ASTVผู้จัดการรายวัน- “เทือก” หอบเอกสารปัดโกงโรงพักฉาว โบ้ย“ชายจืด”เริ่มประมูล อ้างไม่รู้จักผู้บริหาร“พีซีซี” แต่อนุมัติตามข้อเสนอสตช. เชื่อ 3 ผบ.ตร.ไม่คิดโกง โยน “เพรียวพันธุ์” ต้องรับผิดชอบ ห้อง“ธาริต”หมิ่น "เหลิม" เย้ยคนทำผิด ใครจะมายอมรับ 'ชูวิทย์' โผล่แฉ 'จูดี้'เอี่ยวทีโออาร์ ด้านผู้รับเหมาช่วง บุกร้องถูกพีซีซีโกง
วานนี้ (7 ก.พ.56) เวลา 10.30 น. ที่รัฐสภา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี แถลงพร้อมนำเอกสารมาชี้แจงถึงกรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เตรียมเรียกเข้าชี้แจงในคดีฮั้วการประมูลโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ และอาคารที่พัก
ซึ่งนายสุเทพ ชี้แจงว่า ขอปฏิเสธข้อกล่าวหาที่นายธาริต พรรคเพื่อไทย และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่าตนทุจริตออกคำสั่งให้มีการประมูลจัดจ้างในลักษณะเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายเดียว และกีดกันเอกชนรายอื่น อาจเข้าข่ายความผิดฮั้วประมูล
"ตนออกมาชี้แจงล่าช้า เพราะต้องใช้เวลารวบรวมเอกสารหลักฐาน และตนขอชี้แจงว่า โครงการนี้เริ่มมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน โดยครม.ขณะนั้นมีมติ เมื่อวันที่ 6 พ.ย.2550 อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ มีการกำหนดหลักการให้สตช. และบริษัท ธนาลักษณ์ พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ร่วมกันดำเนินการก่อสร้าง แต่เมื่อสตช.ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณา แล้วเห็นว่าหากดำเนินการตามมติดังกล่าว จะทำให้ค่าใช้จ่ายโครงการสูงถึง 17,679 ล้านบาท สตช.จึงเสนอให้ครม.พิจารณาใหม่ว่า ขอใช้วิธีตั้งงบประมาณประจำปีปกติ ซึ่งจะก่อสร้างได้ในวงเงิน 6,672 ล้านบาท ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ ตน ในฐานะที่ดูแลสตช. จึงอนุมัติและเสนอให้ครม.พิจารณาอนุมัติ ในวันที่ 17 ก.พ.2552 จากนั้นสตช.ที่มีพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นผบ.ตร. ได้ทำหนังสือถึงตนเสนอแนวทางจัดจ้างโครงการดังกล่าว โดยขอให้ส่วนกลางโดยสตช. จัดจ้างแบบรวมรายการครั้งเดียว และแยกเสนอรายการเป็นรายภาค 1-9 และให้กองพลาธิการ และสรรพาวุธ เป็นผู้ดำเนินการ และตนได้ให้ความเห็นชอบ ในวันที่ 9 มิ.ย.2552 หลังจากนั้น จึงเป็นเรื่องที่สตช.ไปดำเนินการประกวดราคา"นายสุเทพ กล่าว
นายสุเทพ กล่าวอีกว่า แต่ปรากฏว่ามีการเปลี่ยนแปลงในสตช. คือมีพระราชกฤษฎีกายกเลิกกองพลาธิการและสรรพาวุธ และจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมกำลังบำรุง และมีส่วนราชการ 4กองบังคับการ ทำให้กองพลาธิการ ต้องส่งงานต่อให้กองโยธาธิการรับผิดชอบ จากนั้นเมื่อพล.ต.อ.ประทีป ตันประเสริฐ มารักษาราชการแทน หลังจากที่พล.ต.อ.พัชรวาทพ้นตำแหน่งไป พล.ต.อ.ประทีป ก็ได้ทำหนังสือมาถึงตน ลงวันที่ 18 พ.ย.52 เรื่องขออนุมัติหลักการโครงการจัดจ้างโครงการดังกล่าว ด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ เพราะจากมติครม.เดิมให้ประมูลในลักษณะรวม โดยผูกพันงบประมาณ 3 ปี คือปี 52-54 วงเงิน 6,298 ล้านบาท จึงมีความจำเป็นต้องมีการประกวดราคาจัดจ้างด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ในครั้งเดียว โดยให้เหตุผลว่า สตช.พิจารณาแล้วว่าเป็นวิธีเปิดกว้างให้ภาคเอกชนทุกรายประกวดราคาแข่งขันกันได้อย่างเป็นธรรม และจะได้ผู้ประกอบการที่มีความพร้อม และมีความมั่นคงทางการเงิน อีกทั้งจะได้ราคาต่ำกว่าเงินงบประมาณที่กำหนด และเชื่อว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ในระยะเวลาที่กำหนด และสตช. ยืนยันว่าถ้าทำวิธีนี้ จะสามารถบริหารจัดการสัญญากับผู้ประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะไม่เกิดปัญหาในอนาคต และจะเป็นไปตามพ.ร.บ.การเสนอราคา ปี 2542 แต่ต้องเสนอยกเลิกการอนุมัติเดิม เมื่อวันที่ 29 พ.ค.52 และต้องอนุมัติใหม่ให้มีการประมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ และตนได้ลงนามอนุมัติตามที่เสนอ ในวันที่ 20พ.ย. 52 และกำชับว่าห้ามรื้อทุบทิ้งอาคารเดิม เพื่อเก็บไว้ใช้ประโยชน์ต่อไป
**เห็นชอบสตช.โบ้ย "อ๊อบ" รับผิดชอบ
“ผมขอชี้แจงว่า ผมเป็นเพียงผู้มีหน้าที่ให้ความเห็นชอบในแง่นโยบาย ไม่มีหน้าที่ลงลึกไปในวิธีปฏิบัติ จึงต้องยึดความเห็นของสตช. ในฐานะผู้ปฏิบัติเป็นสำคัญ และเมื่อมีการอนุมัติไปก็เป็นหน้าที่ของสตช. ไปบริหารจัดการ ที่ผมพูดไม่ได้โยนผิดให้ 3อดีตผบ.ตร. เพราะเชื่อถือทุกคนว่าไม่มีการฮั้วเกิดขึ้น แต่หลังจากมีการลงนามไปแล้ว 4 เดือน นายอภิสิทธิ์ก็ประกาศยุบสภาฯ จากนั้นก็เป็นรัฐบาลใหม่ ที่มีหน้าที่ต้องเข้ามาบริหารจัดการสัญญา โดยพล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ขณะนั้นต้องติดตามกำกับดูแลให้เป็นไปตามสัญญา ผมขอยืนยันว่าไม่เคยรู้จักบริษัทพีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของ และไม่เคยติดต่อทั้งทางตรง และทางอ้อม”นายสุเทพ กล่าว
นายสุเทพ กล่าวอีกว่า ตนดำเนินการตามข้อเสนอของสตช. ที่ยืนยันว่าเป็นการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ไม่มีเจตนาให้ใครมาผูกขาด จึงอยากขอความเป็นธรรมจากประชาชนด้วย และขออภัยตำรวจ หากความปรารถนาดีของตนที่ต้องการให้ทุกคนมีที่อยู่อาศัยใหม่ ทำให้ตำรวจเกิดความเดือดร้อน ทั้งนี้ตนจะไม่ยอมรับการใส่ร้ายป้ายสีว่าทำทุจริต และตนไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้รับเหมา และไม่ได้คบคิดกับอดีตผบ.ตร.คนใดในการทุจริต จึงพร้อมที่จะสู้คดีกับนายธาริต โดยตนมีเอกสารที่ยืนยันอย่างละเอียดเกี่ยวกับการประมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมเทปบันทึกคำให้สัมภาษณ์ของนายธาริต โดยต้องการให้คดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยเร็ว ตนพร้อมเดิมพันด้วยชีวิต และจะรอดูว่านายธาริต จะทำอย่างไรต่อไป ทั้งนี้เจ้าหน้าที่รัฐต้องปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมาไม่ทำตัวเป็นสมุนรับใช้การเมือง
เมื่อถามว่า นายธาริตบอกว่ามีเอกสาร การร้องเรียนของบริษัทพีซีซีฯ ที่ส่งถึงนายอภิสิทธิ์และตนในการไม่เห็นด้วยกับการรวมประมูลที่ส่วนกลาง และจะเป็นหลักฐานสำคัญในการดึงตนและนายอภิสิทธิ์ มาเป็นจำเลยในคดีนี้ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่เคยเห็นเอกสารดังกล่าว แต่จะเห็นได้ว่า เป็นการกระทำที่ชัดเจนว่า พยายามดึงนายอภิสิทธิ์มาเป็นผู้ถูกกล่าวหาร่วม เป็นการแสดงเจตนาชัดเจนว่าทำเพื่อประโยชน์การเมือง เพราะเห็นได้ชัดว่า นายอภิสิทธิ์ไม่ได้มีส่วนร่วมในกรณีนี้เลย
** ฟ้องหมิ่น ศาลรับไต่สวน 20 พ.ค.
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายสุเทพ มอบอำนาจให้ นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความ เป็นโจทก์ฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ.เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตาม ประมวลกฎหมายอาญา อาญา มาตรา 326,328
ซึ่งเป็นความเท็จหมิ่นประมาทโจทก์ ทำให้เข้าใจว่า โจทก์ดำเนินการเปลี่ยนแปลงวิธีการก่อสร้าง การประมูลรวมไว้ที่ส่วนกลาง ทำให้คนเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี เจตนาทุจริต ในการบริหารราชการแผ่นดิน เหตุเกิดที่เขต หลักสี่ กทม.และที่อื่นๆ ทั่วราชอาญาจักร ทั้งนี้ศาลได้รับคำฟ้องไว้เพื่อไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ ในวันที่ 20 พ.ค.2556 เวลา 09.00น. ต่อไป
ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ตนไม่รู้สึกเป็นกังวล แต่มีส่วนดีใจที่นายสุเทพฟ้องเฉพาะตนเพียงคนเดียว ไม่ฟ้องพนักงานสอบสวนที่ร่วมทำคดี หลังจากนี้จะทำงานต่อไปตามพยานหลักฐาน ส่วนการชี้แจงรายละเอียดอย่างต่อเนื่องก็เป็นไปตามพยานเอกสารมีที่มาที่ไปชัดเจน ไม่ใช่รายละเอียดจากคำให้การของพยานบุคคล พร้อมยืนยันว่าไม่มีเจตนาใส่ร้าย
ส่วนตัวมองว่า การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเป็นสิ่งจำเป็นเพราะคดีดังกล่าวประชาชนให้ความสนใจ การตอบคำถามสื่อมวลชนจึงถือเป็นหน้าที่หนึ่ง คดีดังกล่าวขอยืนยันว่าเป็นไปตามพยานหลักฐาน สอบสวนคดีสำคัญโดยเฉพาะอาชญากรรมทางเศรษฐกิจผู้เกี่ยวข้องเป็นผู้มีอิทธิพล คนทำคดีย่อมถูกฟ้องเป็นเรื่องธรรมดา
**มาร์คเตือน“ธาริต”อย่าอยู่เหนือกม.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนพร้อมไปชี้แจง แต่ขอให้กำหนดประเด็นให้ชัดเจน หากดูจากรูปคดีแล้วก็ไม่น่าจะมีการฮั้วการประมูล แต่วันนี้นายธาริต กลับบอกว่าตนต้องรู้เรื่องนี้ เพราะมีคนเคยทำหนังสือร้องเรียน แต่ที่ผ่านมา ตนยังไม่เคยเห็นหนังสือดังกล่าว จึงขอไปดูก่อน เพราะมีหนังสือถึงตนจำนวนมาก และตนก็สั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบไปพิจารณาข้อร้องเรียน
“การทำเรื่องดังกล่าว ขอฟันธงเลยว่าหวังผลทางการเมือง แต่การแจ้งข้อหาผมกับนายสุเทพ หากแจ้งในฐานะอดีตนายกฯ และอดีตรองนายกฯ จะถือเป็นหน้าที่ของป.ป.ช.ในการสอบ ฉะนั้นผมว่าดีเอสไอก็ต้องระวัง เพราะถ้าผิดกฎหมายซ้ำ ก็ต้องถูกฟ้องซ้ำ จบรองได้ว่าผมและนายสุเทพไม่หนีไปไหน แต่คนทำผิดกฎหมายอย่าหนีก็แล้วกัน”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
**“ชูวิทย์” หยิบเอกสารแฉ “จูดี้" พัวพัน
ที่รัฐสภา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครักประเทศไทย แถลงว่า ตนได้เปิดประเด็นการก่อสร้างสถานีตำรวจมาอภิปราย แต่วันนี้ได้กลายเป็นเรื่องการเมืองที่ถูกนำมาทำร้ายอีกฝ่าย ซึ่งการที่ระบุว่าบริษัทรับเหมาทำผิดสัญญาเหตุใด เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555 คณะรัฐมนตรี(ครม.)จึงมีมติขยายสัญญาดังกล่าวออกไปอีก เป็น 60 วัน จากเดิมวันที่ 13 มกราคม 2556 จะครบกำหนดก่อสร้างเสร็จ แต่ขยายระยะเวลาก่อสร้างเสร็จเป็นวันที่ 14 มีนาคน 2556 เป็นที่น่าสังเกตว่าการขยายเวลาเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงค่าปรับวันละ 5.8 ล้านบาท หาก 60 วันก็ไปคำนวณดูว่ามีค่าปรับเท่าไร โดยมี พล.ต.ท.สุพร พันธ์เสือ ผบ.สำนักส่งกำลังบำรุง ที่ได้รับมอบหมายจาก ผบ.ตร. ต่อสัญญา
“ผมไม่เชื่อว่าบริษัทที่เข้ามาประมูลก่อสร้างไม่รู้จักใคร ไม่รู้จักนักการเมือง จะเดินดื้อๆเข้ามาประมูลไม่ได้ ตั้งแต่เป็นนักการเมืองเห็นค่าคอมมิชชั่น และเปอร์เซ็นเต็มไปหมดในสภา ทั้งนี้ หากผมเป็น ร.ต.อ.เฉลิม เมื่อเห็นเรื่องนี้ต้องบอกว่าสัญญาดังกล่าวใช้ไม่ได้ รัฐบาลนี้บริหารมาตั้งแต่ สิงหาคม 2554 มาถึง มกราคม 2556 เพิ่งทราบเรื่องนี้หรือ และยังขยายสัญญาให้เขาอีก นอกจากนี้ ผมอยากให้นายธาริต เชิญผมและ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)ไปร่วมให้ข้อมูลด้วยภาพถึงจะสวย ไม่ใช่แค่ดำเนินการนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ อย่างเดียวดูแล้วไม่เป็นธรรม” นายชูวิทย์ ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการแถลงข่าว นายชูวิทย์ ได้นำเอกสาร ทีโออาร์ ที่มีชื่อ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นประธานกรรมการจัดทำขอบเขตงานก่อสร้างและเห็นชอบการประกวดราคาการก่อสร้างอาคารสถานีตำรวจ (ทดแทน) 396 แห่งทั่วประเทศ
**เหลิม”ป้อง “สมชาย”ไม่เกี่ยวทุจริต
ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนไม่อยากพูด เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นการชี้นำ แต่สิ่งที่นายธาริต ออกมาพูดเป็นของจริงหมด ส่วนที่นายสุเทพ ออกมาแถลงนั้นตนไม่ทราบ ไม่ได้ฟัง และไม่คิดจะฟัง เพราะมีเอกสารชัด คำพูดจะมาหักล้างเอกสารไม่ได้หรอก
เรื่องนี้มีการร้องมาตั้งแต่สมัยนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ และที่สำคัญงบประมาณที่ใช้ในโครงการนี้ เป็นงบประมาณที่มาจากโครงการไทยเข้มแข็ง แล้วจะไปเกี่ยวอะไรกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งคนที่เซ็นโครงการนี้คือพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผบ.ตร.ในขณะนั้น และบริษัทพีซีซี นี้ก็ไม่ใช่ของพ่อตานักการเมือง เพียงแต่ไปตั้งบริษัทที่อาคารที่พักนักการเมือง ซึ่งตนไปเชียงใหม่ก็ไปดูมากับตา คนทำผิดใครจะมายอมรับ แต่สำหรับตนไม่กล้าบอกว่าใครผิด หรือถูก เดี๋ยวจะหาว่ากลั่นแกล้ง อย่างไรก็ตามวันนี้เจ้าหน้าที่ออกตรวจเส้นทางการเงินแล้วว่าไปอยู่ที่ใดบ้าง
**วรพงษ์ เล็งสั่งหาผู้รับเหมารายใหม่
พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในฐานะดูแลการแก้ไขเรื่องนี้ ซึ่งแนวทางเบื้องต้น จะยกเลิกสัญญาว่าจ้าง บริษัท พีซีซี แน่นอนแล้ว โดยจะใช้แนวทางกระจายหาผู้รับเหมาในพื้นที่ที่โรงพักตั้งอยู่แทน ไม่ผูกขาดอยู่บริษัทเดียวอีกแล้ว ซึ่งทาง สตช. ไม่รอที่จะหมดสัญญาในเดือน มี.ค.นี้ แต่จะเปิดหาผู้รับเหมาในพื้นที่คำนวณค่าใช้จ่ายก่อสร้างต่อเนื่องจากของเดิมทันที เพื่อให้ก่อสร้างแล้วเสร็จโดยเร็ว
**ผู้รับเหมาช่วงร้องถูกพีซีซีโกง
นายกรภัทร์ ไพบูลย์สิริกุล วิศวกรผู้ควบคุมการก่อสร้างของบริษัทเอส.แอล.ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทรับเหมาช่วง เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ บริษัท พีซีซี ฐานฉ้อโกง สืบเนื่องจากมีการจ่ายค่างวดงานไม่ครบตามสัญญาจ้าง
วานนี้ (7 ก.พ.56) เวลา 10.30 น. ที่รัฐสภา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี แถลงพร้อมนำเอกสารมาชี้แจงถึงกรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เตรียมเรียกเข้าชี้แจงในคดีฮั้วการประมูลโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ และอาคารที่พัก
ซึ่งนายสุเทพ ชี้แจงว่า ขอปฏิเสธข้อกล่าวหาที่นายธาริต พรรคเพื่อไทย และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่าตนทุจริตออกคำสั่งให้มีการประมูลจัดจ้างในลักษณะเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายเดียว และกีดกันเอกชนรายอื่น อาจเข้าข่ายความผิดฮั้วประมูล
"ตนออกมาชี้แจงล่าช้า เพราะต้องใช้เวลารวบรวมเอกสารหลักฐาน และตนขอชี้แจงว่า โครงการนี้เริ่มมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน โดยครม.ขณะนั้นมีมติ เมื่อวันที่ 6 พ.ย.2550 อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ มีการกำหนดหลักการให้สตช. และบริษัท ธนาลักษณ์ พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ร่วมกันดำเนินการก่อสร้าง แต่เมื่อสตช.ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณา แล้วเห็นว่าหากดำเนินการตามมติดังกล่าว จะทำให้ค่าใช้จ่ายโครงการสูงถึง 17,679 ล้านบาท สตช.จึงเสนอให้ครม.พิจารณาใหม่ว่า ขอใช้วิธีตั้งงบประมาณประจำปีปกติ ซึ่งจะก่อสร้างได้ในวงเงิน 6,672 ล้านบาท ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ ตน ในฐานะที่ดูแลสตช. จึงอนุมัติและเสนอให้ครม.พิจารณาอนุมัติ ในวันที่ 17 ก.พ.2552 จากนั้นสตช.ที่มีพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นผบ.ตร. ได้ทำหนังสือถึงตนเสนอแนวทางจัดจ้างโครงการดังกล่าว โดยขอให้ส่วนกลางโดยสตช. จัดจ้างแบบรวมรายการครั้งเดียว และแยกเสนอรายการเป็นรายภาค 1-9 และให้กองพลาธิการ และสรรพาวุธ เป็นผู้ดำเนินการ และตนได้ให้ความเห็นชอบ ในวันที่ 9 มิ.ย.2552 หลังจากนั้น จึงเป็นเรื่องที่สตช.ไปดำเนินการประกวดราคา"นายสุเทพ กล่าว
นายสุเทพ กล่าวอีกว่า แต่ปรากฏว่ามีการเปลี่ยนแปลงในสตช. คือมีพระราชกฤษฎีกายกเลิกกองพลาธิการและสรรพาวุธ และจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมกำลังบำรุง และมีส่วนราชการ 4กองบังคับการ ทำให้กองพลาธิการ ต้องส่งงานต่อให้กองโยธาธิการรับผิดชอบ จากนั้นเมื่อพล.ต.อ.ประทีป ตันประเสริฐ มารักษาราชการแทน หลังจากที่พล.ต.อ.พัชรวาทพ้นตำแหน่งไป พล.ต.อ.ประทีป ก็ได้ทำหนังสือมาถึงตน ลงวันที่ 18 พ.ย.52 เรื่องขออนุมัติหลักการโครงการจัดจ้างโครงการดังกล่าว ด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ เพราะจากมติครม.เดิมให้ประมูลในลักษณะรวม โดยผูกพันงบประมาณ 3 ปี คือปี 52-54 วงเงิน 6,298 ล้านบาท จึงมีความจำเป็นต้องมีการประกวดราคาจัดจ้างด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ในครั้งเดียว โดยให้เหตุผลว่า สตช.พิจารณาแล้วว่าเป็นวิธีเปิดกว้างให้ภาคเอกชนทุกรายประกวดราคาแข่งขันกันได้อย่างเป็นธรรม และจะได้ผู้ประกอบการที่มีความพร้อม และมีความมั่นคงทางการเงิน อีกทั้งจะได้ราคาต่ำกว่าเงินงบประมาณที่กำหนด และเชื่อว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ในระยะเวลาที่กำหนด และสตช. ยืนยันว่าถ้าทำวิธีนี้ จะสามารถบริหารจัดการสัญญากับผู้ประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะไม่เกิดปัญหาในอนาคต และจะเป็นไปตามพ.ร.บ.การเสนอราคา ปี 2542 แต่ต้องเสนอยกเลิกการอนุมัติเดิม เมื่อวันที่ 29 พ.ค.52 และต้องอนุมัติใหม่ให้มีการประมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ และตนได้ลงนามอนุมัติตามที่เสนอ ในวันที่ 20พ.ย. 52 และกำชับว่าห้ามรื้อทุบทิ้งอาคารเดิม เพื่อเก็บไว้ใช้ประโยชน์ต่อไป
**เห็นชอบสตช.โบ้ย "อ๊อบ" รับผิดชอบ
“ผมขอชี้แจงว่า ผมเป็นเพียงผู้มีหน้าที่ให้ความเห็นชอบในแง่นโยบาย ไม่มีหน้าที่ลงลึกไปในวิธีปฏิบัติ จึงต้องยึดความเห็นของสตช. ในฐานะผู้ปฏิบัติเป็นสำคัญ และเมื่อมีการอนุมัติไปก็เป็นหน้าที่ของสตช. ไปบริหารจัดการ ที่ผมพูดไม่ได้โยนผิดให้ 3อดีตผบ.ตร. เพราะเชื่อถือทุกคนว่าไม่มีการฮั้วเกิดขึ้น แต่หลังจากมีการลงนามไปแล้ว 4 เดือน นายอภิสิทธิ์ก็ประกาศยุบสภาฯ จากนั้นก็เป็นรัฐบาลใหม่ ที่มีหน้าที่ต้องเข้ามาบริหารจัดการสัญญา โดยพล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ขณะนั้นต้องติดตามกำกับดูแลให้เป็นไปตามสัญญา ผมขอยืนยันว่าไม่เคยรู้จักบริษัทพีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของ และไม่เคยติดต่อทั้งทางตรง และทางอ้อม”นายสุเทพ กล่าว
นายสุเทพ กล่าวอีกว่า ตนดำเนินการตามข้อเสนอของสตช. ที่ยืนยันว่าเป็นการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ไม่มีเจตนาให้ใครมาผูกขาด จึงอยากขอความเป็นธรรมจากประชาชนด้วย และขออภัยตำรวจ หากความปรารถนาดีของตนที่ต้องการให้ทุกคนมีที่อยู่อาศัยใหม่ ทำให้ตำรวจเกิดความเดือดร้อน ทั้งนี้ตนจะไม่ยอมรับการใส่ร้ายป้ายสีว่าทำทุจริต และตนไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้รับเหมา และไม่ได้คบคิดกับอดีตผบ.ตร.คนใดในการทุจริต จึงพร้อมที่จะสู้คดีกับนายธาริต โดยตนมีเอกสารที่ยืนยันอย่างละเอียดเกี่ยวกับการประมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมเทปบันทึกคำให้สัมภาษณ์ของนายธาริต โดยต้องการให้คดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยเร็ว ตนพร้อมเดิมพันด้วยชีวิต และจะรอดูว่านายธาริต จะทำอย่างไรต่อไป ทั้งนี้เจ้าหน้าที่รัฐต้องปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมาไม่ทำตัวเป็นสมุนรับใช้การเมือง
เมื่อถามว่า นายธาริตบอกว่ามีเอกสาร การร้องเรียนของบริษัทพีซีซีฯ ที่ส่งถึงนายอภิสิทธิ์และตนในการไม่เห็นด้วยกับการรวมประมูลที่ส่วนกลาง และจะเป็นหลักฐานสำคัญในการดึงตนและนายอภิสิทธิ์ มาเป็นจำเลยในคดีนี้ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่เคยเห็นเอกสารดังกล่าว แต่จะเห็นได้ว่า เป็นการกระทำที่ชัดเจนว่า พยายามดึงนายอภิสิทธิ์มาเป็นผู้ถูกกล่าวหาร่วม เป็นการแสดงเจตนาชัดเจนว่าทำเพื่อประโยชน์การเมือง เพราะเห็นได้ชัดว่า นายอภิสิทธิ์ไม่ได้มีส่วนร่วมในกรณีนี้เลย
** ฟ้องหมิ่น ศาลรับไต่สวน 20 พ.ค.
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายสุเทพ มอบอำนาจให้ นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความ เป็นโจทก์ฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ.เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตาม ประมวลกฎหมายอาญา อาญา มาตรา 326,328
ซึ่งเป็นความเท็จหมิ่นประมาทโจทก์ ทำให้เข้าใจว่า โจทก์ดำเนินการเปลี่ยนแปลงวิธีการก่อสร้าง การประมูลรวมไว้ที่ส่วนกลาง ทำให้คนเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี เจตนาทุจริต ในการบริหารราชการแผ่นดิน เหตุเกิดที่เขต หลักสี่ กทม.และที่อื่นๆ ทั่วราชอาญาจักร ทั้งนี้ศาลได้รับคำฟ้องไว้เพื่อไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ ในวันที่ 20 พ.ค.2556 เวลา 09.00น. ต่อไป
ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ตนไม่รู้สึกเป็นกังวล แต่มีส่วนดีใจที่นายสุเทพฟ้องเฉพาะตนเพียงคนเดียว ไม่ฟ้องพนักงานสอบสวนที่ร่วมทำคดี หลังจากนี้จะทำงานต่อไปตามพยานหลักฐาน ส่วนการชี้แจงรายละเอียดอย่างต่อเนื่องก็เป็นไปตามพยานเอกสารมีที่มาที่ไปชัดเจน ไม่ใช่รายละเอียดจากคำให้การของพยานบุคคล พร้อมยืนยันว่าไม่มีเจตนาใส่ร้าย
ส่วนตัวมองว่า การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเป็นสิ่งจำเป็นเพราะคดีดังกล่าวประชาชนให้ความสนใจ การตอบคำถามสื่อมวลชนจึงถือเป็นหน้าที่หนึ่ง คดีดังกล่าวขอยืนยันว่าเป็นไปตามพยานหลักฐาน สอบสวนคดีสำคัญโดยเฉพาะอาชญากรรมทางเศรษฐกิจผู้เกี่ยวข้องเป็นผู้มีอิทธิพล คนทำคดีย่อมถูกฟ้องเป็นเรื่องธรรมดา
**มาร์คเตือน“ธาริต”อย่าอยู่เหนือกม.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนพร้อมไปชี้แจง แต่ขอให้กำหนดประเด็นให้ชัดเจน หากดูจากรูปคดีแล้วก็ไม่น่าจะมีการฮั้วการประมูล แต่วันนี้นายธาริต กลับบอกว่าตนต้องรู้เรื่องนี้ เพราะมีคนเคยทำหนังสือร้องเรียน แต่ที่ผ่านมา ตนยังไม่เคยเห็นหนังสือดังกล่าว จึงขอไปดูก่อน เพราะมีหนังสือถึงตนจำนวนมาก และตนก็สั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบไปพิจารณาข้อร้องเรียน
“การทำเรื่องดังกล่าว ขอฟันธงเลยว่าหวังผลทางการเมือง แต่การแจ้งข้อหาผมกับนายสุเทพ หากแจ้งในฐานะอดีตนายกฯ และอดีตรองนายกฯ จะถือเป็นหน้าที่ของป.ป.ช.ในการสอบ ฉะนั้นผมว่าดีเอสไอก็ต้องระวัง เพราะถ้าผิดกฎหมายซ้ำ ก็ต้องถูกฟ้องซ้ำ จบรองได้ว่าผมและนายสุเทพไม่หนีไปไหน แต่คนทำผิดกฎหมายอย่าหนีก็แล้วกัน”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
**“ชูวิทย์” หยิบเอกสารแฉ “จูดี้" พัวพัน
ที่รัฐสภา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครักประเทศไทย แถลงว่า ตนได้เปิดประเด็นการก่อสร้างสถานีตำรวจมาอภิปราย แต่วันนี้ได้กลายเป็นเรื่องการเมืองที่ถูกนำมาทำร้ายอีกฝ่าย ซึ่งการที่ระบุว่าบริษัทรับเหมาทำผิดสัญญาเหตุใด เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555 คณะรัฐมนตรี(ครม.)จึงมีมติขยายสัญญาดังกล่าวออกไปอีก เป็น 60 วัน จากเดิมวันที่ 13 มกราคม 2556 จะครบกำหนดก่อสร้างเสร็จ แต่ขยายระยะเวลาก่อสร้างเสร็จเป็นวันที่ 14 มีนาคน 2556 เป็นที่น่าสังเกตว่าการขยายเวลาเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงค่าปรับวันละ 5.8 ล้านบาท หาก 60 วันก็ไปคำนวณดูว่ามีค่าปรับเท่าไร โดยมี พล.ต.ท.สุพร พันธ์เสือ ผบ.สำนักส่งกำลังบำรุง ที่ได้รับมอบหมายจาก ผบ.ตร. ต่อสัญญา
“ผมไม่เชื่อว่าบริษัทที่เข้ามาประมูลก่อสร้างไม่รู้จักใคร ไม่รู้จักนักการเมือง จะเดินดื้อๆเข้ามาประมูลไม่ได้ ตั้งแต่เป็นนักการเมืองเห็นค่าคอมมิชชั่น และเปอร์เซ็นเต็มไปหมดในสภา ทั้งนี้ หากผมเป็น ร.ต.อ.เฉลิม เมื่อเห็นเรื่องนี้ต้องบอกว่าสัญญาดังกล่าวใช้ไม่ได้ รัฐบาลนี้บริหารมาตั้งแต่ สิงหาคม 2554 มาถึง มกราคม 2556 เพิ่งทราบเรื่องนี้หรือ และยังขยายสัญญาให้เขาอีก นอกจากนี้ ผมอยากให้นายธาริต เชิญผมและ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)ไปร่วมให้ข้อมูลด้วยภาพถึงจะสวย ไม่ใช่แค่ดำเนินการนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ อย่างเดียวดูแล้วไม่เป็นธรรม” นายชูวิทย์ ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการแถลงข่าว นายชูวิทย์ ได้นำเอกสาร ทีโออาร์ ที่มีชื่อ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นประธานกรรมการจัดทำขอบเขตงานก่อสร้างและเห็นชอบการประกวดราคาการก่อสร้างอาคารสถานีตำรวจ (ทดแทน) 396 แห่งทั่วประเทศ
**เหลิม”ป้อง “สมชาย”ไม่เกี่ยวทุจริต
ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนไม่อยากพูด เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นการชี้นำ แต่สิ่งที่นายธาริต ออกมาพูดเป็นของจริงหมด ส่วนที่นายสุเทพ ออกมาแถลงนั้นตนไม่ทราบ ไม่ได้ฟัง และไม่คิดจะฟัง เพราะมีเอกสารชัด คำพูดจะมาหักล้างเอกสารไม่ได้หรอก
เรื่องนี้มีการร้องมาตั้งแต่สมัยนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ และที่สำคัญงบประมาณที่ใช้ในโครงการนี้ เป็นงบประมาณที่มาจากโครงการไทยเข้มแข็ง แล้วจะไปเกี่ยวอะไรกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งคนที่เซ็นโครงการนี้คือพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผบ.ตร.ในขณะนั้น และบริษัทพีซีซี นี้ก็ไม่ใช่ของพ่อตานักการเมือง เพียงแต่ไปตั้งบริษัทที่อาคารที่พักนักการเมือง ซึ่งตนไปเชียงใหม่ก็ไปดูมากับตา คนทำผิดใครจะมายอมรับ แต่สำหรับตนไม่กล้าบอกว่าใครผิด หรือถูก เดี๋ยวจะหาว่ากลั่นแกล้ง อย่างไรก็ตามวันนี้เจ้าหน้าที่ออกตรวจเส้นทางการเงินแล้วว่าไปอยู่ที่ใดบ้าง
**วรพงษ์ เล็งสั่งหาผู้รับเหมารายใหม่
พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในฐานะดูแลการแก้ไขเรื่องนี้ ซึ่งแนวทางเบื้องต้น จะยกเลิกสัญญาว่าจ้าง บริษัท พีซีซี แน่นอนแล้ว โดยจะใช้แนวทางกระจายหาผู้รับเหมาในพื้นที่ที่โรงพักตั้งอยู่แทน ไม่ผูกขาดอยู่บริษัทเดียวอีกแล้ว ซึ่งทาง สตช. ไม่รอที่จะหมดสัญญาในเดือน มี.ค.นี้ แต่จะเปิดหาผู้รับเหมาในพื้นที่คำนวณค่าใช้จ่ายก่อสร้างต่อเนื่องจากของเดิมทันที เพื่อให้ก่อสร้างแล้วเสร็จโดยเร็ว
**ผู้รับเหมาช่วงร้องถูกพีซีซีโกง
นายกรภัทร์ ไพบูลย์สิริกุล วิศวกรผู้ควบคุมการก่อสร้างของบริษัทเอส.แอล.ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทรับเหมาช่วง เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ บริษัท พีซีซี ฐานฉ้อโกง สืบเนื่องจากมีการจ่ายค่างวดงานไม่ครบตามสัญญาจ้าง