มีรายงานข่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพ ได้ทำหนังสือถึงนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เพื่อขอให้แก้ไขข้อเท็จจริงในบทความสารวุฒิสภา ฉบับเดือนส.ค.ที่เขียนลงในคอลัมน์ “บันทึกประวัติศาสตร์รัฐสภาไทย”ที่มีข้อความพาดพิงถึงตนเองโดยเป็นข้อความเท็จและคลาดเคลื่อน จากความเป็นจริงในที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 ที่ระบุ ว่า "น.ส.รสนาได้กลับเข้ามาในห้องประชุมอีกครั้ง พร้อมสามีทำให้เกิดเหตุวุ่นวายขึ้น” ซึ่งหนังสือระบุอีกว่า ข้อความดังกล่าวสร้างความเสียหายทางจริยธรรมให้กับตนเอง ซึ่งขอยืนยันว่า ไม่เคยนำสามีเข้ามาในที่ประชุมวุฒิสภาหรือที่ประชุมรัฐสภาเลย
จึงขอให้ประธานวุฒิสภาในฐานะผู้ที่เขียนบทความดังกล่าว ได้ทำการแก้ไข ด้วยการชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรในสารวุฒิสภาฉบับต่อไป และให้มีคำสั่งระงับการเผยแพร่สารวุฒิสภาฉบับดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ได้มีการแนบผลรายงานการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีสมาชิกวุฒิสภากระทำการผิดข้อบังคับการประชุมรัฐสภา และผลการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ตามคำร้องของส.ส.พรรคเพื่อไทย ให้ถอดถอนน.ส.รสนา จากตำแหน่ง มาด้วย
หลังจากที่นายนิคมได้รับทราบกรณีดังกล่าวแล้ว จึงได้มีหนังสือตอบกลับไปยังน.ส.รสนาแล้ว โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่า สิ่งที่เขียนในบทความเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเหตุการณ์ในวันที่ 7 ต.ค.2551 เป็นเหตุการณ์ที่ประชาชนทั่วไปรับรู้ ที่มีบุคคลที่ไม่ใช่ ส.ส.และส.ว.เข้ามาในห้องประชุมและ การที่น.ส.รสนา แนบผลรายงานการสอบสวนมานั้นก็เป็นคนละเรื่องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงจะนำมารวมกันไม่ได้ ทั้งนี้ตนไม่สามารถบิดเบือนประวัติศาสตร์และความจริงได้ ส่วนที่มีการขอให้ระงับการเผยแพร่เอกสารนั้น คงทำไม่ได้ เพราะได้การเผยแพร่ออกไปแล้ว
จึงขอให้ประธานวุฒิสภาในฐานะผู้ที่เขียนบทความดังกล่าว ได้ทำการแก้ไข ด้วยการชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรในสารวุฒิสภาฉบับต่อไป และให้มีคำสั่งระงับการเผยแพร่สารวุฒิสภาฉบับดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ได้มีการแนบผลรายงานการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีสมาชิกวุฒิสภากระทำการผิดข้อบังคับการประชุมรัฐสภา และผลการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ตามคำร้องของส.ส.พรรคเพื่อไทย ให้ถอดถอนน.ส.รสนา จากตำแหน่ง มาด้วย
หลังจากที่นายนิคมได้รับทราบกรณีดังกล่าวแล้ว จึงได้มีหนังสือตอบกลับไปยังน.ส.รสนาแล้ว โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่า สิ่งที่เขียนในบทความเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเหตุการณ์ในวันที่ 7 ต.ค.2551 เป็นเหตุการณ์ที่ประชาชนทั่วไปรับรู้ ที่มีบุคคลที่ไม่ใช่ ส.ส.และส.ว.เข้ามาในห้องประชุมและ การที่น.ส.รสนา แนบผลรายงานการสอบสวนมานั้นก็เป็นคนละเรื่องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงจะนำมารวมกันไม่ได้ ทั้งนี้ตนไม่สามารถบิดเบือนประวัติศาสตร์และความจริงได้ ส่วนที่มีการขอให้ระงับการเผยแพร่เอกสารนั้น คงทำไม่ได้ เพราะได้การเผยแพร่ออกไปแล้ว