** แน่นอนแล้วว่า ทักษิณ ชินวัตร กำลังเปลี่ยนวิธีเล่นเกมใหม่ ปรับกระบวนการใหม่ใช้วิธีอำพรางให้แนบเนียนมากขึ้น อีกทั้งเพื่อประกันความเสี่ยงให้มากกว่าเดิมสำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้
วิธีการที่ว่านี้ก็คือการให้ทำประชามติก่อนที่จะแก้ไข ซึ่ง นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ย้ำชัดเจนแล้ว แต่นาทีนี้ยังไม่มีการเปิดเผยว่าจะให้ลงประชามติแบบไหน จะแก้ไขทั้งฉบับหรือรายมาตรา อย่างไรก็ดีถ้าให้เดาทางก็คือแก้ไขทั้งฉบับ แต่เพื่อป้องกันพังเสียตั้งแต่เริ่มต้นก็จะไม่กล้าแตะหมวดสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เหลือนอกนั้น เชื่อว่าต้องจัดการกวาดเรียบ เพราะเป้าหมายเดิมไม่เคยเปลี่ยน และไม่มีทางจะเปลี่ยน หากตราบใดยังไม่ลบล้างความผิดให้กับ ทักษิณ ชินวัตร และเขาไม่ได้กลับมามีอำนาจอย่างเปิดเผย
แต่ขณะเดียวกันการเปิดทางให้มีการลงประชามติก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นหากมองอีกด้านหนึ่งนี่คือการ “ถอยแบบเอาแต่ได้” กินรวบทุกทางไม่ว่าจะออกมาในมุมไหนก็ตาม
แน่นอนว่าการไฟเขียวให้ลงประชามติดังกล่าวถือว่าเป็นการเปลี่ยนท่าทีไปจากเดิมแบบตรงกันข้าม จากที่เคย “ห้าว” สั่งเดินหน้าใช้สภาเสียงข้างมาก “หัก” เอาเลย ทุกอย่างทำแบบรวบรัด ต้องการฉีกฉบับเก่าทิ้งแล้วร่างใหม่ตามใจชอบ แต่เมื่อเจอแรงต้านรอบทิศ อีกทั้งเมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้ให้แนวทางไว้เป็นบรรทัดฐานว่าต้องทำประชามติก่อนแก้ไข และหากแก้ไขก็ต้องแก้ไขแบบรายมาตรา หรือจะแก้ไข มาตรา 291 เพื่อเปิดทางให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ ความหมายก็ไม่ต่างจากใช้ “ลูกไปฆ่าแม่” นั่นแหละ
จะเดินหน้าแบบเดิมมันก็เสี่ยงทุกรูปแบบ ทั้งแรงต้านที่นับวันยิ่งรุนแรง เพราะชาวบ้านรู้ทันว่าแบบไม่ซับซ้อนว่า “แก้ไขเพื่อประโยชน์ ทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัว รวมไปถึงนักการเมืองขี้ฉ้อทั้งหลายเท่านั้น ขณะที่ชาวบ้านไม่ได้ประโยชน์อะไร
**ด้วยสาเหตุแบบนี้แหละ เมื่อเคยเดินหน้าลุยถั่วแบบทื่อๆชาวบ้านเขารู้ทันจึงต้องถอยกลับมาตั้งหลักใหม่
แน่นอนว่านาทีนี้ยังไม่มีการเปิดเผยออกมาให้ชัดว่าจะให้ลงประชามติแบบไหน จะถามแบบให้แก้ไขหรือไม่แก้ไข หรือให้แก้ทั้งฉบับหรือรายมาตรา แต่ถ้าให้เดารับรองว่าจะถามว่า ให้แก้ไขหรือไม่เท่านั้น ถ้าเสียงผ่านนั่นคือเกินครึ่งของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งซึ่งต้องมีถึงกว่า 20 ล้านเสียง แต่ล่าสุดเห็นว่ากำลังจะแก้ไขกฎหมายทำประชามติให้ใช้เสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิ์เท่านั้น จากนั้นก็เดินหน้าแก้ไขทั้งฉบับ โดยการหมกเม็ดแก้ไขในบทเฉพาะกาล ลบล้างคำสั่งคณะรัฐประหาร คมช.ทั้งหมด โดยอ้างคำสั่งเผด็จการโหนประชาธิปไตย แต่ความหมายก็คือเป็นการลบล้างความผิดให้ ทักษิณ ไปโดยปริยาย
ทุกฝีก้าวล้วนแล้วแต่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวไว้ใจไม่ได้สักนิดเดียว แต่ถึงอย่างไรนับวันชาวบ้านเขารู้ทัน และหากให้หยั่งกระแสกันจริงๆถึงตอนนั้นเสียงส่วนใหญ่อาจไม่ยอมให้แก้ไขก็เป็นได้ เพราะรู้ธาตุแท้ว่าเป้าหมายของคนพวกนี้ว่าต้องการอะไร
และที่สำคัญรัฐธรรมนูญมันไม่ใช่เป็นปัญหาคอขาดบาดตายจนทำให้เป็นอุปสรรคต่อการบริหารบ้านเมือง ตรงกันข้ามรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มอุดช่องโหว่จากฉบับเดิมๆไม่ว่าจะเป็นฉบับปี 2540 เอาไว้ทั้งหมด มีเพียงแต่พวกนักการเมืองชั่ว ขี้ฉ้อเท่านั้นที่เดือดร้อน เพราะมีข้อบังคับตรวจสอบเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม
ขณะเดียวกันกระบวนการในการทำประชามติรวมไปถึงขั้นตอนในการแก้ไขยกร่างใหม่ก็จะใช้เวลาอีกหลายเดือน อย่างน้อยก็เป็นการซื้อเวลาให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อีกพักใหญ่ และระหว่างนี้ยังสามารถ “ทำมาหากิน” ได้ตามปกติ เพราะหลายโครงการกำลังเดินหน้า โดยเฉพาะอภิมหาโปรเจ็กต์ที่กำลังจะกู้อีก 2.2 ล้านล้านบาทกำลังจะเริ่มต้นเดินหน้าในอีกไม่กี่สัปดาห์ นี่ยังไม่รวมโครงการใหญ่ที่ดำเนินการมาแล้วอย่างเป็น “กอบเป็นกำ”
ถามว่าถึงไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อยู่กันไปแบบนี้ ภายใต้รัฐบาล “นอมินี” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้ประโยชน์เต็มๆ นี่ข่าวว่าในสัปดาห์หน้า นายกฯก็กำลังจะติดตามความคืบหน้าท่าเรือน้ำลึกทวายของพม่า ดูแล้วกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ซึ่งก็เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พวกเขาก็ไม่เห็นเดือดร้อน อย่างไรก็ดีหากมีการแก้ไขสำเร็จสามารถลบล้างความผิดให้ ทักษิณ ก็ยิ่งได้กำไรสองต่อ สามารถกลับมามีอำนาจโดยตรงอีกรอบ แต่นั่นเป็นเรื่องอนาคต ซึ่งรับรองว่าไม่หมู อย่างที่ว่าเพราะชาวบ้านเขารู้ทัน แต่ถึงอย่างไร ไม่ว่าผลออกมาแบบไหน ได้แก้ไข หรืออยู่แบบเดิมพวกเขาก็ได้กำไร
** ดังนั้นเปลี่ยนเกมใหม่โดยอิงประชามติก็เพียงใช้ประชาชนเป็นหลังพิงเท่านั้น แต่ถ้ามีปัญหาแก้ไขไม่ได้ก็นำมาอ้างกับคนเสื้อแดงได้ว่าทำตามสัญญาแล้ว แต่ถึงอย่างไรทุกอย่างต้องใช้เวลา และ ยิ่งลักษณ์ ก็ยังเก้าอี้นายกฯได้อีกพักใหญ่ !!
วิธีการที่ว่านี้ก็คือการให้ทำประชามติก่อนที่จะแก้ไข ซึ่ง นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ย้ำชัดเจนแล้ว แต่นาทีนี้ยังไม่มีการเปิดเผยว่าจะให้ลงประชามติแบบไหน จะแก้ไขทั้งฉบับหรือรายมาตรา อย่างไรก็ดีถ้าให้เดาทางก็คือแก้ไขทั้งฉบับ แต่เพื่อป้องกันพังเสียตั้งแต่เริ่มต้นก็จะไม่กล้าแตะหมวดสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เหลือนอกนั้น เชื่อว่าต้องจัดการกวาดเรียบ เพราะเป้าหมายเดิมไม่เคยเปลี่ยน และไม่มีทางจะเปลี่ยน หากตราบใดยังไม่ลบล้างความผิดให้กับ ทักษิณ ชินวัตร และเขาไม่ได้กลับมามีอำนาจอย่างเปิดเผย
แต่ขณะเดียวกันการเปิดทางให้มีการลงประชามติก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นหากมองอีกด้านหนึ่งนี่คือการ “ถอยแบบเอาแต่ได้” กินรวบทุกทางไม่ว่าจะออกมาในมุมไหนก็ตาม
แน่นอนว่าการไฟเขียวให้ลงประชามติดังกล่าวถือว่าเป็นการเปลี่ยนท่าทีไปจากเดิมแบบตรงกันข้าม จากที่เคย “ห้าว” สั่งเดินหน้าใช้สภาเสียงข้างมาก “หัก” เอาเลย ทุกอย่างทำแบบรวบรัด ต้องการฉีกฉบับเก่าทิ้งแล้วร่างใหม่ตามใจชอบ แต่เมื่อเจอแรงต้านรอบทิศ อีกทั้งเมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้ให้แนวทางไว้เป็นบรรทัดฐานว่าต้องทำประชามติก่อนแก้ไข และหากแก้ไขก็ต้องแก้ไขแบบรายมาตรา หรือจะแก้ไข มาตรา 291 เพื่อเปิดทางให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ ความหมายก็ไม่ต่างจากใช้ “ลูกไปฆ่าแม่” นั่นแหละ
จะเดินหน้าแบบเดิมมันก็เสี่ยงทุกรูปแบบ ทั้งแรงต้านที่นับวันยิ่งรุนแรง เพราะชาวบ้านรู้ทันว่าแบบไม่ซับซ้อนว่า “แก้ไขเพื่อประโยชน์ ทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัว รวมไปถึงนักการเมืองขี้ฉ้อทั้งหลายเท่านั้น ขณะที่ชาวบ้านไม่ได้ประโยชน์อะไร
**ด้วยสาเหตุแบบนี้แหละ เมื่อเคยเดินหน้าลุยถั่วแบบทื่อๆชาวบ้านเขารู้ทันจึงต้องถอยกลับมาตั้งหลักใหม่
แน่นอนว่านาทีนี้ยังไม่มีการเปิดเผยออกมาให้ชัดว่าจะให้ลงประชามติแบบไหน จะถามแบบให้แก้ไขหรือไม่แก้ไข หรือให้แก้ทั้งฉบับหรือรายมาตรา แต่ถ้าให้เดารับรองว่าจะถามว่า ให้แก้ไขหรือไม่เท่านั้น ถ้าเสียงผ่านนั่นคือเกินครึ่งของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งซึ่งต้องมีถึงกว่า 20 ล้านเสียง แต่ล่าสุดเห็นว่ากำลังจะแก้ไขกฎหมายทำประชามติให้ใช้เสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิ์เท่านั้น จากนั้นก็เดินหน้าแก้ไขทั้งฉบับ โดยการหมกเม็ดแก้ไขในบทเฉพาะกาล ลบล้างคำสั่งคณะรัฐประหาร คมช.ทั้งหมด โดยอ้างคำสั่งเผด็จการโหนประชาธิปไตย แต่ความหมายก็คือเป็นการลบล้างความผิดให้ ทักษิณ ไปโดยปริยาย
ทุกฝีก้าวล้วนแล้วแต่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวไว้ใจไม่ได้สักนิดเดียว แต่ถึงอย่างไรนับวันชาวบ้านเขารู้ทัน และหากให้หยั่งกระแสกันจริงๆถึงตอนนั้นเสียงส่วนใหญ่อาจไม่ยอมให้แก้ไขก็เป็นได้ เพราะรู้ธาตุแท้ว่าเป้าหมายของคนพวกนี้ว่าต้องการอะไร
และที่สำคัญรัฐธรรมนูญมันไม่ใช่เป็นปัญหาคอขาดบาดตายจนทำให้เป็นอุปสรรคต่อการบริหารบ้านเมือง ตรงกันข้ามรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มอุดช่องโหว่จากฉบับเดิมๆไม่ว่าจะเป็นฉบับปี 2540 เอาไว้ทั้งหมด มีเพียงแต่พวกนักการเมืองชั่ว ขี้ฉ้อเท่านั้นที่เดือดร้อน เพราะมีข้อบังคับตรวจสอบเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม
ขณะเดียวกันกระบวนการในการทำประชามติรวมไปถึงขั้นตอนในการแก้ไขยกร่างใหม่ก็จะใช้เวลาอีกหลายเดือน อย่างน้อยก็เป็นการซื้อเวลาให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อีกพักใหญ่ และระหว่างนี้ยังสามารถ “ทำมาหากิน” ได้ตามปกติ เพราะหลายโครงการกำลังเดินหน้า โดยเฉพาะอภิมหาโปรเจ็กต์ที่กำลังจะกู้อีก 2.2 ล้านล้านบาทกำลังจะเริ่มต้นเดินหน้าในอีกไม่กี่สัปดาห์ นี่ยังไม่รวมโครงการใหญ่ที่ดำเนินการมาแล้วอย่างเป็น “กอบเป็นกำ”
ถามว่าถึงไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อยู่กันไปแบบนี้ ภายใต้รัฐบาล “นอมินี” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้ประโยชน์เต็มๆ นี่ข่าวว่าในสัปดาห์หน้า นายกฯก็กำลังจะติดตามความคืบหน้าท่าเรือน้ำลึกทวายของพม่า ดูแล้วกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ซึ่งก็เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พวกเขาก็ไม่เห็นเดือดร้อน อย่างไรก็ดีหากมีการแก้ไขสำเร็จสามารถลบล้างความผิดให้ ทักษิณ ก็ยิ่งได้กำไรสองต่อ สามารถกลับมามีอำนาจโดยตรงอีกรอบ แต่นั่นเป็นเรื่องอนาคต ซึ่งรับรองว่าไม่หมู อย่างที่ว่าเพราะชาวบ้านเขารู้ทัน แต่ถึงอย่างไร ไม่ว่าผลออกมาแบบไหน ได้แก้ไข หรืออยู่แบบเดิมพวกเขาก็ได้กำไร
** ดังนั้นเปลี่ยนเกมใหม่โดยอิงประชามติก็เพียงใช้ประชาชนเป็นหลังพิงเท่านั้น แต่ถ้ามีปัญหาแก้ไขไม่ได้ก็นำมาอ้างกับคนเสื้อแดงได้ว่าทำตามสัญญาแล้ว แต่ถึงอย่างไรทุกอย่างต้องใช้เวลา และ ยิ่งลักษณ์ ก็ยังเก้าอี้นายกฯได้อีกพักใหญ่ !!