รุมอัดคลัง! เปิดหวยตู้เป็นของขวัญรับปีใหม่ เท่ากับเปิดเสรีการพนัน สูบเลือดคนไทย หาเงินเข้ากระเป๋า พร้อมกระตุกต่อม “ยิ่งลักษณ์” ตระหนักความเป็นแม่ อย่าปล่อยอบายมุขพ่นพิษสังคม มอมเมาเด็กเยาวชน ส่งผลคุณภาพชีวิตต่ำ ด้าน“สภาเด็กฯ” ซัดปีใหม่คนไทยอยากได้ของขวัญพัฒนาชีวิต ไม่ใช่อบายมุข ดักคอเบี่ยงประเด็นอ้างโกยเงินคนต่างชาติ
นายมณเฑียร บุญตัน กรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงการคลัง เตรียมเดินหน้าจำหน่ายสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว ด้วยเครื่องอัตโนมัติ (หวยตู้ )ในช่วงปีใหม่นี้ว่า นโยบายที่อ้างว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาสลากแพงเกินราคานั้น ถือเป็นการแก้ไขปัญหาจุดเดียว แต่สร้างปัญหาบานปลายตามมา เนื่องจากรัฐเป็นผู้ผลิตจำหน่ายขายขาด โยนภาระให้กับผู้แทนจำหน่าย ซึ่งนี่คือต้นตอของปัญหา แล้วจะมาเพิ่มสลากอีกรูปแบบหนึ่ง มันไม่ใช่การแก้ปัญหา ตรงกันข้าม มันจะเป็นการเพิ่มพื้นที่การพนัน เพราะยังไม่มีมาตรการชัดเจนควบคุมการขยายผล
"ผมคิดว่ามันเข้าข่าย ลักษณะการพนันเสรีเข้าไปทุกที มันจะต่างอะไรกับที่เด็กเยาวชน ผู้มีรายได้น้อย เจอตู้หวย แล้วก็เดินเข้าไปซื้อได้เลย เพราะมันไม่ได้มีข้อจำกัด อีกทั้งระบบก็ไม่ได้มีการจำกัดเลขด้วย หากมีเลขเด็ดๆ มาคนก็รุมซื้อกันไม่ยั้ง และรางวัลก็ผันแปรตามจำนวนคนถูก เท่ากับรัฐดูดเงินจากประชาชน ผู้บริโภคก็รับกรรมไป รัฐได้ทั้งขึ้น ทั้งล่อง แทนที่รัฐจะปราบปรามการเล่นพนันทุกชนิดในสังคม" นายมณเฑียร กล่าว
นายมณเฑียร กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้เป็นวิกฤตกับสังคมไทยในระยะยาว ทำให้สังคมอ่อนแอ พัฒนาความเชื่อชาวบ้านไปเชื่อเรื่องดวง เสี่ยงโชค มากกว่าทำเพื่อให้เกิดผล และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะสั้นนี้ ทั้งนี้สิ่งที่รัฐบาลควรกำหนดมาตรการให้ชัดเจน คือ 1. ป้องกันไม่ให้เด็ก เยาวชน ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงการพนันทุกรูปแบบ 2. การเยียวยาผู้ค้ารายย่อย ผู้พิการ ที่ขายสลากเดิม 3. จำกัดพื้นที่การพนัน ไม่ใช่เอาสลากมาเป็นตัวส่งเสริมหารายได้เข้ารัฐ
นางสาวฐาณิชชา ลิ้มพานิช ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กล่าวว่า การออกนโยบายนี้ในช่วงปีใหม่ เพื่อให้เป็นของขวัญประชาชน ถือว่าเสี่ยงในด้านการทำลายคุณภาพชีวิตคนไทยให้ต่ำลง เพราะจะเป็นการส่งเสริม ขยายผลเพิ่มความถี่ในการเล่นการพนัน ซึ่งสิ่งที่ต้องทำคือ ศึกษาผลกระทบให้รอบด้าน ไม่มุ่งแต่เรื่องเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว และขอถามนายกรัฐมนตรีผู้หญิงคนแรกของประเทศว่า มีนโยบายในการดูแลเด็ก เยาวชน และครอบครัวอย่างไรบ้าง เพิ่มพื้นที่สาธารณเพื่อครอบครัวอย่างไร ซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาครอบครัวและสังคม คุณภาพชีวิต
“ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี มีภาพลักษณ์ความเป็นแม่ มีลูกที่ต้องดูแล ท่านห่วงเรื่องนี้ และจะดูแลเรื่องนี้อย่างไร ถ้าในสังคมมีเรื่องอบายมุขเต็มไปหมด มีหวยตู้ ท่านจะรู้สึกอย่างไร และในฐานนะของคนเป็นแม่ จะเลี้ยงลูกท่ามกลางสังคมที่โหมมอมเมาอบายมุขอย่างนั้นหรือ ต่อไปคนไทยคงมีหนี้สินมากขึ้น เศรษฐกิจดี แต่คนมีคุณภาพชีวิตต่ำ ขอให้ท่านพิจารณาทั้งในฐานะแม่ และผู้บริหารประเทศด้วย ” นางสาวฐานิชา กล่าว
ด้านนางสาวพรเพ็ญ เธียรไพศาล ตัวแทนสภาเด็กจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า ของขวัญปีใหม่ที่ควรจะมอบให้คนไทย ไม่ใช่เรื่องอบายมุข แต่ควรเป็นเรื่องที่ส่งเสริมปรับปรุงคุณภาพชีวิตคนไทย ไม่ใช่ส่งเสริมการเล่นการพนันให้เกิดขึ้นในสังคม เพราะนโยบายหวยตู้ จะสร้างกระแส การเล่นพนันให้เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน เห็นการเล่นหวยเป็นเรื่องปกติ จะทำให้เยาวชนที่ไม่เคยเล่นการพนัน เริ่มกลายเป็นนักพนันหน้าใหม่มากขึ้นๆ และเป็นต้นทางการพนันอื่นๆ ต่อไป จะไม่มีใจจดจ่อกับการเรียน และมีปัญหาอื่นตามมาอีกมากมาย เช่น อาชญากรรม ทำอาชีพไม่เหมาะสม เป็นต้น การบอกว่าควบคุมดูแล ไม่ขายใกล้วัด โรงเรียน มันไม่เป็นความจริง เพราะคุมไม่ได้ ทุกวันนี้สิ่งผิดกฎหมาย ยังไม่มีปัญญาคุมได้เลย แค่ร้านเหล้ารอบสถานศึกษา ยังจัดการไม่ได้เลย.
นายมณเฑียร บุญตัน กรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงการคลัง เตรียมเดินหน้าจำหน่ายสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว ด้วยเครื่องอัตโนมัติ (หวยตู้ )ในช่วงปีใหม่นี้ว่า นโยบายที่อ้างว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาสลากแพงเกินราคานั้น ถือเป็นการแก้ไขปัญหาจุดเดียว แต่สร้างปัญหาบานปลายตามมา เนื่องจากรัฐเป็นผู้ผลิตจำหน่ายขายขาด โยนภาระให้กับผู้แทนจำหน่าย ซึ่งนี่คือต้นตอของปัญหา แล้วจะมาเพิ่มสลากอีกรูปแบบหนึ่ง มันไม่ใช่การแก้ปัญหา ตรงกันข้าม มันจะเป็นการเพิ่มพื้นที่การพนัน เพราะยังไม่มีมาตรการชัดเจนควบคุมการขยายผล
"ผมคิดว่ามันเข้าข่าย ลักษณะการพนันเสรีเข้าไปทุกที มันจะต่างอะไรกับที่เด็กเยาวชน ผู้มีรายได้น้อย เจอตู้หวย แล้วก็เดินเข้าไปซื้อได้เลย เพราะมันไม่ได้มีข้อจำกัด อีกทั้งระบบก็ไม่ได้มีการจำกัดเลขด้วย หากมีเลขเด็ดๆ มาคนก็รุมซื้อกันไม่ยั้ง และรางวัลก็ผันแปรตามจำนวนคนถูก เท่ากับรัฐดูดเงินจากประชาชน ผู้บริโภคก็รับกรรมไป รัฐได้ทั้งขึ้น ทั้งล่อง แทนที่รัฐจะปราบปรามการเล่นพนันทุกชนิดในสังคม" นายมณเฑียร กล่าว
นายมณเฑียร กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้เป็นวิกฤตกับสังคมไทยในระยะยาว ทำให้สังคมอ่อนแอ พัฒนาความเชื่อชาวบ้านไปเชื่อเรื่องดวง เสี่ยงโชค มากกว่าทำเพื่อให้เกิดผล และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะสั้นนี้ ทั้งนี้สิ่งที่รัฐบาลควรกำหนดมาตรการให้ชัดเจน คือ 1. ป้องกันไม่ให้เด็ก เยาวชน ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงการพนันทุกรูปแบบ 2. การเยียวยาผู้ค้ารายย่อย ผู้พิการ ที่ขายสลากเดิม 3. จำกัดพื้นที่การพนัน ไม่ใช่เอาสลากมาเป็นตัวส่งเสริมหารายได้เข้ารัฐ
นางสาวฐาณิชชา ลิ้มพานิช ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กล่าวว่า การออกนโยบายนี้ในช่วงปีใหม่ เพื่อให้เป็นของขวัญประชาชน ถือว่าเสี่ยงในด้านการทำลายคุณภาพชีวิตคนไทยให้ต่ำลง เพราะจะเป็นการส่งเสริม ขยายผลเพิ่มความถี่ในการเล่นการพนัน ซึ่งสิ่งที่ต้องทำคือ ศึกษาผลกระทบให้รอบด้าน ไม่มุ่งแต่เรื่องเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว และขอถามนายกรัฐมนตรีผู้หญิงคนแรกของประเทศว่า มีนโยบายในการดูแลเด็ก เยาวชน และครอบครัวอย่างไรบ้าง เพิ่มพื้นที่สาธารณเพื่อครอบครัวอย่างไร ซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาครอบครัวและสังคม คุณภาพชีวิต
“ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี มีภาพลักษณ์ความเป็นแม่ มีลูกที่ต้องดูแล ท่านห่วงเรื่องนี้ และจะดูแลเรื่องนี้อย่างไร ถ้าในสังคมมีเรื่องอบายมุขเต็มไปหมด มีหวยตู้ ท่านจะรู้สึกอย่างไร และในฐานนะของคนเป็นแม่ จะเลี้ยงลูกท่ามกลางสังคมที่โหมมอมเมาอบายมุขอย่างนั้นหรือ ต่อไปคนไทยคงมีหนี้สินมากขึ้น เศรษฐกิจดี แต่คนมีคุณภาพชีวิตต่ำ ขอให้ท่านพิจารณาทั้งในฐานะแม่ และผู้บริหารประเทศด้วย ” นางสาวฐานิชา กล่าว
ด้านนางสาวพรเพ็ญ เธียรไพศาล ตัวแทนสภาเด็กจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า ของขวัญปีใหม่ที่ควรจะมอบให้คนไทย ไม่ใช่เรื่องอบายมุข แต่ควรเป็นเรื่องที่ส่งเสริมปรับปรุงคุณภาพชีวิตคนไทย ไม่ใช่ส่งเสริมการเล่นการพนันให้เกิดขึ้นในสังคม เพราะนโยบายหวยตู้ จะสร้างกระแส การเล่นพนันให้เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน เห็นการเล่นหวยเป็นเรื่องปกติ จะทำให้เยาวชนที่ไม่เคยเล่นการพนัน เริ่มกลายเป็นนักพนันหน้าใหม่มากขึ้นๆ และเป็นต้นทางการพนันอื่นๆ ต่อไป จะไม่มีใจจดจ่อกับการเรียน และมีปัญหาอื่นตามมาอีกมากมาย เช่น อาชญากรรม ทำอาชีพไม่เหมาะสม เป็นต้น การบอกว่าควบคุมดูแล ไม่ขายใกล้วัด โรงเรียน มันไม่เป็นความจริง เพราะคุมไม่ได้ ทุกวันนี้สิ่งผิดกฎหมาย ยังไม่มีปัญญาคุมได้เลย แค่ร้านเหล้ารอบสถานศึกษา ยังจัดการไม่ได้เลย.