ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ผมได้ทราบมาว่าในหลักสูตรล้างพิษตับ ถุงน้ำดี และล้างลำไส้ ซึ่งจัดโดยโรงเรียนผู้นำ จังหวัดกาญจนบุรี นั้น บัดนี้มีผู้เข้าหลักสูตรดังกล่าวอย่างหนาแน่น ถึงขนาดตอนนี้ถ้าใครจะเข้าหลักสูตรดังกล่าวต้องรอคิวไปถึงเดือนมิถุนายนปีหน้าแล้ว
พลตรีจำลอง ศรีเมือง ได้เขียนในบทความนิตยสารรายเดือน “เราคิดอะไร” ฉบับเดือนตุลาคม 2555 ระบุว่า จนถึงปัจจุบันที่โรงเรียนผู้นำได้จัด “หลักสูตรการล้างพิษของอาจารย์ขวัญดิน” มาแล้ว 28 ครั้ง (ก.ย. 2555) มีผู้ผ่านหลักสูตรแล้วประมาณ 2,600 คน ศูนย์ที่จัดหลักสูตร “การล้างพิษของอาจารย์ขวัญดิน” นับถึงเดือนกันยายน 2555 มีอยู่กว่า 70 ศูนย์ มีผู้ผ่านหลักสูตร 20,000 คนเศษ
ลำพังตัวเลขผู้ผ่านหลักสูตรที่มากขนาดนี้ย่อมแสดงถึงว่าหลักสูตรนี้ต้องมีอะไรดีจริง ที่ผู้คนที่เข้าไปในหลักสูตรนี้ได้บอกต่อกันปากต่อปากถึงประสิทธิภาพในการล้างพิษออกจากร่างกาย จนเกิดกระแสการตื่นตัวอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ชาวสันติอโศกเองก็ไม่คาดคิดมาก่อน
แต่เมื่อเกิดกระแสไปในวงกว้างมากขึ้น ก็ต้องมีคนออกมาต้านเป็นเรื่องธรรมดาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งผู้ที่เสียผลประโยชน์จากบริษัทยา ทั้งผู้ที่โต้แย้งในทางวิชาการ แต่ข้อดีประการหนึ่งของการที่มีคนออกมาต่อต้านก็ย่อมทำให้เกิดการพิสูจน์ข้อสงสัยทั้งมวลให้กับผู้คนอีกจำนวนมาก
ในคอร์สสุขภาพ 8 อ. (คอร์สล้างพิษตับ) ของชาวสันติอโศก ได้ใช้วิธีล้างพิษออกจากร่างกายด้วย “กรรม 7” คือ การล้างพิษจากช่องปากด้วยน้ำมันมะพร้าว (Oil pulling) การอดอาหาร (Diet) การสวนล้างลำไส้ทั้งระบบด้วยกากไยอาหาร (food fiber detoxification) การล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว (Liver flush) การปรับสมดุลกรดด่างด้วยน้ำด่างขี้เถ้า pH 8.5 การแช่เท้าและพอกหน้า เพื่อการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย
แต่ดูเหมือนประเด็นที่มักจะมีข้อสงสัยหรือเป็นชนวนในการโจมตีมากที่สุดก็คือ การล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว (Liver Fush) ก็เพราะเหตุว่าคนที่เข้าหลักสูตรนี้อดอาหารมาเป็นเวลาหลายวันจนถ่ายอุจจาระจนไม่มีกากแล้ว เหตุใดหลังจากคืนสุดท้ายที่ดื่มน้ำมันมะกอกผสมมะนาวแล้วจึงได้มีการถ่ายอุจจาระออกมาเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ บ้างก็เป็นไขมัน บ้างก็เป็นก้อนสีเขียว สีเหลือง วุ้นสีขาว ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันออกไป และในคนๆเดียวๆกันหากเข้าหลักสูตรไปหลายครั้งแล้วสิ่งที่ออกมาก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกครั้งอีกด้วย
เฉพาะความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ที่ออกมาซึ่งไม่เหมือนกันนี้เองทำให้ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเป็นปฏิกิริยาเคมีจากสิ่งที่ดื่มเข้าไป เพราะถ้าเป็นผลิตภัณฑ์จากสิ่งที่ดื่มเข้าไปก็ควรจะได้ผลเหมือนกันในทุกๆครั้ง จริงหรือไม่?
ฝ่ายที่โต้แย้งที่อยู่ในประเทศบางคนอ้างหรือเชื่อว่าสิ่งที่ออกมาเป็นสีเขียวนั้น เป็นปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นจากน้ำมันมะกอก + น้ำมะนาว หรือ น้ำมันมะกอก+น้ำมะนาว +ดีเกลือ ปรากฏว่า คุณแก่นฟ้า แสนเมือง ได้ทดลองให้ดูด้วยการนำขวดมาบรรจุ น้ำมันมะกอก + น้ำมะนาว 1 ขวด และอีกขวดหนึ่งนำน้ำมันมะกอก + น้ำมะนาว + ดีเกลือ อีก 1 ขวด แล้วเขย่า แล้วตั้งทิ้งไว้ตั้งแต่วันที่ 9 กันยาน พ.ศ. 2555 ผลปรากฏว่าจนถึงวันนี้ก็ไม่ได้เกิดปฏิกิริยาเคมีเป็นก้อนไขมันใดๆ ซึ่งเรื่องนี้ใครๆก็สามารถพิสูจน์ได้
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่โต้แย้งกันในต่างประเทศ ก็มีการสันนิษฐานว่าก้อนที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปฏิกิริยาเคมีที่มีลักษณะเป็นสบู่ที่เรียกว่า “Saponification” ที่เกิดจากไขมันหรือน้ำมันทำปฏิกิริยากับน้ำดี ซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง แต่เมื่อพบความเป็นจริงก็จะพบว่าการทำสบู่ก้อน ซึ่งการทำสบู่ก้อนที่ทำจากน้ำมันมะกอกนั้นต้องใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ซึ่งมีค่าเป็นด่าง (Alkaline) เข้มข้นสูงสุดถึง pH 14 ในอัตราส่วนน้ำมันมะกอก 100 กรัม และใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) 12.46 กรัม แต่ความเป็นจริงน้ำดีของมนุษย์มีค่าความเป็นด่าง (Alkaline) ที่มีค่า pH เพียงแค่ 7.5 ถึง 8.8 ซึ่งไม่มีความสามารถพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาการทำเสมือนสบู่ก้อนได้
ในเว็บไซต์ CureZone.com ได้สำรวจเพิ่มเติมโดยลงรายละเอียดในหัวข้อ ผลสำรวจการล้างตับ (Liver Flush Survey) 288 คน พบว่าผู้ที่หายป่วยจากโรคตัวเองในการล้างตับ 1 ครั้งมีจำนวน 13%, หายป่วยจากโรคตัวเองหลังการล้างตับ 2 ครั้งมีจำนวน 23%, หายป่วยจากโรคตัวเองหลังการล้างตับ 3 ครั้งมีจำนวน 31%, หายป่วยจาการล้างตับ 4 ครั้งมีจำนวน 41%, และหายป่วยจากโรคของตัวเองหลังการล้างตับ 5 ครั้งมีจำนวน 43%, หายป่วยจากโรคของตัวเองหลังการล้างพิษตับไปแล้ว 6 ครั้ง มีจำนวน 36%, หายป่วยจากโรคของตัวเองหลังการล้างพิษตับไปแล้ว 7 ถึง 10 ครั้งมีจำนวน 51%, และหายป่วยจากโรคของตัวเองหลังการล้างพิษตับไปแล้ว 11 ถึง 15 ครั้ง จำนวน 50%
จากการสำรวจนี้ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจว่าคนที่หายป่วยมากที่สุดก็คือ คนที่ป่วยเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีสูงที่หายป่วยถึง 51% และมีรายงานว่ามีอาการดีขึ้นอีก 49% หมายความว่ารวมคนที่หายป่วยและมีอาการดีขึ้น 100%
สอดคล้องกับงานเขียนของคุณแก่นฟ้า แสนเมือง ที่ได้อธิบายยกกรณีตัวอย่างของคนที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี เช่น
คุณไหม อยู่ที่อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ มีอาการไม่สบาย จากผลของการอุลตราซาวด์ หมอบอกว่า มีนิ่วอุดตันที่ท่อน้ำดีขนาด10 ม.ม.ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยมีค่าใช้จ่าย 30,000 บาท เนื่องจากไม่มีเงินจึงมาเข้าคอร์สล้างตับ 2 ครั้ง นิ่วมีขนาดเล็กลงเหลือ 3 ม.ม. และหมอบอกว่า ไม่ต้องผ่าตัดถุงน้ำดีอีกแล้ว
คุณลินดา คนอเมริกัน อ้วนมาก หมอนัดผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี ได้เลือกมาเข้าคอร์สล้างพิษตับ หลังดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวและดีเกลือ มีก้อนไขมันและก้อนนิ่วออกมาเกือบ 2 ลิตร มากกว่าปริมาณน้ำมันที่กินเข้าไป เพียงครั้งเดียวก้อนนิ่วทั้งหลายได้หายไปและไม่ต้องผ่าตัดอีกแม้ผ่านมาแล้ว 6 ปี
คุณเคนทาโร่ คนญี่ปุ่น ต้องเข้ารับการผ่าตัดเนื่องจากหมอที่ญี่ปุ่นพบนิ่วในถุงน้ำดีขนาด 5-10 ม.ม. จำนวน 5 ก้อน โดยต้องเสียค่าใช้จ่าย 2 แสนบาท ตัดสินใจมาเข้าคอร์สล้างพิษตับ ครั้งที่ 2 มีก้อนนิ่วสีเขียวมรกตหลุดปะปนมากับไขมันจำนวน 5 ก้อนเหมือนกัน และไม่ต้องผ่าตัดแล้ว
ความจริงแล้วการล้างพิษตับนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร 8 อ.ของสันติอโศก และการบูรณาการเข้ากับภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย และการค้นคว้าจากงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้หลักสูตรที่ได้ออกแบบมานี้มีความครบเครื่องในการล้างพิษอย่างเด่นชัดเสียยิ่งกว่าการล้างตับที่ทำกันในต่างประเทศ จนชาวต่างชาติที่เชี่ยวชาญการล้างพิษตับยังต้องมาดูงานของชาวสันติอโศกไปแล้วในวันนี้
และอาจเป็นเพราะการบูรณาการและพัฒนาการของหลักสูตรล้างพิษตับของชาวสันติอโศก (ที่ริเริ่มและค้นคว้าโดย อ.แก่นฟ้า แสนเมือง, อ.อุ่นเอื้อ สิงห์คำ, อ.ขวัญดิน สิงห์คำ) ทำให้โรคที่ต่างชาติไม่ได้สำรวจเพราะอาจไม่คิดว่าจะหายได้ก็กลับหายได้จากหลักสูตรนี้มาแล้วหลายโรค โดยเฉพาะโรคไวรัสตับอักเสบ บี ที่แพทย์แผนปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายได้
นอกจากคุณแก่นฟ้า แสนเมือง จะหายจากโรคไวรัสตับอักเสบ บี ด้วยการล้างพิษออกจากร่างกายด้วยตัวเองแล้ว การบูรณาการและพัฒนาการของหลักสูตรส่งผลทำให้ยังมีหลายตัวอย่างปรากฏเป็นผลการตรวจสอบทางแพทย์ในการรักษาโรคดังกล่าว เช่น กรณีล่าสุด คุณชัชชัย คาวีสุทธิกร ได้เข้าตรวจที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2554 พบไวรัสตับอักเสบ บีสูงถึง 18,100,000 IU/mL ต่อมาเข้าหลักสูตร 8 อ. (ล้างพิษตับ)ของชาวสันติอโศกไป 4 ครั้งเป็นเวลา 4 เดือน ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554 พบไวรัสตับอักเสบ บีลดลงเหลือ 20,400 IU/mL ต่อมาจึงเข้าหลักสูตรล้างพิษตับอีก 5 ครั้ง ในวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555 พบไวรัสตับบีลดลงเหลือเพียงแค่ 111 IU/mL เท่านั้น
ส่วนการดื่มน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวนั้นแท้ที่จริงแล้วก็เป็นตัวกระตุ้นให้ตับและถุงน้ำดีขับน้ำดีออกมา (ซึ่งทำให้ไขมันและสิ่งตกค้างในตับและถุงน้ำดีได้ถูกขับออกมาด้วย) ถึงแม้ว่าหลายคนอาจจะเป็นห่วงหรือกังวลว่าการดื่มน้ำมันมะกอกว่าจะมีโทษอย่างไรหากดื่มเข้าไปมาก แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ปรากฏหลักฐานหรือมีงานวิจัยที่กล่าวถึงโทษดังกล่าว แต่ประโยชน์ของน้ำมันมะกอกนั้นก็กลับปรากฏเป็นงานวิจัยที่ชัดเจนอยู่จำนวนมาก
น้ำมันมะกอก ช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (arteriosclerosis) ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย และเส้นเลือดในสมองแตก และยังช่วยให้ระบบการทำงานของส่วนต่างๆ ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ และถุงน้ำดี ทั้งนี้ยังช่วยป้องกันการก่อตัวของนิ่ว
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าน้ำมันมะกอกช่วย บรรเทาอาการกระเพาะอักเสบ แผลในกระเพาะ และยังเป็นยาระบายอ่อนๆ น้ำมันมะกอก ช่วยปกป้องหนังกำพร้า ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ซึ่งเกิดจากวิตามินอี และ สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันมะกอก นอกจากนี้ยังใช้ได้ผลดีในการป้องกันโรคผิวหนังและลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหาร (metabolic function) ภายในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
น้ำมันมะกอกช่วยป้องกันและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานจาก การศึกษาล่าสุดพบว่าระดับกลูโคสของผู้ที่มีสุขภาพดีจะลดลง 12% เมื่อรับประทานน้ำมันมะกอก
น้ำมันมะกอกช่วยในการเสริมสร้างกระดูก และช่วยให้ร่างกายของคนเรามีประสิทธิภาพในการดูดซึมแร่ธาตุและแคลเซี่ยมได้ดี และสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ด้วย อีกทั้งช่วยป้องกันเนื้องอกที่เกิดกับอวัยวะบางส่วน (เต้านม ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ ปีกมดลูก) ทั้งนี้เพราะกรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกนั้นช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ และช่วยต่อต้านการก่อตัวของติ่งเนื้อในอวัยวะต่างๆ ที่กล่าวมา
จากการค้นคว้าวิจัยพบว่า น้ำมันมะกอกนั้นสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในขณะเดียวกันจะไม่ทำให้คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดระดับลง
อาจกล่าวได้ว่าหลักสูตรล้างพิษตับ ล้างถุงน้ำดี ล้างลำไส้ รวมถึงแนวทางธรรมชาติบำบัดของชาวสันติอโศกที่มีความหลากหลายนั้น มีความก้าวหน้าในระดับนานาชาติแล้ว
จึงถือเป็นเรื่องธรรมะจัดสรร ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีแนวร่วมสำคัญอย่างชาวสันติอโศก ซึ่งมีความพอเพียง สมถะ และอยู่กับธรรมชาติ จึงทำให้คนส่วนใหญ่ที่เข้าหลักสูตรล้างพิษตับนั้นล้วนแล้วแต่เป็นพี่น้องที่ชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกันทั้งสิ้น !!!
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ผมได้ทราบมาว่าในหลักสูตรล้างพิษตับ ถุงน้ำดี และล้างลำไส้ ซึ่งจัดโดยโรงเรียนผู้นำ จังหวัดกาญจนบุรี นั้น บัดนี้มีผู้เข้าหลักสูตรดังกล่าวอย่างหนาแน่น ถึงขนาดตอนนี้ถ้าใครจะเข้าหลักสูตรดังกล่าวต้องรอคิวไปถึงเดือนมิถุนายนปีหน้าแล้ว
พลตรีจำลอง ศรีเมือง ได้เขียนในบทความนิตยสารรายเดือน “เราคิดอะไร” ฉบับเดือนตุลาคม 2555 ระบุว่า จนถึงปัจจุบันที่โรงเรียนผู้นำได้จัด “หลักสูตรการล้างพิษของอาจารย์ขวัญดิน” มาแล้ว 28 ครั้ง (ก.ย. 2555) มีผู้ผ่านหลักสูตรแล้วประมาณ 2,600 คน ศูนย์ที่จัดหลักสูตร “การล้างพิษของอาจารย์ขวัญดิน” นับถึงเดือนกันยายน 2555 มีอยู่กว่า 70 ศูนย์ มีผู้ผ่านหลักสูตร 20,000 คนเศษ
ลำพังตัวเลขผู้ผ่านหลักสูตรที่มากขนาดนี้ย่อมแสดงถึงว่าหลักสูตรนี้ต้องมีอะไรดีจริง ที่ผู้คนที่เข้าไปในหลักสูตรนี้ได้บอกต่อกันปากต่อปากถึงประสิทธิภาพในการล้างพิษออกจากร่างกาย จนเกิดกระแสการตื่นตัวอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ชาวสันติอโศกเองก็ไม่คาดคิดมาก่อน
แต่เมื่อเกิดกระแสไปในวงกว้างมากขึ้น ก็ต้องมีคนออกมาต้านเป็นเรื่องธรรมดาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งผู้ที่เสียผลประโยชน์จากบริษัทยา ทั้งผู้ที่โต้แย้งในทางวิชาการ แต่ข้อดีประการหนึ่งของการที่มีคนออกมาต่อต้านก็ย่อมทำให้เกิดการพิสูจน์ข้อสงสัยทั้งมวลให้กับผู้คนอีกจำนวนมาก
ในคอร์สสุขภาพ 8 อ. (คอร์สล้างพิษตับ) ของชาวสันติอโศก ได้ใช้วิธีล้างพิษออกจากร่างกายด้วย “กรรม 7” คือ การล้างพิษจากช่องปากด้วยน้ำมันมะพร้าว (Oil pulling) การอดอาหาร (Diet) การสวนล้างลำไส้ทั้งระบบด้วยกากไยอาหาร (food fiber detoxification) การล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว (Liver flush) การปรับสมดุลกรดด่างด้วยน้ำด่างขี้เถ้า pH 8.5 การแช่เท้าและพอกหน้า เพื่อการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย
แต่ดูเหมือนประเด็นที่มักจะมีข้อสงสัยหรือเป็นชนวนในการโจมตีมากที่สุดก็คือ การล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว (Liver Fush) ก็เพราะเหตุว่าคนที่เข้าหลักสูตรนี้อดอาหารมาเป็นเวลาหลายวันจนถ่ายอุจจาระจนไม่มีกากแล้ว เหตุใดหลังจากคืนสุดท้ายที่ดื่มน้ำมันมะกอกผสมมะนาวแล้วจึงได้มีการถ่ายอุจจาระออกมาเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ บ้างก็เป็นไขมัน บ้างก็เป็นก้อนสีเขียว สีเหลือง วุ้นสีขาว ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันออกไป และในคนๆเดียวๆกันหากเข้าหลักสูตรไปหลายครั้งแล้วสิ่งที่ออกมาก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกครั้งอีกด้วย
เฉพาะความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ที่ออกมาซึ่งไม่เหมือนกันนี้เองทำให้ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเป็นปฏิกิริยาเคมีจากสิ่งที่ดื่มเข้าไป เพราะถ้าเป็นผลิตภัณฑ์จากสิ่งที่ดื่มเข้าไปก็ควรจะได้ผลเหมือนกันในทุกๆครั้ง จริงหรือไม่?
ฝ่ายที่โต้แย้งที่อยู่ในประเทศบางคนอ้างหรือเชื่อว่าสิ่งที่ออกมาเป็นสีเขียวนั้น เป็นปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นจากน้ำมันมะกอก + น้ำมะนาว หรือ น้ำมันมะกอก+น้ำมะนาว +ดีเกลือ ปรากฏว่า คุณแก่นฟ้า แสนเมือง ได้ทดลองให้ดูด้วยการนำขวดมาบรรจุ น้ำมันมะกอก + น้ำมะนาว 1 ขวด และอีกขวดหนึ่งนำน้ำมันมะกอก + น้ำมะนาว + ดีเกลือ อีก 1 ขวด แล้วเขย่า แล้วตั้งทิ้งไว้ตั้งแต่วันที่ 9 กันยาน พ.ศ. 2555 ผลปรากฏว่าจนถึงวันนี้ก็ไม่ได้เกิดปฏิกิริยาเคมีเป็นก้อนไขมันใดๆ ซึ่งเรื่องนี้ใครๆก็สามารถพิสูจน์ได้
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่โต้แย้งกันในต่างประเทศ ก็มีการสันนิษฐานว่าก้อนที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปฏิกิริยาเคมีที่มีลักษณะเป็นสบู่ที่เรียกว่า “Saponification” ที่เกิดจากไขมันหรือน้ำมันทำปฏิกิริยากับน้ำดี ซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง แต่เมื่อพบความเป็นจริงก็จะพบว่าการทำสบู่ก้อน ซึ่งการทำสบู่ก้อนที่ทำจากน้ำมันมะกอกนั้นต้องใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ซึ่งมีค่าเป็นด่าง (Alkaline) เข้มข้นสูงสุดถึง pH 14 ในอัตราส่วนน้ำมันมะกอก 100 กรัม และใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) 12.46 กรัม แต่ความเป็นจริงน้ำดีของมนุษย์มีค่าความเป็นด่าง (Alkaline) ที่มีค่า pH เพียงแค่ 7.5 ถึง 8.8 ซึ่งไม่มีความสามารถพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาการทำเสมือนสบู่ก้อนได้
ในเว็บไซต์ CureZone.com ได้สำรวจเพิ่มเติมโดยลงรายละเอียดในหัวข้อ ผลสำรวจการล้างตับ (Liver Flush Survey) 288 คน พบว่าผู้ที่หายป่วยจากโรคตัวเองในการล้างตับ 1 ครั้งมีจำนวน 13%, หายป่วยจากโรคตัวเองหลังการล้างตับ 2 ครั้งมีจำนวน 23%, หายป่วยจากโรคตัวเองหลังการล้างตับ 3 ครั้งมีจำนวน 31%, หายป่วยจาการล้างตับ 4 ครั้งมีจำนวน 41%, และหายป่วยจากโรคของตัวเองหลังการล้างตับ 5 ครั้งมีจำนวน 43%, หายป่วยจากโรคของตัวเองหลังการล้างพิษตับไปแล้ว 6 ครั้ง มีจำนวน 36%, หายป่วยจากโรคของตัวเองหลังการล้างพิษตับไปแล้ว 7 ถึง 10 ครั้งมีจำนวน 51%, และหายป่วยจากโรคของตัวเองหลังการล้างพิษตับไปแล้ว 11 ถึง 15 ครั้ง จำนวน 50%
จากการสำรวจนี้ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจว่าคนที่หายป่วยมากที่สุดก็คือ คนที่ป่วยเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีสูงที่หายป่วยถึง 51% และมีรายงานว่ามีอาการดีขึ้นอีก 49% หมายความว่ารวมคนที่หายป่วยและมีอาการดีขึ้น 100%
สอดคล้องกับงานเขียนของคุณแก่นฟ้า แสนเมือง ที่ได้อธิบายยกกรณีตัวอย่างของคนที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี เช่น
คุณไหม อยู่ที่อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ มีอาการไม่สบาย จากผลของการอุลตราซาวด์ หมอบอกว่า มีนิ่วอุดตันที่ท่อน้ำดีขนาด10 ม.ม.ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยมีค่าใช้จ่าย 30,000 บาท เนื่องจากไม่มีเงินจึงมาเข้าคอร์สล้างตับ 2 ครั้ง นิ่วมีขนาดเล็กลงเหลือ 3 ม.ม. และหมอบอกว่า ไม่ต้องผ่าตัดถุงน้ำดีอีกแล้ว
คุณลินดา คนอเมริกัน อ้วนมาก หมอนัดผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี ได้เลือกมาเข้าคอร์สล้างพิษตับ หลังดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวและดีเกลือ มีก้อนไขมันและก้อนนิ่วออกมาเกือบ 2 ลิตร มากกว่าปริมาณน้ำมันที่กินเข้าไป เพียงครั้งเดียวก้อนนิ่วทั้งหลายได้หายไปและไม่ต้องผ่าตัดอีกแม้ผ่านมาแล้ว 6 ปี
คุณเคนทาโร่ คนญี่ปุ่น ต้องเข้ารับการผ่าตัดเนื่องจากหมอที่ญี่ปุ่นพบนิ่วในถุงน้ำดีขนาด 5-10 ม.ม. จำนวน 5 ก้อน โดยต้องเสียค่าใช้จ่าย 2 แสนบาท ตัดสินใจมาเข้าคอร์สล้างพิษตับ ครั้งที่ 2 มีก้อนนิ่วสีเขียวมรกตหลุดปะปนมากับไขมันจำนวน 5 ก้อนเหมือนกัน และไม่ต้องผ่าตัดแล้ว
ความจริงแล้วการล้างพิษตับนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร 8 อ.ของสันติอโศก และการบูรณาการเข้ากับภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย และการค้นคว้าจากงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้หลักสูตรที่ได้ออกแบบมานี้มีความครบเครื่องในการล้างพิษอย่างเด่นชัดเสียยิ่งกว่าการล้างตับที่ทำกันในต่างประเทศ จนชาวต่างชาติที่เชี่ยวชาญการล้างพิษตับยังต้องมาดูงานของชาวสันติอโศกไปแล้วในวันนี้
และอาจเป็นเพราะการบูรณาการและพัฒนาการของหลักสูตรล้างพิษตับของชาวสันติอโศก (ที่ริเริ่มและค้นคว้าโดย อ.แก่นฟ้า แสนเมือง, อ.อุ่นเอื้อ สิงห์คำ, อ.ขวัญดิน สิงห์คำ) ทำให้โรคที่ต่างชาติไม่ได้สำรวจเพราะอาจไม่คิดว่าจะหายได้ก็กลับหายได้จากหลักสูตรนี้มาแล้วหลายโรค โดยเฉพาะโรคไวรัสตับอักเสบ บี ที่แพทย์แผนปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายได้
นอกจากคุณแก่นฟ้า แสนเมือง จะหายจากโรคไวรัสตับอักเสบ บี ด้วยการล้างพิษออกจากร่างกายด้วยตัวเองแล้ว การบูรณาการและพัฒนาการของหลักสูตรส่งผลทำให้ยังมีหลายตัวอย่างปรากฏเป็นผลการตรวจสอบทางแพทย์ในการรักษาโรคดังกล่าว เช่น กรณีล่าสุด คุณชัชชัย คาวีสุทธิกร ได้เข้าตรวจที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2554 พบไวรัสตับอักเสบ บีสูงถึง 18,100,000 IU/mL ต่อมาเข้าหลักสูตร 8 อ. (ล้างพิษตับ)ของชาวสันติอโศกไป 4 ครั้งเป็นเวลา 4 เดือน ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554 พบไวรัสตับอักเสบ บีลดลงเหลือ 20,400 IU/mL ต่อมาจึงเข้าหลักสูตรล้างพิษตับอีก 5 ครั้ง ในวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555 พบไวรัสตับบีลดลงเหลือเพียงแค่ 111 IU/mL เท่านั้น
ส่วนการดื่มน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวนั้นแท้ที่จริงแล้วก็เป็นตัวกระตุ้นให้ตับและถุงน้ำดีขับน้ำดีออกมา (ซึ่งทำให้ไขมันและสิ่งตกค้างในตับและถุงน้ำดีได้ถูกขับออกมาด้วย) ถึงแม้ว่าหลายคนอาจจะเป็นห่วงหรือกังวลว่าการดื่มน้ำมันมะกอกว่าจะมีโทษอย่างไรหากดื่มเข้าไปมาก แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ปรากฏหลักฐานหรือมีงานวิจัยที่กล่าวถึงโทษดังกล่าว แต่ประโยชน์ของน้ำมันมะกอกนั้นก็กลับปรากฏเป็นงานวิจัยที่ชัดเจนอยู่จำนวนมาก
น้ำมันมะกอก ช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (arteriosclerosis) ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย และเส้นเลือดในสมองแตก และยังช่วยให้ระบบการทำงานของส่วนต่างๆ ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ และถุงน้ำดี ทั้งนี้ยังช่วยป้องกันการก่อตัวของนิ่ว
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าน้ำมันมะกอกช่วย บรรเทาอาการกระเพาะอักเสบ แผลในกระเพาะ และยังเป็นยาระบายอ่อนๆ น้ำมันมะกอก ช่วยปกป้องหนังกำพร้า ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ซึ่งเกิดจากวิตามินอี และ สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันมะกอก นอกจากนี้ยังใช้ได้ผลดีในการป้องกันโรคผิวหนังและลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหาร (metabolic function) ภายในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
น้ำมันมะกอกช่วยป้องกันและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานจาก การศึกษาล่าสุดพบว่าระดับกลูโคสของผู้ที่มีสุขภาพดีจะลดลง 12% เมื่อรับประทานน้ำมันมะกอก
น้ำมันมะกอกช่วยในการเสริมสร้างกระดูก และช่วยให้ร่างกายของคนเรามีประสิทธิภาพในการดูดซึมแร่ธาตุและแคลเซี่ยมได้ดี และสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ด้วย อีกทั้งช่วยป้องกันเนื้องอกที่เกิดกับอวัยวะบางส่วน (เต้านม ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ ปีกมดลูก) ทั้งนี้เพราะกรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกนั้นช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ และช่วยต่อต้านการก่อตัวของติ่งเนื้อในอวัยวะต่างๆ ที่กล่าวมา
จากการค้นคว้าวิจัยพบว่า น้ำมันมะกอกนั้นสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในขณะเดียวกันจะไม่ทำให้คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดระดับลง
อาจกล่าวได้ว่าหลักสูตรล้างพิษตับ ล้างถุงน้ำดี ล้างลำไส้ รวมถึงแนวทางธรรมชาติบำบัดของชาวสันติอโศกที่มีความหลากหลายนั้น มีความก้าวหน้าในระดับนานาชาติแล้ว
จึงถือเป็นเรื่องธรรมะจัดสรร ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีแนวร่วมสำคัญอย่างชาวสันติอโศก ซึ่งมีความพอเพียง สมถะ และอยู่กับธรรมชาติ จึงทำให้คนส่วนใหญ่ที่เข้าหลักสูตรล้างพิษตับนั้นล้วนแล้วแต่เป็นพี่น้องที่ชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกันทั้งสิ้น !!!