเหตุรายวันอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นให้แต่งชุดคล้ายเจ้าหน้าที่รัฐออกปฏิบัติการเพื่อยึดอาวุธฝ่ายตรงข้ามสะสมไว้ทำการใหญ่หลังช่วงตรุษจีน โดยปลุกระดมให้เชื่อว่าจะสามารถตั้งรัฐปัตตานีได้สำเร็จภายในปี 2558
จากการข่าวนี้เองส่งผลให้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายควบคุมดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสถานที่ราชการ ย่านธุรกิจการค้า และที่สำคัญคือฐานปฏิบัติการหรือค่ายกองกำลังของฝ่ายรัฐต่างๆ จึงนำไปสู่การต้อนรับแขกผู้ไปเยือนแบบจัดหนักดังกล่าว
ต้องไม่ลืมว่ากว่า 9 ปี ของการโชนเปลวของไฟใต้ระลอกใหม่ มีเพียงไม่กี่ครั้งที่เจ้าหน้าที่รัฐสามารถเล่นงานกลับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้ชนิดถูกอกถูกใจคนจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วดูเหมือนจะเป็นรอง เป็นผู้ถูกลอบกัด หรือคือผู้ถูกกระทำเสียมากกว่า ดังนี้แล้วจึงเป็นเรื่องที่ต้องจับตากันใกล้ชิดต่อไปว่า นับแต่นี้ต่อไปจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นตามมา
แม้จะไม่เป็นที่เอิกเกริกเปิดเผย แต่เวลานี้เสียงเตือนจากฝ่ายความมั่นคงก็ก้องกังวานในกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเชื่อว่าคือกลุ่มที่จะตกเป็นเหยื่อของการโจมตีจากขบวนการผู้ก่อการร้ายบนแผนดินปลายด้ามขวานอย่างหนักต่อไปในภายหน้านี้ โดยเฉพาะเป้าหมายที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐที่ “อ่อนแอ” ไม่ว่าจะเป็นครู สาธารณสุข เกษตร รวมถึงข้าราชการและพนักงานในฟากฝ่ายพลเรือนต่างๆ เป็นต้น
แม้ไม่มีการบันทึกเป็นภาพไว้ในห้วงเวลาปฏิบัติการไว้ให้ดูชม แต่ตามเสียงบอกเล่านั้นประมาณว่า ไม่ต่างจากฉากในหนังฮอลลีวูดเท่าใดนัก
เริ่มจากเวลาประมาณ 01.30 น.ของคืนวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา กลุ่มคนราว 50 คนแต่งกายด้วยชุดลายพรางทหาร สวมเสื้อเกาะรัดกุม อาวุธปืนสงครามครบมือ ได้ร่วมกันบุกกรูกันเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการทหารร้อยปืนเล็กที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 ซึ่งตั้งอยู่บริเวณบ้านยือลอ ม.3 ต.บาเร๊ะเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส แล้วเกิดการปะทะกันนับชั่วโมง สุดท้ายฝ่ายรุกกลับต้องกระเจิงล่าถอยกลับไป โดยทิ้งร่างผู้ร่วมขบวนการไว้ให้ดูต่างหน้า 16 ศพ
โดยระหว่างหลบหนีกลุ่มคนร้ายได้ตัดต้นไม้ขวางถนนและโปรยตะปูเรือใบ รวมถึงวางกับดักที่เป็นระเบิดแสวงเครื่องประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สหุงต้มหนัก 50 ก.ก.จุดชนวนด้วยแบตเตอรี่แบบลากสายไฟยาวไปในป่ารกทึบริมทางไว้ด้วย เพื่อสกัดกั้นไม่ให้เจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าสนับสนุนและรุกไล่ติดตาม โดยเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าไปเสริมกำลังและให้การช่วยเหลือต้องใช้เวลาเคลียร์จุดต่างๆ นานนับชั่วโมง จึงสามารถเข้าไปยังฐานปฏิบัติการทหารที่เกิดเหตุได้
ช่วงเช้ามีการเข้าเคลียร์ที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นสวนยางพารา พบศพคนร้ายนอนกระจายเกลือดกราดรวม 16 ศพ ซึ่งแต่ละศพสวมหมวกไหมพรม มีอาวุธปืนอาก้าหรือไม่ก็เอ็ม 16 ประจำกาย สวมเสื้อเกราะ โดยส่วนใหญ่บนร่างกายมีร่องรอยลักษณะรูพรุนไปทั่ว จากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า ผู้เสียชีวิตเป็นระดับแกนนำกองกำลังติดอาวุธ หรือ RKK ที่เคลื่อนไหวก่อเหตุร้ายในพื้นที่ อ.บาเจาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส และ อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี
โดยในเบื้องต้น 3 ในจำนวน 16 ศพถูกระบุว่า คือ 1.นายมะรอโซ จันทราวดี ผู้ต้องหาตามหมาย ป.วิอาญา ในคดีความมั่นคง 11 หมาย และเป็นผู้ต้องสงสัยตามหมาย พ.ร.ก.อีก 3 หมาย เคยร่วมก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง และเป็นผู้สั่งการบุกสังหารครูชลธี เจริญชล ครู คศ.2 โรงเรียนบ้านตันหยง ต.บาเร๊ะใต้ อ.บาเจาะ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา 2.นายซาอูดี อาลี และ 3.นายซาบีรี โลตาเซะ ส่วนศพที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่
ห่างจากถนนทางเข้าฐานปฏิบัติการประมาณ 50 ม. เจ้าหน้าที่พบรถยนต์กระบะยี่ห้อ โตโยต้า สีบรอนซ์ ทะเบียน บค 7968 ยะลา ซึ่งเป็นของคนร้ายจอดอยู่ในสภาพถูกกระสุนปืนพรุนไปทั้งคัน และในกระบะหลังพบเป้สนาม 8 ใบ ภายในบรรจุอาวุธปืนพกสั้น ระเบิดแสวงเครื่องชนิดขว้าง โทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้าและเครื่องยังชีพในป่าของคนร้าย โดยสรุปสิ่งของที่เจ้าหน้าที่ยึดได้ ประกอบด้วย ปืน M.16 12 กระบอก ปืน AK-47 3 กระบอก ปืนพก 3 กระบอก ลูกระเบิดแสวงเครื่อง 6 ลูก เลื่อยโซ่ยนต์ 1 เครื่อง รถยนต์กระบะ 1 คัน และรถจักรยานยนต์ 2 คัน
ข้างต้น คือ ภาพที่มีรายงานผ่านสื่อต่างๆ ไปแล้ว แต่ยังมีเรื่องราวเล่าขานของคนวงในเพิ่มเติมด้วยว่า เหตุที่ผู้รุกรานปฏิบัติการไม่สำเร็จ เป็นเพราะนาวิกโยธินที่ประจำอยู่ในฐานปฏิบัติการดังกล่าวรู้ข่าวการจะถูกบุกโจมตีมาก่อน จึงจัดหนักไว้รองรับแขกผู้มาเยือนในยามวิกาลแบบสาสม และต้องจัดว่าครบเครื่องทุกกระบวนความ โดยเฉพาะการวางกับดักไว้ต้อนรับด้วยระเบิดเคโม (Claymore) พร้อมวางกำลังประจำจุดต่างๆ ไว้อย่างเสร็จสรรพ
จากคำบอกเล่าที่เจือไปด้วยข้อสังเกตมีว่า ท่าทางของกลุ่มผู้ไปเยือนทุกคนเหมือนมากมายไปด้วยความเชื่อมั่น ซึ่งไม่ต่างอะไรกับปฏิบัติการเมื่อครั้งเหตุปล้นปืนค่ายปิเหล็งใน จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547 อันเป็นเหตุการณ์ที่ถูกกำหนดให้เป็นยุคไฟใต้ปะทุขึ้นระลอกใหม่ หรือเหตุการณ์ 106 ศพกรือเซะ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2547 ที่ว่ากันว่ามีการนำผู้เข้าร่วมปฏิบัติการไปผ่านพิธีซุมเปาะห์มาก่อน ซึ่งสังเกตได้จากการเข้าโจมตีเป็นไปแบบฮึกเหิม แล้วเดินเรียงหน้ากระดานเข้าไปหาฐานปฏิบัติการณ์ทหารแบบไม่หวั่นไหว จนดูเหมือนจะคิดไปว่าไม่มีใครมองเห็นเรืองร่างของตนเองก็เป็นได้
ทั้งนี้ ปฏิบัติการในคืนข้างขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3 จึงเป็นที่ฉงนสนเทศของผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศ และไม่เพียงเท่านั้นยังเป็นที่กังขาสำหรับชาวต่างชาติที่สนใจติดตามข่าวสารบนแผ่นดินชายแดนใต้ด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนบทสรุปของปฏิบัติการจะเป็นที่พออกพอใจของผู้คน และในทางตรงกันข้ามก็มีกระแสเสียงระบุว่า เป็นไปตามประสงค์ของฝ่ายที่ต้องการให้เกิดความสูญเสียด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเป็นความประสงค์ของกลุ่มคนที่อยู่หลังฉากคอยชักใยให้เกิดไฟใต้ระลอกใหม่ขึ้นมา
ทำไมจึงเป็นเช่นกัน ณ วันนี้อาจจะยังไม่มีคำตอบที่แจ้งชัด แต่หากประมวนจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงข้อมูลข่าวสารในด้านความมั่นคง อย่างน้อยก็น่าจะทำให้เข้าใจได้ในระดับหนึ่ง
โดยเหตุผลที่ทำให้ฝ่ายทหารเตรียมตัวตั้งรับการโจมตีในครั้งนี้ไว้เป็นอย่างดีนั้น ประเด็นหนึ่งมีการเปิดเผยว่าเป็นผลจากภายหลังการวิสามัญ นายสุไฮดี ตะเห อายุ 31 ปี หนึ่งในคนร้ายที่ก่อเหตุบุกยิงครูชลธีเสียชีวิต เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดแผนผังและเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับการวางแผนบุกโจมตีฐานปฏิบัติการทหารได้ ทำให้สามารถวางแผนรับมือการแก้แค้นให้แก่นายสุไฮดีได้
แต่ในทางการข่าวก็มีการระบุด้วยว่า หนึ่งในลูกศิษย์ครูชลธีที่เป็นแนวร่วมได้กลับใจนำข่าวการวางแผนโจมตีไปบอกกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งสาเหตุที่ครูชลธีถูกยิงเสียชีวิตกลางโรงเรียนก็เพราะ พยายามดึงบรรดาศิษย์ที่หลงผิดทั้งไปติดยาเสพติดและร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน ให้หวนกลับมามีชีวิตปกติด้วยกีฬาหรือกิจกรรมต่างๆ การกระทำเช่นกันจึงเป็นเหมือนการย้อนศรระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับขบวนการนั่นเอง
ทว่านั่นยังไม่น่าสนใจเท่าในทางการข่าวของหน่วยข่าวกรองระบุว่า ช่วงก่อนตรุษจีนแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนระดับสั่งการ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงเรียนปอเนาะแห่งหนึ่ง ได้เรียกสมาชิกระดับแกนนำ RKK ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 12 คนประชุมที่บ้านสมาชิกคนหนึ่งย่านตลาดเก่า เขตเทศบาลนครยะลา และได้สั่งการให้ RKK ที่รับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ก่อเหตุรายวันอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นให้แต่งชุดคล้ายเจ้าหน้าที่รัฐออกปฏิบัติการเพื่อยึดอาวุธฝ่ายตรงข้ามสะสมไว้ทำการใหญ่หลังช่วงตรุษจีน โดยปลุกระดมให้เชื่อว่าจะสามารถตั้งรัฐปัตตานีได้สำเร็จภายในปี 2558
จากการข่าวนี้เองส่งผลให้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายควบคุมดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสถานที่ราชการ ย่านธุรกิจการค้า และที่สำคัญคือฐานปฏิบัติการหรือค่ายกองกำลังของฝ่ายรัฐต่างๆ จึงนำไปสู่การต้อนรับแขกผู้ไปเยือนแบบจัดหนักดังกล่าว
ต้องไม่ลืมว่ากว่า 9 ปี ของการโชนเปลวของไฟใต้ระลอกใหม่ มีเพียงไม่กี่ครั้งที่เจ้าหน้าที่รัฐสามารถเล่นงานกลับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้ชนิดถูกอกถูกใจคนจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วดูเหมือนจะเป็นรอง เป็นผู้ถูกลอบกัด หรือคือผู้ถูกกระทำเสียมากกว่า ดังนี้แล้วจึงเป็นเรื่องที่ต้องจับตากันใกล้ชิดต่อไปว่า นับแต่นี้ต่อไปจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นตามมา
แม้จะไม่เป็นที่เอิกเกริกเปิดเผย แต่เวลานี้เสียงเตือนจากฝ่ายความมั่นคงก็ก้องกังวานในกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเชื่อว่าคือกลุ่มที่จะตกเป็นเหยื่อของการโจมตีจากขบวนการผู้ก่อการร้ายบนแผนดินปลายด้ามขวานอย่างหนักต่อไปในภายหน้านี้ โดยเฉพาะเป้าหมายที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐที่ “อ่อนแอ” ไม่ว่าจะเป็นครู สาธารณสุข เกษตร รวมถึงข้าราชการและพนักงานในฟากฝ่ายพลเรือนต่างๆ เป็นต้น