ดีเบตชิงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกายกที่ 2 ณ มหาวิทยาลัยฮอฟสทรา ในเฮมพ์สเตด นิวยอร์ก ในรูปแบบ “town-meeting format” ระหว่างผู้นำคนปัจจุบัน บารัค โอบามา แห่งพรรคเดโมแครต กับ มิตต์ รอมนีย์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน เมื่อช่วงเช้าวันพุธตามเวลาในบ้านเรา จบลงด้วยความอิ่มเอมในอรรถรสที่ไม่แตกต่างจากฮอลลีวูด มีทั้งการข่มเขี้ยว เชือดเฉือน ฟาดฟัน ถมทับ และก็มีภาพจับมือ ประคอง มองหน้า แลกยิ้มกันอย่างน่าดูชม ตามประสาชาติที่ยกตนเป็นต้นแบบประชาธิปไตยโลก
ขอบอกไว้ตรงนี้ก่อนนะครับว่า ที่ยกเรื่องดีเบตมาหาใช่ผมอยากจะโปรประชาธิปไตยแบบอเมริกันหรือการเลือกตั้งของเขา เราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าประชาธิปไตยหรือการเลือกตั้งของชาติไหนๆ ต่างก็มีเอกลักษณ์ของตน การเลือกตั้งอเมริกาใช่ปราศจากวิชามาร เบื้องหลังพวกที่ได้ครองอำนาจก็มีกลุ่มทุนสามานย์ที่ต้องการตีกินไปทั่วโลกหนุนหลัง ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มากหรอก ขนาดพื้นที่เล็กๆ อย่างวิกฤตไฟใต้ก็ยังไม่วายเข้ามาแสวงหาประโยชน์
เพียงแต่ขณะดูถ่ายทอดสดจากอเมริกา ผมได้สลับช่องมาดูข่าวช่วงเช้าของไทยเราด้วย ทำให้ถึงกับสะอึกในความรู้สึกเมื่อคิดเปรียบเทียบ
เพราะบังเอิญคนที่โผล่หน้าออกมาเป็นข่าวคือรองนายกฯ ที่ดูแลงานด้านความมั่นคง แม้จะอวดตัวว่ามีดีกรีการศึกษาถึงด็อกเตอร์ แต่ก็มักพูดพล่อยๆ และชอบใช้ลีลาตัดไม้ข่มนาม ขู่ฟอดๆ เขาไปทั่ว บางครั้งก็เพ้อพร่ำย้ำคิดย้ำทำ หลายครั้งแสดงออกซึ่งความกักขฬะอย่างเห็นได้ชัด
ในข่าวเช้าช่วงที่ว่า ด็อกเตอร์เป็ดก๊าบๆ ก็เอาแต่พล่ามด่าฝ่ายค้านและผู้คนที่อยู่คนละขั้วความคิดด้วยคำว่า ‘เลอะเทอะ’ แบบเปรอะไปหมด..?!
ผมขอลองเอาการเมืองบ้านเขามาเปรียบเทียบกับบ้านเราในบางประเด็นนะครับ
ประการหนึ่ง ศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกาบนเวทีดีเบต โอบามากับรอมนีย์เอาองค์ความรู้ของแต่ละฝ่ายมาต่อสู้และหักล้างกัน และทั้งหมดล้วนเป็นข้อมูลที่เกิดประโยชน์ต่ออเมริกาและชาวอเมริกัน แม้บางครั้งจะไปกระทบชาติอื่นๆ บ้างก็ตาม อันเป็นเครื่องการันตีว่าผู้นำของเขาไม่มีวันที่จะโง่เง่าเต่าตุ่นไปได้หรอก แต่พอหันมาดูประเทศไทยเรา ใจมันตกวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเลย
พลันฉุกคิดขึ้นมาว่าเรามีปูนิ่มเป็นผู้นำรัฐนาวามานับปีแล้วหรือนี่..!!
ประการหนึ่ง เราได้เห็นความเป็นนักการเมืองของอเมริกา เขาพร้อมที่ปะทะกับทุกฝ่ายด้วยข้อเท็จจริงในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำต้องพร้อมเผชิญหน้ากับการตั้งคำถามของภาคประชาชน และหลังจากศึกเลือกตั้งผ่านพ้น ความเป็นคู่ต่อสู้ก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นความร่วมมือ เพื่อหนุนเนื่องให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้จนกว่าจะมีศึกเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่สำหรับนักการเมืองของบ้านเมืองเรา ต้องถือว่าเป็นอะไรที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ในส่วนของผู้นำไทย นอกจากความเป็นพริตตี้นำสมัยในแฟชั่นแล้ว อย่างอื่นแทบไม่มีอะไรให้คาดหวังได้เลย..!!
ในส่วนของนักการเมืองไทย นอกจากแบ่งกลุ่มก๊วนตามผลประโยชน์และสายอำนาจแล้ว ยังพร้อมเปิดศึกแย่งชามข้าวกันแทบไม่เว้นแต่ละวัน และก็ไม่เว้นว่าจะต้องกับขั้วตรงข้ามเท่านั้น ในกลุ่มก๊วนเดียวกันถ้าทับเส้นก็ไม่มีใครไว้หน้า..?!
นี่เป็นเพียงข้อเปรียบเทียบบางแง่มุมเท่านั้น ขณะที่การเมืองอเมริกากำลังเดินหน้าสู่โหมดการเลือกตั้งระดับชาติครั้งใหญ่ในรอบ 4 ปี แต่สำหรับการเมืองไทย นอกจากวิกฤตในชาติมากมายที่เกิดจากการมุ่งแต่แสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งหากจะกล่าวด้วยสำนวนด็อกเตอร์เป็ดก๊าบๆ ก็อยู่ในขั้น ‘เลอะเทอะ’ ได้เหมือนกัน เกมการเมืองในฟากฝ่ายรัฐบาลเองก็กำลังมุ่งสู่โหมดปรับ ครม.ครั้งใหญ่เป็นหนที่ 3 หลังนั่งกุมบังเหียนได้เพียงปีเศษ ซึ่งก็สามารถสาธยายด้วยคำว่า ‘เลอะเทอะ’ ได้อีกนั่นแหละ
ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ให้กับประเทศชาติและสังคมไทยดี ที่ในวันนี้ผู้นำพริตตี้ยังสตรอเบอร์แหลได้พร่ำเพรื่ออย่างหน้าตายว่า การปรับ ครม.ปูนิ่ม 3 ตนคนเดียวเท่านั้นคือผู้ตัดสินใจ
ช่างไม่รู้เลยหรือว่าขณะที่ตัวเองพร่ำพูดเรื่องการปรับ ครม. บรรดานักการเมือง อดีตข้าราชการที่กระสันอยากเป็นเสนาบดี พลพรรคเพื่อไทย ก๊วน นปช. แก๊งเสื้อแดง ต่างวิ่งจับจองขอตำแหน่งมีชามข้าวเป็นของตัวเองกันตีนขวิดทั้งในและนอกประเทศ ไม่ว่าจะเข้าหาสายกระบังลม สายซาลาเปาไส้หมูหน้าแตก และที่เป็นข่าวครึกโครมคือแห่ตีตั๋วเครื่องบินไปหาคนหน้าเหลี่ยมที่เป็นนักโทษหนีคุกและมีหมายจับพะรุงพะรังในไทย แต่สามารถไปเร่ร่อนบงการทำร้ายประเทศตนเองอยู่นอกประเทศได้อย่างสบาย
ที่จริงหน้าตา ครม.ใหม่ของรัฐบาลปูนิ่มจะออกมาอย่างไร ผมว่าสังคมไทยรับได้อย่างแน่นอน แต่ขอย้ำไว้ตรงนี้ด้วยนะครับว่า ‘รับได้’ ไม่ได้หมายความว่า ‘ยินดี’ หรือ ‘เห็นดีเห็นงาม’ ด้วย เพราะเราได้เห็นโฉมหน้า ครม.ปูนิ่ม 1 และ 2 มาอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋แล้ว กับแค่ ครม.ปูนิ่ม 3 มันจะอะไรกันนักหนาเชียว
ที่ผ่านมาทักษิณ ชินวัตร ก็ตบรางวัลแกนนำแก๊งเสื้อแดงเผาบ้านเมืองไปแล้วทุกคน แถมพกด้วยการให้แปลงร่างจากไพล่เป็นอำมาตย์ไปแล้วถ้วยทั่วไม่ว่าจะเป็นจตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ก่อแก้ว พิกุลทอง เหวง โตจิราการ ประสิทธิ์ ไชยศีรษะ อภิวันท์ วิริยะชัย มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ วิสา คัญทัพ อารีย์ ไกรนรา ยศวริศ ชูกล่อม ฯลฯ
มีการยืนยันจากแทบทุกสายตรงกัน แต่ที่เห็นจะแน่นยิ่งกว่าแช่แป้งก็คือ หลุดออกจากปากทักษิณเองด้วยว่า การปรับ ครม.รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เที่ยวล่าสุดนี้จะมีชื่อของจตุพร พรหมพันธุ์ ได้นั่งเป็นรัฐมนตรีกับเขาเสียที หลังจากรอมานาน แถมว่ากันว่าได้คั่วเก้าอี้ในกระทรวงเกรด A อย่างมหาดไทยเสียด้วย
เมื่อทักษิณกล้าปูนบำเหน็จ “เต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เป็นรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปแล้ว และกำลังจะปูนบำเหน็จ “ตู่-จตุพร พรหมพันธุ์” ให้นั่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ผมเลยขอเชียร์ทักษิณให้ปูนบำเหน็จ “กี้ร์-อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง” ได้นั่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมไปพร้อมๆ กัน เพราะจะได้ครบถ้วนกระบวนความในฐานะ 3 ทหารเสื้อที่สามารถบงการผ่านไปสั่งการยังแก๊งเสื้อแดงได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
สำหรับตัวตนของกี้ร์เองก็เพิ่งฉายแววให้เห็นเด่นชัดว่าเหมาะนั่งคุมกลาโหมมากที่สุด ไม่เชื่อทักษิณลองย้อนไปดูข่าวใน “ASTVผู้จัดการภาคใต้” เมื่อวันที่ 10-11 ตุลาคม 2555 ที่เขาลงพื้นที่นราธิวาสแล้วไปแถลงข่าวเสียใหญ่โตเกี่ยวกับการสั่งการกองทัพและจัดระเบียบกองกำลังทหารเพื่อแก้วิกฤตไฟใต้ดู
เชื่อผมเถอะครับคุณทักษิณตั้ง “ตู่-เต้น-กี้ร์” เป็นรัฐมนตรีพร้อมๆ กันใน ครม.ปูนิ่ม 3 นอกจากความพร้อมที่จะทำอะไรต่อมิอะไรกับบ้านนี้เมืองนี้ได้คล่องขึ้นแล้ว รับรองว่าปัญหาไฟใต้ก็จะมอดดับ อันจะนำไปสู่การตีฐานคะแนนเสียงในภาคใต้ที่เพื่อไทยบอดสนิทมาตลอด ให้กระเตื้องขึ้นมาได้แบบหลังเท้าเป็นหน้ามือเชียวแหละ และรับรองว่า 3 ทหารเสือชุดนี้จะบดขยี้ 3 สายล่อฟ้าแห่งค่ายประชาธิปัตย์ได้อย่างน่าดูชมอีกด้วย
เชื่อผมเถอะครับคุณทักษิณ..??!!